[SF]
Once Upon a Year #หนึ่งวันกับหนึ่งปี
Pairing:
หยางหยาง x
หลี่อี้เฟิง
เฉินเหว่ยถิง x อู๋อี้ฝาน
“เห่นโล่วววววววววว อี้ฝาน แฮปปี้เบิร์ธเดยยยยย์”
เสียงหวานลอยข้ามแผงกั้นคอกทำงานมาก่อนตัวเจ้าของเสียงจะมาปรากฏตัวหน้าคนถูกเรียกพร้อมกล่องสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกยื่นมาตรงหน้า
เจ้าของวันเกิดเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มเต็มแก้ม คนตรงหน้าคือ “หลี่อี้เฟิง”
รุ่นพี่ที่ทำงานของเขานั่นเอง
อู๋อี้ฝานรับของขวัญนั้นมาด้วยความปลื้มใจอย่างที่สุด
“ขอบคุณครับเฟิงเกอ”
“สุขสันต์วันเกิดไอ้น้องชาย
ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีอีกปีนะ” รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้ อี้ฝานถึงกับเขินจนทำตัวไม่ถูก
ได้แต่เอ่ยขอบคุณซ้ำ ๆ จนหลี่อี้เฟิงต้องหัวเราะอย่างเอ็นดู
ปัง!
เสียงกองเอกสารกระแทกกับโต๊ะดังปังจากโต๊ะทำงานในคอกเดียวกันที่อยู่ห่างไปไม่กี่โต๊ะ
“เดี๋ยวฉันมา จะไปคุยงานกับบก.
งานของใครที่ยังไม่ปิดก็เร่งด้วย ใกล้เดดไลน์แล้ว”
ผู้ช่วยบรรณาธิการฝ่ายเนื้อหาพูดเสียงเรียบ
แต่ท่าทางและสายตาแสดงอาการไม่พอใจอะไรบางอย่างออกมาอย่างชัดเจน
ร่างโปร่งเดินออกจากคอกทำงานผ่านผู้ช่วยบรรณาธิการฝ่ายศิลป์ที่มาอวยพรวันเกิดลูกน้องของตนแต่เช้าโดยไม่มีคำทักทายใด
ๆ หลี่อี้เฟิงผิวปากหวิวชำเลืองสายตามองตามคนที่เดินผ่านไปพลางทำหน้าตาล้อเลียน
“วันนี้หัวหน้าหยางหยางอารมณ์ไม่ดีแต่เช้าเลยนะครับ”
อี้ฝานกล่าวเสียงค่อย สีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ผีเข้ามั้ง อย่าไปสนใจเลย วันนี้วันเกิดนายนะ
ยิ้มเข้าไว้สิ”
ได้กำลังใจจากรุ่นพี่ที่ตัวเองชื่นชมแล้วอี้ฝานก็เผยรอยยิ้มออกมาได้อีกครั้ง
อย่างน้อยวันเกิดวันนี้เขาก็อยากให้มันเป็นวันดี ๆ อีกหนึ่งวัน
เสียงเปิดประตูไม่เบานัก แถมคนเปิดยังเปิดเข้ามาโดยพละการไม่มีการเคาะประตูก่อนแต่อย่างใด
คนที่เข้ามาคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “หยางหยาง” ลูกพี่ลูกน้องของ “เฉินเหว่ยถิง”
ผู้เป็นเจ้าของห้อง คนเป็นพี่ไม่ได้ละมือจากงานตรงหน้า
เพียงเหลือบสายตาขึ้นมองญาติผู้น้องเล็กน้อยก่อนหันไปสนใจเอกสารในมือและกล่าวเสียงเรียบ
“โมโหอะไรมาอีกล่ะ”
“เปล่า ผมแค่เอางานมาให้เฮียตรวจ” หยางหยางกล่าวปฏิเสธ
แต่สีหน้าไม่ได้คล้อยตามคำพูดแม้แต่นิด
“ถ้าคิดว่าโกหกฉันได้ก็อย่านับฉันเป็นพี่นายเลยดีกว่า
หยางหยาง คิดว่าฉันรู้จักนายมากี่ปี หงุดหงิดเรื่องอี้เฟิงมาอีกล่ะสิ”
“ก็ถ้าเฮียรู้อยู่แล้วจะถามผมอีกทำไม”
หยางหยางวางปึกเอกสารที่ถือเข้ามาด้วยบนโต๊ะทำงานของญาติผู้พี่ก่อนนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามถอนหายใจเสียงไม่เบานัก
“นายมันก็เอาแต่ใจร้อน ขี้หึงไม่เข้าเรื่องทั้งปี
ฉันเห็นจนชิน ไม่ได้อยากจะยุ่งหรอกนะ แต่ในที่ทำงานก็เก็บอาการหน่อย
เดี๋ยวลูกน้องจะไม่เชื่อถือเอาซะเปล่า ๆ “
“ผมเก็บอาการที่สุดแล้ว”
“แต่เก็บอารมณ์ไม่ได้
เลยต้องมาระบายที่ห้องฉันสินะ คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ”
เฉินเหว่ยถิงเอ่ยถามในที่สุด
“จะอะไรอีกล่ะ ก็เรื่องเดิม
เฟิงเกอก็หว่านเสน่ห์ไปทั่ว ไม่รู้บ้างหรือไงว่าคนอื่นเขาคิดกับตัวเองยังไง”
“ช่วยไม่ได้นี่หว่า นายอยากไปตกหลุมเสน่ห์เขาเอง”
“เฮีย!”
“เออ นั่นแหละ ว่าแต่คราวนี้ใครอีกล่ะ”
“จะใครล่ะ ก็นายอี้ฝานนั่นไง
ที่เฮียฝากเข้ามาแผนกผมน่ะ วันนี้วันเกิดหมอนั่น เฟิงเกอก็มาแฮปปี้เบิร์ธเดย์เสียเสียงดังลั่นออฟฟิศ
อย่างกับกลัวใครจะไม่รู้ แถมมีของขวัญมาให้ด้วยนะ อะไรวะ ทีวันเกิดผมนะ
ไม่เค้ยยยย” พอได้ทีหยางหยางก็ร่ายยาวราวกับอัดอั้นมานาน
พอได้ยินชื่อคู่กรณีของน้องชายแล้วมือเรียวของหัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสารชื่อดังที่กำลังตรวจงานระหว่างที่ฟังคนตรงหน้าพล่ามอยู่ก็ชะงักไปนิดหนึ่งก่อนทำเป็นไม่สนใจและทำงานต่อไป
“สรุปว่างอนสินะ”
“....”
“...”
“เออ” หยางหยางตอบรับเสียงค่อยอย่างไม่เต็มใจนัก
หงุดหงิดที่ผู้เป็นพี่รู้ทันเขาไปเสียทุกอย่าง แม้จะไม่อยากยอมรับนัก
แต่เขาก็งอนจริง ๆ นั่นแหละ
คนเป็นพี่ได้แต่หัวเราะเบา ๆ
ก่อนส่ายหัวอย่างเอือมระอาระคนเอ็นดูน้องชายขี้งอนของเขา
ทันทีที่ได้ยินเสียงปิดประตูลับหลังหยางหยางเดินออกจากห้องไป
เฉินเหว่ยถิงก็ถอนหายใจยาว ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้องก่อนรวบรวมสมาธิอีกครั้งเพื่อจัดการงานตรงหน้าให้เสร็จโดยเร็วเพื่อที่จะได้เตรียมตัวสำหรับงานสำคัญในเย็นวันนี้
ช่วงกลางวันโดยปกติแล้วหยางหยางและหลี่อี้เฟิงจะไปกินข้าวที่โรงอาหารของตึกสำนักงานด้วยกันเสมอ
เขาทั้งคู่เป็นคนรักกันแม้ไม่ได้ประกาศบอกใครแต่ก็เหมือนกับทุกคนรับรู้ในความสัมพันธ์นี้
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่จังหวะชีวิตของคนสองคนกลับสอดคล้องลงตัวอย่างน่าประหลาด
ทุกวันเวลาเที่ยงสิบนาทีหยางหยางและหลี่อี้เฟิงจะพักงานทุกอย่างไว้ที่โต๊ะและเดินลงมาด้านล่างอีกสามชั้นเพื่อไปกินข้าวที่โรงอาหาร
พวกเขาเลือกที่จะเดินลงบันไดราวกับตั้งใจจะยืดเวลาที่อยู่ด้วยกันให้นานขึ้น
ต่างคนต่างจัดการซื้ออาหารของตัวเองและเดินมานั่งข้างกันราวกับเป็นเรื่องธรรมดาแสนสามัญ
แต่ถ้าวันนี้จะมีบางอย่างที่ต่างออกไปก็คงเป็นบรรยากาศรอบตัวของเขาทั้งสองที่เงียบลงกว่าที่เคย
เสียงหัวร่อต่อกระซิกที่คนรอบข้างมักได้ยินเป็นประจำนั้นเงียบหาย
หลี่อี้เฟิงเหลือบมองคนที่นั่งข้างกันอย่างใช้ความคิด
เขารู้ว่าหยางหยางเป็นคนขี้หึงคิดเล็กคิดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร
แถมตัวเขาก็เองก็เป็นพวกมนุษยสัมพันธ์ดีเกินมนุษย์ทั่วไปเสียด้วย
ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะมีเรื่องให้ผิดใจกันอยู่บ่อย ๆ
“หยางหยาง ฉันอยากกินอันนั้น”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นพลางชี้ไปที่หมูสามชั้นในจานข้าวของอีกฝ่าย หยางหยางไม่พูดอะไร
เพียงแต่ตักสิ่งที่คนข้าง ๆ บ่นอยากกินไปใส่ให้ในจานแล้วกินข้าวในจานของตนต่ออย่างเงียบ
ๆ
“อันนั้นฉันก็อยากกิ...” ยังไม่ทันจบประโยคหยางหยางก็ตักกับข้าวทุกอย่างในจานไปใส่ในจานของคนรักแล้วนั่งกินข้าวเปล่าในจานของตัวเองต่อไปโดยไม่เอ่ยคำใด
ๆ
อี้เฟิงมีสีหน้าสลดลงกับปฏิกิริยาของคนรัก
ได้แต่ตักอาหารในจานของตัวเองที่พูนจนแทบล้นเพราะการประชดของคนข้าง ๆ
ด้วยสีหน้าง้ำงอ เขาอยากจะชวนคุยให้บรรยากาศระหว่างเขาสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่ดูเหมือนความพยายามครั้งนี้จะไม่ได้ผล
เวลาเย็นย่ำอี้ฝานมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่าเลยเวลาเลิกงานมามากแล้ว
วันนี้เพื่อนในออฟฟิศต่างก็มาอวยพรวันเกิดให้เขากันมากมาย แต่กลับไร้วี่แววปฏิกิริยาจากคนที่เขาเฝ้ารอที่สุด
ดวงหน้าหล่อเหลาติดจะสวยเหม่อมองไปยังห้องทำงานของใครบางคนที่เจ้าของห้องกลับไปตั้งแต่ช่วงบ่าย
ลืมหรือเปล่านะ...
คนหน้าสวยคิดอย่างเหงา ๆ
เมื่อคนที่รอคอยไม่มีทีท่าว่าจะกลับเข้ามาที่ออฟฟิศอีก บางทีคนคนนั้นอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขา
เพราะทั้งวันก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน
พอบ่ายคล้อยก็ออกจากออฟฟิศไปโดยไม่ได้ร่ำลา
อี้ฝานตัดสินใจเก็บข้าวของกลับบ้าน
เขาลงลิฟต์มาถึงชั้นล่างสุด ฟ้าข้างนอกมือดสนิทแล้วแม้จะยังไม่ค่ำมากนักเพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว
อากาศเริ่มเย็นลงเขากระชับเสื้อโค้ทให้แน่นขึ้นเพื่อป้องกันร่างกายจากอากาศภายนอกก่อนเดินตรงไปยังประตูด้านข้างของตึกสำนักงานที่เขาใช้เป็นประจำเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ
“รอก่อนสิ”
เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่ออี้ฝานเดินพ้นประตูเลื่อนอัตโนมัติออกมาด้านนอก
เฉินเหว่ยถิงนั่นเอง
อี้ฝานรู้สึกว่าก้อนเนื้อใต้อกข้างซ้ายของเขากำลังเต้นผิดจังหวะ
“บก.”
“เลิกงานแล้วไม่ต้องเรียกแบบนั้นก็ได้”
“...” อี้ฝานไม่ได้ตอบอะไร
อีกฝ่ายจึงเดินเข้ามาหาและฉวยคว้าเอากระเป๋าใบใหญ่ไปช่วยถือให้
“วันนี้ไปด้วยกันได้ไหม”
เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
“ครับ ถิงเกอ”
อี้ฝานตอบรับพลางพยักหน้าและเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกคนตรงหน้ามาเป็นคำที่เขาเคยเรียกเมื่อสมัยยังเป็นรุ่นน้องของเฉินเหว่ยถิงในสมัยมัธยมปลาย
เหว่ยถิงพาอี้ฝานมาที่แมนชั่นส่วนตัวของเขา เมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในมืดสนิท
เจ้าของห้องปิดประตูลงและเดินฝ่าความมืดเข้าไปในห้องก่อนทิ้งให้อี้ฝานยืนเคว้งคว้างกับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
ไม่นานดวงไฟก็ถูกเปิดขึ้น
เป็นแสงไฟสลัวสีส้มที่อยู่ในส่วนที่ถูกออกแบบไว้เป็นห้องรับประทานอาหารนั่นเอง เมื่อมีแสงสว่างอี้ฝานจึงเห็นว่าบนโต๊ะกลางห้องมีอาหารถูกจัดเตรียมไว้แล้ว
ทั้งยังมีเชิงเทียนตั้งอยู่
เหว่ยถิงเดินไปหยิบไฟแช็กมาจุดไฟให้เทียนเล่มเล็กสว่างขึ้น
“ไม่คิดว่าเกอจะเป็นคนทำอะไรแบบนี้ได้เลยนะครับ”
อี้ฝานเอ่ยขึ้นอดที่จะหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้
เหว่ยถิงยกมือขึ้นเกาแก้มแก้อาการขัดเขิน
“นั่งก่อนสิ”
อี้ฝานนั่งลงบนเก้าอี้ที่อีกฝ่ายยกขยับให้
ระหว่างที่รับประทานอาหารทั้งสองคนก็แลกเปลี่ยนความทรงจำในวันวานเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในรั้วโรงเรียนเดียวกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อกินอาหารมื้อค่ำแสนพิเศษเสร็จแล้วเจ้าของห้องและอี้ฝานก็ช่วยกันเก็บของล้างจานราวกับเป็นเรื่องราวที่เคยชินในชีวิตประจำวัน
จากนั้นทั้งคู่ก็ออกมานั่งเล่นกันที่โซฟาตัวใหญ่หน้าโทรทัศน์เปิดดูรายการวาไรตี้ยอดนิยมพลางหัวเราะกันอย่างเพลิดเพลิน
“ดูสิเกอ โคตรฮาเลย เหมือนพวกเราสมัยเด็ก ๆ
เลยอะ” อี้ฝานเอ่ยขึ้นเมื่อกติกาของเกมในรายการที่กำลังดูอยู่นั้นเหมือนกับที่ตัวเองเคยเล่นสมัยเรียน
“นั่นสิ
ถ้าไม่ใช่เพราะนายบ้าบออย่างนี้เราก็คงไม่ได้รู้จักกัน”
เหว่ยถิงหัวเราะกับรายการโทรทัศน์ก่อนหันมามองคนด้านข้างด้วยสายตาที่มีความหมาย
“...” อี้ฝานเงียบไปพลางหันไปสบตากับคนที่กำลังมองเขาอยู่
“จริง ๆ ตอนนั้นก็ดีนะ” เหว่ยถิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่เกิดความเงียบชั่วอึดใจ
“ครับ ขอบคุณถิงเกอที่ช่วยเหลือผมหลายอย่างเลย
ขอบคุณจริง ๆ ” อี้ฝานกล่าวขอบคุณคนตรงหน้าที่ช่วยเหลือเขามาตลอดทั้งตอนที่ยังเป็นนักเรียนอยู่จนกระทั่งตอนนี้ที่เขาต้องมาทำงานโดยมีคนตรงหน้าเป็นเจ้านายก็ยังได้รับความเอ็นดูและความช่วยเหลือไม่ต่างจากเมื่อก่อน
“นายนี่มีแต่คำขอบคุณตลอดเลยนะ”
“ก็ผมไม่รู้จะพูดอะไรนี่ครับ
ขอบคุณสำหรับวันนี้ด้วย ขอบคุณมากนะครับ”
“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม”
“...” คนหน้าสวยเสหลบสายตาคนข้าง ๆ
เพราะสายตาที่มองมาทำให้เขาเขินจนทำตัวไม่ถูก
หัวใจของเขากำลังเต้นกระหน่ำอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เขาอยากจะเอามือทุบอกตัวเองแล้วสั่งให้มันเต้นช้าลงกว่านี้สักหน่อย
“ไม่ได้เหรอ...” เสียงทุ้มนั้นเจือกระแสออดอ้อนจนอี้ฝานแทบจะอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ
“ถิงเกออยากได้อะไรล่ะครับ”
เฉินเหว่ยถิงขยับใบหน้าคมเข้มเข้ามาใกล้ดวงหน้าสวยก่อยเบี่ยงใบหน้าโน้มตัวมากระซิบติดใบหู
“เป็นแฟนกับฉันได้ไหม”
พอพูดจบคนฟังก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
“หัวเราะทำไมเล่า ฉันเขินอยู่นะเนี่ย”
เฉินเหว่ยถิงกล่าวอย่างขัดเขิน ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนพูดจาอะไรหวาน ๆ
แต่ก็เพราะคนตรงหน้า ทำให้เขาอยากทำอะไรแบบนี้
เขาเฝ้ารอตั้งแต่วันที่อี้ฝานมาสมัครงาน
อดทนรอจนอี้ฝานทำงานมาได้ครบหนึ่งปีในวันนี้ วันเดียวกับวันเกิดของอี้ฝานเพื่อให้เขาแน่ใจตัวเอง
ว่าความรู้สึกที่มีต่อคนตรงหน้ายังคงชัดเจนเหมือนครั้งอดีต
ทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้อี้ฝานเชื่อใจ
ว่าเขาจะไม่ทำคนที่เขารักต้องเสียใจอย่างแน่นอน
อี้ฝานยิ้มเต็มหน้าให้กับคนที่เอ่ยคำร้องขอเมื่อครู่
“ผมนึกว่าจะไม่ได้ยินประโยคนี้แล้วซะอีก”
“หมายความว่า...”
“ปล่อยให้ผมรอซะตั้งนานเลยนะครับ”
จบคำพูดนั้น
โทรทัศน์ที่ถูกเปิดไว้ก็ไม่ได้รับความสนใจอีกต่อไป
คนสองคนที่ตกอยู่ในห้วงความสุขไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากกันและกัน
วันเวลาเพราะบ่มความรู้สึก ต้นไม้แห่งความรักก็เฝ้ารอวันที่พร้อมจะออกดอกอย่างสวยงาม
เช่นเดียวกับอู๋อี้ฝานและเฉินเหว่ยถิง
คำบอกรักกับคนที่ใช่ในเวลาที่ใช่คือบัวรดน้ำให้ต้นไม้นั้นชุ่มฉ่ำ
เหว่ยถิงไม่เสียใจเลยที่เขาเพิ่งมาบอกอี้ฝานเอาตอนนี้ หากเขาใจร้อนและขอคบอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อครั้งยังเรียนด้วยกัน
วันนี้ทั้งสองคนอาจร้างลากันไปและเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกัน
เพราะความอดทนเป็นปุ๋ยชั้นเลิศให้ความรักผลิบานได้อย่างยาวนาน
บรรยากาศกลางสวนสาธารณะในเวลาหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วนั้นเงียบเหงา
ระหว่างที่หยางหยางและหลี่อี้เฟิงทางเดินกลับคอนโดที่แชร์อยู่ด้วยกัน ระหว่างคนสองคนก็ยังไม่มีคำพูดใด
ๆ
อี้เฟิงยอมรับว่าบางครั้งก็เป็นเขาเองที่แกล้งให้หยางหยางหึง
แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ เมื่ออี้ฝานเข้ามาทำงานแรก ๆ เขาเห็นว่าเป็นเด็กใหม่
ทั้งยังไม่คุ้นกับเพื่อนร่วมงานมากนักก็เลยอยากทำอะไรให้เด็กใหม่คุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงานมากขึ้นจึงเข้าไปชวนคุย
อี้ฝานเป็นเด็กที่เขาถูกชะตาทั้งยังคุยกันถูกคอจนสนิทสนมกัน
แค่ให้ของขวัญวันเกิดไม่ใช่เรื่องที่เขาทำเกินไปสักหน่อย
ระหว่างที่เดินผ่านสระน้ำในสวนสาธารณะของคอนโด
เวลานั้นค่ำมากแล้วไม่เหลือผู้คนมาเดินเล่นหรือออกกำลังกายกันอีก
มีเพียงดวงไฟไม่กี่ดวงส่องแสงริบหรี่ หลี่อี้เฟิงก็ทอดขาลดความเร็วในการเดินลง
เมื่อหยางหยางรู้สึกได้ว่าอีกคนเดินช้าลงก็ปรับจังหวะการเดินของตัวเองลงเช่นกัน
มือนุ่มค่อย ๆ ขยับสอดประสานกับมือใหญ่บีบกระชับเบา ๆ บอกว่ากำลังง้องอน
หยางหยางถอนหายใจแผ่วเบาและหยุดเดิน
ลดทิฐิในใจก่อนกระชับมือนิ่มและหันไปหาคนยืนอยู่เคียงข้างกัน
“รู้ใช่ไหมว่าผมหึงเรื่องอะไร”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“อื้อ...” คนหน้าหวานพยักหน้าเม้มปากแน่น
“ทีหลังไม่ทำได้ไหม” หยางหยางเอ่ยเสียงอ่อนเจือกระแสเว้าวอน
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย อวยพรวันเกิดใคร ๆ
เขาก็ทำกัน”
“ทีวันเกิดผมเฟิงเกอไม่เห็นจะสนใจเลย”
“ก็...” คนหน้าหวานหยุดคำก่อนทำหน้ามุ่ยอย่างขัดใจ
“ก็อะไร
ผมก็อยากให้แฟนทำอะไรให้ในวันพิเศษเหมือนกันนะ นี่เฟิงเกอเล่นไม่สนใจผมเลย
แต่เดินถือของขวัญมาอวยพรคนอื่นเสียเสียงดังลั่นออฟฟิศ จะไม่ให้ผมน้อยใจได้ยังไง”
“ไม่ใช่ไม่สนใจสักหน่อย...”
ไม่สนใจแต่เช้าอีกวันฉันแทบลุกไม่ขึ้น
ของขวัญนายมันก็พิเศษกว่าคนอื่นสุด ๆ แล้ว ตาบ้า!
หลี่อี้เฟิงได้แต่คิดแต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปเพราะกลัวจะขัดเขินเสียเอง
“พอเถอะ
อย่าพูดอีกเลยถ้าเฟิงเกอจะไม่เข้าใจความรู้สึกของผม”
หยางหยางเอ่ยเสียงเรียบเพื่อตัดบทเมื่อเห็นว่าคนรักยังยืนว่าจะยังทำเหมือนกับวันนี้กับคนอื่นต่อไป
มือแกร่งขยับมือที่จับกันไว้ให้คลายออกจนอี้เฟิงใจเสีย
“เดี๋ยวสิ...”
“ค่อยคุยกันวันหลังเถอะครับ”
“ในหนึ่งปีฉันอวยพรวันเกิดเขาแค่หนึ่งวัน แต่ทั้ง
365 วันฉันอยู่กับนายนะ”
เสียงหวานชิงพูดขึ้นก่อนที่คนรักจะปล่อยมือไปพร้อมกับสัมผัสอุ่นที่แก้มของหยางหยาง
คนที่เพิ่งขโมยหอมแก้มคนอื่นเสมองมองไปทางอื่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
หยางหยางยิ้มกว้างกับกิริยาแสนน่ารักของคนรัก
ดวงหน้าคมคายโน้มตัวไปจุมพิตแก้มใสให้คนที่กำลังเขินอายไม่ทันตั้งตัว
พอเจ้าตัวตกใจจะผละตัวออกแขนแกร่งก็ตวัดโอบเอวคนรักให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดและฝังจมูกจมลึกลงบนแก้มนุ่ม
“แฟนใครก็ไม่รู้ น่ารักจัง”
เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบข้างใบหู
“ถ้าไม่รักล่ะก็ จะฆ่าให้ตายเลย”
เสียงหวานย้อนกลับอย่างหยอกล้อ
ดวงหน้าหล่อเหลาขยับมาสบตาคนรักตรง ๆ
แนบหน้าผากจนปลายจมูกสัมผัสกันก่อนเอ่ยเสียงเบา
“แค่เฟิงเกอไม่สนใจผมก็เหมือนจะตายแล้ว
อย่าทรมานกันแบบนี้บ่อย ๆ เลยนะครับ มันเหงานะรู้ไหม”
“รู้แล้วล่ะน่า” คนหน้าหวานขยับตัวเล็กน้อย
ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกันแผ่วเบาก่อนอี้เฟิงจะวาดแขนโอบตอบคนรักแล้ววางศีรษะลงบนบ่าหนา
“ฉันรักนายนะ”
“ผมก็รักเฟิงเกอ” หยางหยางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นก้มหน้าลงประทับจูบตรงระหว่างรอยต่อของขมับและไรผมของคนหน้าหวานอย่างรักใคร่
ระหว่างเขาทั้งสองไม่มีช่องว่างใด ๆ เหมือนหัวใจสองดวงที่แนบชิดกัน
ความรักของคนสองคนบางครั้งก็เหมือนกับท้องฟ้า
บางวันก็มีแสงแดดเจิดจ้า บางวันก็ครึ้มฟ้าครึ้มฝน มันอาจไม่ได้สดใสทุกวัน
แต่ท้องฟ้าก็ยังเป็นท้องฟ้าที่ยังคงอยู่ที่เดิมไม่หายไปไหน แค่แหงนหน้ามองขึ้นไป
ท้องฟ้าจะยังคงอยู่ที่เดิมเสมอ เหมือนความรักของหยางหยางกับอี้เฟิง
พวกเขาอาจจะทะเลาะกันบ้าง งอนกันบ้าง ไม่มีคำรักหวาน ๆ
พร่ำบอกกันเหมือนคนรักคู่อื่น ๆ แต่ความรักของเขาทั้งสองก็ยังสัมผัสได้เสมอ
ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ไม่ว่าวันไหนในรอบปี
แค่มองไปข้าง ๆ ยังมีคนที่จับมือกันอยู่
เท่านั้น...ก็เพียงพอแล้ว
END
TALK: เรื่องนี้แต่งด้วยความกาวล้วน
ๆ ค่ะ แอบหึงเฟิงที่ไปอวยพรวันเกิดฝานในเวยปั๋ว 555 แล้วพอดีอยากเขียนคู่เฮียถิงกับฝานอยู่แล้วด้วย
ก็เลยออกมาเป็นฉะนี้แล แหะๆ กาวไปเขียนไปพยายามให้จบในตอนเดียวจะได้ไม่ค้างคา
ตอนนี้คนเขียนก็ง่วงมากแล้ว แต่อยากลงฟิคให้ได้อ่านกันกาวไปด้วยกัน
ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ
อ้อ ที่สำคัญ สุขสันต์วันเกิดนะฝานฝาน! :)