วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

SWEET LABYRINTH - 02 เทวดาของผม #หยางเฟิง

SWEET LABYRINTH Chapter 02 เทวดาของผม
#หยางเฟิง
คำเตือน: เรื่องทั้งหมดเกิดจากจินตนาการของผู้แต่งเอง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


ความเดิมตอนที่แล้ว  >> 

SWEET LABYRINTH – INTRO 

SWEET LABYRINTH – Chapter 01 ไอ้ตัวแสบ!

ผมกำลังหนี…
แฟนคลับของหลี่อี้เฟิงกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะเดินตามผมมาตั้งออกมาจากกองถ่าย ผมมีธุระในตัวเมืองนิดหน่อยจึงไม่ได้กลับโรงแรมพร้อมรถตู้ของบริษัท นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมถูกตามโดยแฟนคลับของอี้เฟิง ผมไม่เข้าใจนักว่าพวกเขาตามผมมาด้วยสาเหตุอะไร แต่การพยายามไม่เผชิญหน้ากันตรง ๆ หรือไม่อยู่เฉย ๆ เป็นเป้านิ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
ผมเดินไปตามตรอกซอกซอยในเซี่ยงไฮ้ที่ไม่คุ้นเคย เมื่อคิดว่าไม่มีใครตามมาแน่แล้วจึงแวะหลบแดดหน้าร้านกาแฟแห่งหนึ่งเปิดโปรแกรมแผนที่ในโทรศัพท์มือถือเพื่อหาตำแหน่งของตัวเอง เมื่อหาสถานที่ที่จะไปพบก็ไม่รอช้าที่จะไปยังจุดหมาย แต่ไม่ทันที่จะสาวเท้าเดินออกจากบริเวณหน้าร้าน เสียงกรุ๊งกริ๊งของโมบายหน้าประตูร้านก็ดังขึ้นเสียก่อนเป็นสัญญาณบอกว่าคนด้านในกำลังเปิดประตูออกมา ผมจะไม่สนใจเลยหากไม่มองผ่านกระจกร้านเข้าไปแล้วพบว่าคนคนนั้นคือคนที่ผมรู้จักดี จิ่งป๋อหรัน หรือพี่จิ๋งเป่ารุ่นพี่ร่วมวงการของผมนั่นเอง ผมหยุดยืนรอจนกระทั่งเขาเดินออกมาหน้าร้าน
“อ้าว ไอ้ลูกแกะ มายังไงวะเนี่ย” พี่จิ๋งเป่าทักผมทันทีที่เห็นผมยืนอยู่หน้าร้านกาแฟที่เขาเพิ่งเดินออกมา
“พอดีเดินผ่านมาแถวนี้ครับ เพิ่งเลิกกองแวะมาทำธุระนิดหน่อย พี่ล่ะมาทำอะไรแถวนี้ ช่วงนี้ไม่ได้มีงานที่เซี่ยงไฮ้ไม่ใช่เหรอ” จริง ๆ ผมคิดว่าผมรู้ว่าเขามาทำอะไรที่นี่ แต่ผมอยากรู้ว่าเขาจะตอบว่ายังไงมากกกว่า
“ก็หลี่อี้เฟิงอยู่ที่นี่ ฉันว่างงานพอดีเลยอยากมาเห็นหน้าสักหน่อย” พี่จิงเป่าแสดงออกชัดเจนว่าสนใจเทวดาแสนซนของผม และพยายามเอาตัวเองมาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ อี้เฟิงตลอดเวลา ผมจึงต้องขอวิสาสะพิจารณาคนที่เข้ามาใกล้เทวดาของผมสักหน่อย ผมไม่ได้กีดกันหรอกนะครับหากสองคนนี้จะสานสัมพันธ์กัน แต่ผมไม่อยากให้ใครมาทำให้อี้เฟิงต้องเสียใจ เพราะฉะนั้นถ้าพี่จิ๋งเป่าจะเดินหน้าจีบอี้เฟิงจริง ๆ ก็คงต้องผ่านด่านผมไปก่อน
“อยากมาเจอหน้าอี้เฟิงอย่างเดียวจริง ๆ เหรอ ไม่ใช่ว่าแวะนัดสาวที่ไหนไว้ด้วยหรอกนะครับ” ผมดักทาง กิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของพี่จิ๋งเป่าก็โด่งดังไม่ใช่เล่น แม้ระยะนี้จะไม่มีข่าวในทำนองนั้นมาสักพักแล้ว
“โหย ไอ้ลูกแกะ ทำเป็นวางท่าหวงพี่ชาย ฉันน่ะเลิกเจ้าชู้แล้วเว่ย ตอนนี้จริงจังกับอี้เฟิงคนเดียว” เขาพาดแขนมาตบบ่าผมเบา ๆ “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้าอี้เฟิงเห็นใจฉันเมื่อไหร่ รับรองฉันจะไม่ทำให้ทั้งเขาและนายผิดหวังเลย”
“ผมก็หวังอย่างนั้นเหมือนกันครับ” ทั้ง ๆ ที่ตอบออกไปแบบนั้น แต่ทำไม่รู้ผมกลับไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้เลย ผมคุยเรื่องงานกับเขาอีกเล็กน้อยก่อนขอตัวไปทำธุระของตัวเองโดยที่ยังมีความรู้สึกบางอย่างติดค้างในใจอยู่แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ผมกลับเข้ามาในโรงแรมช่วงกลางดึกในเวลาที่ล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว โดยต้องแอบเดินอ้อมไปเข้าประตูทางด้านหลังของโรงแรมเพราะมีแฟนคลับบางส่วนอยู่ที่ประตูด้านหน้า ซึ่งแน่นอนว่าสาเหตุที่ผมต้องหลบเพราะพวกเขาเป็นแฟนคลับของหลี่อี้เฟิง การเผชิญหน้ากันอาจนำมาซึ่งสถานการณ์ที่น่าลำบากใจ
ผมพอจะเข้าใจแฟนคลับบางส่วนของอี้เฟิงที่ไม่ค่อยจะชอบหน้าผมนัก ด้วยการแข่งขันที่เข้มข้นของวงการบันเทิงจีนในยุคนี้ด้วยทั้งตัวผมและอี้เฟิงนั้นเป็นแนวหน้าของวงการทั้งคู่ ทั้งแฟนคลับของเขาและของผมเองต่างก็มองเห็นอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งซึ่งผมไม่อาจไปห้ามอะไรพวกเขาได้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราสองคนไม่อาจพบปะกันในที่สาธารณะได้เหมือนเมื่อก่อนเพราะแฟนคลับบางส่วนจะไม่พอใจและอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งจะเป็นผลเสียต่อทั้งผมและเขา ผมอยากบอกแฟนคลับเหล่านั้นเหลือเกินว่าผมไม่ต้องการเป็นที่หนึ่งในวงการนี้ ไม่ได้อยากแย่งชิงความเป็นหนึ่งหรือชื่อเสียงใด ๆ จากเทพบุตรหลี่อี้เฟิงที่พวกเขารัก ผมอยู่ตรงไหนก็ได้ขอแค่ได้อยู่ข้าง ๆ เทวดาของผมเท่านั้น มีตำนานปรัมปราเล่าขานว่าคนทุกคนมีเทวดาประจำตัว หากวันใดที่มีความทุกข์สาหัสเกินจะรับไหวเทวดาผู้ใจดีจะคอยปัดเป่าความทุกข์นั้นให้หายไปและคอยปลอบโยนมนุษย์ผู้อ่อนแรง และหลี่อี้เฟิงคือเทวดาตนนั้นของผม ได้โปรด...อย่าพรากเขาไปจากผมเลย
ก๊อก ๆ ๆ
ก๊อก ๆ ๆ …
ก๊อก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ผมเคาะประตูจนเจ็บข้อนิ้วไปหมดแต่เจ้าของห้องก็ยังไม่มาเปิดประตู ผมรู้ว่าหลี่อี้เฟิงกลับมาแล้วและอยู่ในห้องไม่ไปไหนแน่นอน เขาอาจจะกำลังแกล้งให้ผมรอหรือไม่ก็คงกำลังทำภารกิจสำคัญอยู่เช่น การรับประทานอาหารเย็น เมื่อวานผมได้รับสายตาเชือดเฉือนราวกับจะฆ่ากันให้ตายจากเทวดาที่ปกติแสนจะใจดีเพียงเพราะผมไปขัดจังหวะการกินบะหมี่ถ้วยของเขา ถ้าผมอยากจะเป็นที่หนึ่งในชีวิตหลี่อี้เฟิงล่ะก็ บรรดาอาหารอันโอชะทั้งหลายนี่แหละคือศัตรูอันดับหนึ่งของผม
แต่ผมเป็นคนไม่ชอบการรอคอยจึงพยายามต่อสายเข้าเบอร์ส่วนตัวของเจ้าของห้อง ผมฟังเสียงรอสายยาวนานจนมันตัดไปเสียเองอยู่หลายรอบจนชักรำคาญใจ จึงยกมือขึ้นมาอีกครั้งหวังเคาะประตูหนัก ๆ  แต่ยังไม่ทันได้เคาะประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมคนที่มาเปิดประตูให้ต้อนรับด้วยใบหน้ากวน ๆ ในชุดคลุมอาบน้ำ หยดน้ำวาววับที่ปลายเส้นผมบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงกำลังอาบน้ำอยู่ในระหว่างที่ผมกำลังร้อนรนรอเขาอยู่ที่หน้าห้องนั่นเอง
“ห้องตัวเองไม่มีเหรอ” เสียงเรียบติดจะกวนนิด ๆ ของหลี่อี้เฟิงถามขึ้นเมื่อพบว่าผมคือคนที่มารบกวนเวลาส่วนตัวของเขา พลางมองกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่อยู่ข้างตัวผมก่อนเลิกคิ้วส่งมาเป็นคำถาม


“ขอนอนด้วยนะครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าน่าสงสารที่สุดแบบที่มั่นใจว่าเทวดาหลี่อี้เฟิงจะต้องไม่ตอบปฏิเสธอย่างแน่นอน  ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปเอาความมั่นใจในตัวเองขนาดนี้มาจากไหนแต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าเขาต้องตามใจผมแน่นอน ซึ่งผมก็ไม่ผิดหวัง เทวดาหน้าหวานของผมเพียงปรายตาและถอนหายใจเบา ๆ ก่อนหลีกทางให้ผมเข้าไปในห้อง เสียงโทรทัศน์ดังแว่วมาให้ได้ยินจากด้านในห้องนอน ผมถือวิสาสะเปิดเข้าไปตามความเคยชิน

“มีอะไรหรือเปล่า นายดูแปลก ๆ นะวันนี้” อี้เฟิงนั่งลงที่ปลายเตียงลดเสียงโทรทัศน์ลงก่อนเปรยขึ้น


“หืม? ไม่มีอะไรนี่ครับ ทำไมเหรอ”


“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว แค่สงสัยเฉย ๆ แล้วนี่จะย้ายมาอยู่ห้องนี้เลยหรือไงถึงขนกระเป๋ามาด้วยขนาดนั้น”

“ได้ไหมล่ะครับ” ผมถามทีเล่นทีจริง อยากลองใจเขาดูเหมือนกัน


หลี่อี้เฟิงถอนหายใจก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงนัยจริงจัง


“ปกตินายทำอะไรฉันก็ไม่เคยห้ามอยู่แล้ว ถึงห้ามก็ห้ามไม่ได้ แต่มาคราวนี้ฉันต้องพักที่นี่ระยะยาวจนกว่าจะถ่ายทำละครกองนี้เสร็จ นายเองก็คงเหมือนกัน แล้วเวลาทำงานก็กำหนดอะไรแน่นอนไม่ได้…” หลี่อี้เฟิงเว้นจังหวะ ราวกับไม่สามารถหาคำพูดมาอธิบายต่อได้ ผมเข้าใจเขาดี พี่ชายของผมคนนี้ด้านหนึ่งเป็นเทพบุตรแห่งวงการบันเทิงผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศในวงสังคม แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นผู้ชายที่มีโลกส่วนตัวสูงยากจะเข้าถึง เขาคงลำบากใจหากจะมีผมเข้ามารบกวนในชีวิตเขาบ่อยครั้งเกินไป แม้ผมจะอยากอยู่ใกล้เขาแค่ไหนแต่ระหว่างเรายังมีช่องว่างอยู่


“ผมเข้าใจครับ ผมมารบกวนพี่ไม่นานหรอก นาน ๆ เราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้สักที” ผมบอกเขาพลางลดตัวลงนั่งข้างเอาคางเกยไหล่คนหน้าหวานแหงนเงยมองดวงหน้าที่งดงามราวกับเทวดานั้นด้วยสายตาเว้าวอน ดวงตากลมโตหันมาสบมองผมด้วยสายตาอบอุ่นและรอยยิ้มเอ็นดูเช่นเคย “น่านะ ผมเหงาน่ะ ผมคิดถึงพี่”


เทวดาของผมก้มลงมาเพียงนิดให้หน้าผากของเราสองคนแตะกัน สายตาสองคู่ประสานกันอยู่นานนับนาทีโดยไม่มีถ้อยคำใด ๆ ผมรู้ว่าหลี่อี้เฟิงไม่เคยปฏิเสธคำขอจากผม มันอาจเป็นเพราะความเอ็นดู ความสงสารหรืออะไรก็ตาม แต่มันคงไม่ผิดหรอกใช่ไหมถ้าผมจะฉกฉวยความรู้สึกนั้นทำให้ผมได้อยู่ใกล้ ๆ เขา


“ขี้อ้อนจังนะ ไอ้ตัวแสบ ! ” หลี่อี้เฟิงขยับตัวเล็กน้อยใช้หน้าผากโขกผมเบา ๆ และผละตัวออกไปก่อนใช้มือนิ่มยีหัวผมอย่างเอ็นดูไม่ต่างจากที่เคยเป็นมา


“ก็คิดถึงจริง ๆ นี่นา ถ้ารู้ว่าดังแล้วจะมีโอกาสได้อยู่กับพี่น้อยแบบนี้ผมจะไม่เข้าวงการเลย คิดผิดจริง ๆ ” ผมบ่นโดยที่ยังวางคางไว้บนไหล่ของคนเป็นพี่ หลี่อี้เฟิงเพียงหัวเราะเบา ๆ ขยับตัวให้นั่งสบายขึ้นแต่ไม่ได้ผลักไสผมออกไป ผมสวมกอดเขาจากด้านหลังจับมือนิ่มขึ้นมาบีบนวดเล่นระหว่างที่เราคุยกัน “วันนี้ผมเจอพี่จิงเป่า เขาบอกว่ามาหาพี่ พี่ได้เจอเขาบ้างหรือเปล่า” หลี่อี้เฟิงอมยิ้มกับตัวเอง ผมสังเกตเห็นริ้วสีชมพูบาง ๆ ที่ข้างแก้มใส มันอาจมองดูน่ารักในสายตาใคร ๆ แต่ตอนนี้ผมไม่ชอบมันเอาเสียเลย


“ถามทำไม เชียร์เหรอ ให้ตกลงเลยไหมล่ะ” คนหน้าหวานยอกย้อนจนผมต้องยู่หน้า


“ผมมีสิทธิ์ตัดสินใจหรือไงล่ะ”


“หึหึ แล้วนายคิดว่าไงล่ะ”


“แล้วแต่พี่เถอะ อะไรที่พี่มีความสุขผมโอเคทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเขาทำพี่เสียใจผมเอาเขาตายแน่”


“ทำเป็นพูดดี เวลาตัวเองมีแฟนนี่ไม่เคยนึกถึงฉันหรอก” เสียงหวานค่อนขอด


“พี่ก็ไม่สนใจผมเหมือนกันแหละน่า คนอะไรเย็นชาชะมัด”


“ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรในชีวิตนายนี่ อยากทำอะไรก็ทำ ฉันไม่เห็นจำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวเลย” หลังจากประโยคนี้ผมเงียบไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าหากคำพูดนี้สะท้อนกลับกันมันหมายความว่าผมเองก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเขาเหมือนกัน


“ถ้าพี่มีแฟนแล้วจะทิ้งผมไปหรือเปล่า” ผมเปรยถามสิ่งที่กังวลในใจมาตลอด เทวดาของผมไม่เคยสนใจใครเกินกว่าฐานะเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงาน แต่ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ผมถึงกังวลแปลก ๆ เราโตมาด้วยกัน รู้จักกันมานาน ความสัมพันธ์ของเราสองคนมันอธิบายยากเกินกว่าใครจะเข้าใจ ผมไม่เคยคิดเป็นเจ้าของเขาเพราะตัวผมเองก็มีใคร ๆ อาจเป็นเพราะหลี่อี้เฟิงอยู่ตรงนี้เหมือนรอผมกลับมาเสมอ ถ้าวันหนึ่งเขาไม่รอผมแล้วผมจะทำยังไง


“นายเป็นน้องชายฉันเสมอ อย่าคิดมากน่า ขี้อ้อนขี้เหงาแบบนี้ใครจะทิ้งลง” ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นราวกับจะรั้งเจ้าของร่างนุ่มไว้ไม่ยอมให้ไปไหน ไล้แก้มของตัวเองกับแก้มนิ่มของคนในอ้อมกอดยิ่งรู้สึกหวงแหน ผมรู้สึกได้ว่าหลี่อี้เฟิงเกร็งตัวกับสัมผัสนี้


ผมกลัว...กลัวใจตัวเอง



To be continue


TALK: สองตอนแรกพยายามนำเสนอคาแรกเตอร์ของหยางหยางและอี้เฟิงออกมาว่าแต่ละคนเป็นคนยังไง แต่สองคนนี้ก็ยังมีอีกหลายด้านซึ่งคงจะได้เขียนด้านอื่น ๆ ออกมาให้เห็นในตอนต่อ ๆ ไป ถ้าใครหลงเข้ามาอ่านก็ฝากแนะนำติชมด้วยนะคะ ฝากคอมเมนท์ไว้ที่บล็อกนี้ หรือแวะมาทักทายกันทางทวิตเตอร์ @ConiCat_ ก็ได้นะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^__^

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

La Rose de l'Enfer 01 มัทนะอเวจี - ตอนที่ ๑ ราตรีสีเลือด


La Rose de l'Enfer มัทนะอเวจี ตอนที่๑ ราตรีสีเลือด

Pairing: หยางหยางXหยางหยาง


สงคราม... แม้ต่างจุดเริ่มต้น สุดท้ายก็เหลือเพียงซากปรักหักพัง


สัญญาณแห่งหายนะเริ่มต้นขึ้นยามท้องนภาย้อมด้วยสีหมึก ทุกอย่างเงียบสงัดราวกับอยู่กลางเมืองร้าง มีเพียงแสงไฟเรืองรองจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งภายในเต็มไปด้วยเทพสวรรค์ผู้กำลังบำเพ็ญสมาธิ จันทราสีเหลืองนวลปรากฏเงาประหลาดเข้ากลืนกินพื้นที่ก่อนค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานดั่งทาทาบด้วยโลหิต เสียงหวีดร้องของนกกาดังขึ้นราวกับระฆังสัญญาณของลางร้าย เทพนักพรตจำต้องละจากการบำเพ็ญภาวนาอย่างเสียมิได้ ดวงจันทร์สีแดงสุกปลั่งกลางราตรีที่มืดมิด ไม่ใช่ลางดีของชาวสวรรค์


เสียงอีการ้องขึ้นอีกครั้งแต่มีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมก่อนฝูงนกยักษ์เจ้าราตรีจะปรากฏตัวทั่วผืนฟ้าส่งเสียงดังระงมไปทั่ว กองทัพทมิฬปรากฏตัวอย่างกะทันหันและบุกทำลายนครแห่งฟากฟ้าพังพินาศเพียงพริบตา ชาวสวรรค์ไม่อาจต้านทานพละกำลังแห่งปิศาจในคืนราตรีสีเลือดที่ทรงพลังที่สุดได้


ผลจากการโรมรันที่เพิ่งจบลง ดินแดนสวรรค์ที่เคยสวยงาม บัดนี้เหลือเพียงฝุ่นผงและเศษซากของความอาดูร เทพสวรรค์หลายตนบาดเจ็บ สูญเสียพลังวิญญาณ และบางตนได้กลับคืนสู่การกำเนิด


ทั้งหมดเป็นฝีมือของ จางฉี่หลิง จ้าวปิศาจแห่งรัตติกาลผู้ฟื้นจากการหลับใหลนับหมื่นราตรี ความลับสวรรค์ถูกแพร่งพราย ความวิบัติจึงมาเยือน เมื่อจ้าวรัตติกาลผู้ครองนครอเวจีรับรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘มังกรสวรรค์’ เทพผู้รักษาแห่งดินแดนสุขาวดี เทพสวรรค์ตามคำทำนายว่าคือผู้ที่สามารถสังหารจ้าวปิศาจผู้เป็นอมตะได้





ดวงตาสีดำสนิทไม่ฉายความรู้สึกใด ๆ ทอดมอง ‘มังกรสวรรค์’ ที่ถูกจับมาเป็นเชลยนรกหลังจากสงครามสิ้นสุด   ร่างสูงกำยำครองอาภรณ์สีรัตติกาล ใบหน้าคมคายไร้ที่ติราวกับรูปวาด ใบหูคล้ายสัตว์ในตำนานบ่งบอกเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดแห่งจ้าวปิศาจ
เทพสวรรค์ผู้ไร้สิ้นกำลังถูกพันธนาการไว้ด้วยตรวนอาคมที่ยึดโยงข้อมือทั้งสองไว้ตรึงให้ร่างถูกยึดอยู่กับผนังด้านหนึ่งของห้องขังแคบ ๆ อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์บัดนี้เปรอะเปื้อนและหม่นหมองตามชะตาชีวิตของผู้เป็นเจ้าของ


"เจ้าเองหรือ มังกรสวรรค์ ตามคำทำนาย" เสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้น


ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นว่าใครคือผู้มาเยือนที่คุมขังมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างสมเพชในโชคชะตาของตน


"กิเลนดำ ไม่ได้พบกันนาน" น้ำเสียงทุ้มแต่แหบแห้งเอ่ยขึ้น


"ข้าไม่เคยพบเจ้า"


"เด็กน้อย..."


เผียะ! ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นฟาดลงบนใบหน้าของมังกรสวรรค์


"อย่าบังอาจพูดจาเช่นนี้กับข้า" น้ำเสียงเย็นเยียบไม่มีเค้าความเปลี่ยนแปลงแม้การกระทำจะแสดงถึงแรงโทสะ


ดวงตาสีดำสนิทพินิจเทพสวรรค์ที่ถูกจับมาเป็นเชลยนรกอย่างสนใจ


มันต้องไม่ใช่ความบังเอิญ


มังกรสรรค์ หรือ เทพหยางหยาง ช่างมีใบหน้าที่ละม้ายกับตนเสียจนแยกแทบไม่ออก ต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับคำทำนาย


“อำนาจยิ่งใหญ่ล้นฟ้า กลับกลัวสิ่งกระจอกไร้ค่าเช่นความตาย น่าสมเพชนัก” หยางหยางเอ่ยอย่างท้าทาย


“ข้าไม่เคยกลัวความตาย”


“แล้วที่จับข้ามา ไม่ใช่เพราะคำทำนายที่ว่าข้าสามารถฆ่าเจ้าได้หรืออย่างไร”


“ฉลาด แต่ปากคอเราะรายเช่นเจ้า ไม่มีใครเคยบอกหรือว่าจะทำให้อายุสั้น”


“ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดาของโลก” เทพสวรรค์กล่าว


จ้าวปิศาจหัวเราะอย่างบ้าคลั่งกับคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน


“นั่นคงเป็นตรรกะของชาวสวรรค์เช่นพวกเจ้า ถึงได้อ่อนแอไร้กำลังเช่นวันนี้ ข้าแทบไม่ต้องลงแรงอะไร สวรรค์ก็พังราบอยู่แทบเท้าข้า”


“พลังของเราไม่ได้มีไว้เพื่อสู้รบ พวกเรามีอยู่เพื่อรักษาสมดุลของโลก และพวกเจ้าก็คือผู้ทำผิดกฎแห่งสมดุล สักวันนครอเวจีจะต้องพบจุดจบ”


“สมดุลของโลก ฮะฮะฮ่า พวกเจ้ายังเชื่อตำนานคร่ำครึแบบนั้นอยู่อีกหรือ หากสมดุลนั่นมีอยู่จริง สวรรค์ที่พินาศลงวันนี้ส่งผลอะไรบ้างล่ะ หรือแค่ตั้งอยู่...แล้วก็ดับไป” น้ำเสียงเย็นฉายแววเย้ยหยัน


“เจ้าช่างอ่อนต่อโลกนัก กิเลนดำ ความโลภในความเป็นอมตะของเจ้าบดบังทุกอย่าง เจ้าไม่เคยเห็นอะไรเลย” หยางหยางกล่าวอย่างไม่เกรงกลัว สวรรค์ไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้น แค่กองทัพปิศาจเพียงหยิบมือ มีหรือจะทำลายนครศักดิ์สิทธิ์แห่งฟากฟ้าให้สิ้นซากได้ เรื่องนี้จางฉี่หลิงไม่จำเป็นต้องรู้ ปิศาจอย่างไรก็คือปิศาจ ลุ่มหลงในอำนาจของตนอย่างมืดบอด


“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อปากต่อคำกับเจ้า” จางฉี่หลิงเงียบไปก่อนขยับตัวเข้าไปใกล้หยางหยางมากขึ้น มือเรียวขาวซีดที่มีเล็บสีนิลอันแหลมคมเอื้อมไปเชยคางอีกฝ่ายก่อนจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีมะฮอกกานีที่ก่อนหน้านี้เคยสดใสและสวยงามที่สุดบนดินแดนสวรรค์ ดวงตาสีนิลพินิจดวงหน้าขาวทั้งรูปหน้า ตา จมูก ปาก ไม่มีส่วนไหนเลยที่แตกต่างจากเขา ช่างเป็นเรื่องน่าพิศวงที่สิ่งมีชีวิตสองเผ่าพันธุ์จะมีใบหน้าที่เหมือนกันถึงเพียงนี้ อาจมีความลับบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้


“เจ้าบอกว่าเจ้าเคยพบข้า...” น้ำเสียงเย็นเปรยขึ้นหลังจากเงียบไปนาน


“เราเคยพบกัน” หยางหยางตอบเพียงเท่านั้น ไม่ได้คลายความสงสัยให้กับจางฉี่หลิงแต่อย่างใด


“เจ้าคงจะรู้ ว่าทำไมข้าและเจ้าถึงได้มีใบหน้าเหมือนกันถึงเพียงนี้”


“ฮะฮะ” หยางหยางหัวเราะแหบแห้ง เวทนาจ้าวปิศาจผู้ยิ่งใหญ่ มีอำนาจล้นฟ้า แต่แม้แต่กำเนิดของตนก็ยังไม่รู้ช่างน่าสมเพชนัก “เจ้าช่างอ่อนเดียงสานัก กิเลนดำ”


เล็บคมกดลงบนใบหน้าของหยางหยางแรงขึ้นบอกถึงแรงโทสะที่เทพสวรรค์ใส่ไฟเข้าไปด้วยคำพูดของตน


“เมื่อเจ้าไม่อยากตอบก็ไม่จำเป็นต้องตอบ วันหนึ่งข้าก็ต้องรู้อยู่ดี ไม่ความลับอะไรปิดบังข้าได้”


“อย่างนั้นหรือ” หยางหยางสวนกลับด้วยน้ำเสียงและแววตาท้าทาย


เล็บคมที่กดอยู่บริเวณข้างแก้มของดวงหน้าขาวค่อย ๆ ขยับแต่ไม่ลดแรงกดลง ใบหน้างดงามที่เคยปราศจากมลทินใด ๆ บัดนี้มีรอยกรีดลึกเป็นทางยาว หยางหยางอดกลั้นความเจ็บปวดไว้ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา จ้าวปิศาจค่อย ๆ กรีดเล็บแหลมคมจากปลายคางยาวไปถึงโหนกแก้ม เลือดสีแดงค่อย ๆ ซึมออกมาตามรอยแผลที่ถูกกรีด จางฉี่หลิงขมวดคิ้วเพียงนิดอย่างแปลกใจก่อนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน


“เลือดมนุษย์...มังกรสวรรค์เป็นมนุษย์หรอกหรือ"


หยางหยางไม่ได้ตอบอะไร เขากำลังพลาดท่า เลือดของเขามีคำตอบของความลับมากมายที่จางฉี่หลิงอยากรู้


ดวงหน้ารูปสลักของจ้าวปิศาจโน้มเข้ามาใกล้หยางหยางมากขึ้น จมูกคมสันจรดลงเหนือบาดแผลยิ่งทำให้จางฉี่หลิงฉงนใจเป็นที่สุด เลือดมนุษย์ที่ไม่มีกลิ่นคาว เป็นไปได้อย่างไร


เพื่อคลายความสงสัย ริมฝีปากหยักลึกจรดลงเหนือโหนกแก้มแผ่วเบา ค่อย ๆ กดแนบสนิท ลิ้นเรียวทำงานตามสัญชาตญาณดูดชิมหยาดโลหิตบนผิวแก้มนวล ยิ่งได้ลิ้มรสราวกับเสพยาเสพติด สัญชาตญาณปิศาจไม่อาจอดกลั้นจากอาหารอันโอชะได้ จางฉี่หลิงลิ้มรสเลือดของหยางหยางอย่างตะกละตะกลามตั้งแต่นวลแก้มจรดปลายคาง


ผลจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ทำให้หยางหยางหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปมาก และพิษบาดแผลจากคมเล็บปิศาจกำลังทำให้หยางหยางมึนงง บริเวณที่ถูกดูดเลือดออกไปนั้นร้อนราวกับไฟจนเทพสวรรค์มิอาจปิดกลั้นเสียงครางไว้ได้


“อ๊าาาาา…”


ราวกับเสียงนั้นเป็นสัญญาณกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของจ้าวปิศาจ ชั่วขณะที่ดวงตาสีมะฮอกกานีที่ฉ่ำน้ำตาแห่งความเจ็บปวดสบเข้ากับดวงตาสีนิลมืดสนิท ราวกับปลดล็อคกงล้อแห่งเวทมนตร์ จ้าวปิศาจผู้เย่อหยิ่งทะนงตนจนหลงลืมไปว่าควรจะระวังตัว โดยเฉพาะผู้ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนตนจนแยกไม่ออก อาจจะไม่ได้เหมือนเพียงรูปกาย แต่รวมถึงพลังบางอย่าง
มนตร์เสน่ห์… พลังลี้ลับแห่งจ้าวปิศาจ พลังที่ทำให้จางฉี่หลิงแตกต่างไปจากจ้าวปิศาจตนก่อน ๆ ที่มีแต่ความน่ากลัวและน่าเกรงขาม ในยุคของจางฉี่หลิง เขาสามารถรวบรวมขุมนรกเป็นปึกแผ่นได้ด้วยความแข็งแกร่งและเสน่ห์ของเขา เสน่ห์ของความเป็นผู้นำ ชวนให้ทั้งศรัทธา...และลุ่มหลง เสน่ห์ล้ำลึกที่ทำให้ปิศาจทั่วทั้งดินแดนรัตติกาลยอมสยบอยู่ใต้อำนาจ พลังที่ทำให้จางฉี่หลิงเป็นจ้าวปิศาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบพันปี บัดนี้จ้าวปิศาจกำลังต้องมนตร์นั้นเสียเองจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเชลย


ความเย้ายวนของใบหน้าที่อ่อนระโหยดวงตารื้นฉ่ำช่างเชิญชวนนักในความคิดของผู้เป็นใหญ่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ริมฝีปากทั้งสองแนบสนิท ผู้ช่ำชองกว่าคุมเกมด้วยการบดเบียดเคล้าคลึงความนุ่มหวานแสนอ่อนประสบการณ์ ริมฝีปากแกร่งขยับเม้มทั้งหลอกล้อและคุกคามอยู่ในที ดูดดึงเร่งเร้าให้ริมฝีปากอ่อนยอมรับตัวตนที่เรียกร้อง ความนุ่มหยุ่นทั้งหวานล้ำและร้อนเร่า เกี่ยวกระหวัดโรมรันดังบทหนึ่งแห่งสงครามในตำนาน ราชามังกรผู้อ่อนหัดจำต้องพ่ายแพ้ปิศาจกิเลนผู้กล้าแกร่ง


จักรพรรดิแห่งรัตติกาลตักตวงความหอมหวานจากริมฝีปากบริสุทธิ์จนบอบช้ำแต่หาได้คลายเพลิงสุมในทรวงที่ปะทุออกมาไม่ เวลานับเหมื่นราตรีที่บำเพ็ญตบะให้แกร่งกล้าหาได้ลดไฟราคะในหฤทัย กอปรกับมนตร์เสน่ห์แห่งสายเลือดไม่เสื่อมคลาย จางฉี่หลิงจึงไม่อาจหยุดความต้องการของตนได้ในยามนี้ มือขาวซีดค่อยๆขยับเค้น ตะโบมนวลเนื้อบริสุทธิ์อย่างหิวกระหาย ลำตัวที่บดเบียดเสียดสีกันเป็นชนวนชั้นดีให้เพลิงพิศวาสโหมกระพือ


อุณหภูมิของลมหายใจของสองร่างขยับสูงขึ้นด้วยไฟสวาท ดวงตาของเทพสวรรค์ปิดปรือด้วยความงุนงงและเผลอไผล เทพผู้บำเพ็ญเพียรไม่เคยต้องรสแห่งราคะจึงไม่อาจต้านทานความล่อลวงแห่งตัณหา กายแกร่งบดเบียดเคียดเค้นกระตุ้นกายอ่อนทั่วสรรพางค์ เป็นความรู้สึกที่หยางหยางไม่เคยได้สัมผัสราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลไปทั่วร่างทุกจุดที่สองกายสัมผัสกัน ความอึดอัดแสนหฤหรรษ์ถั่งโถมเพิ่มพูนจนเกินจะต้านทานไหว ฉับพลันราวกับมีใครมาเปิดรอยรั่วกลางมหาสมุทร มหานทีถูกสูบวืดสู่พื้นพิภพ


“อ๊า......”


ร่างขาวบิดเกร็งกระชากโซ่ตรวนที่พันธนาการข้อมือตนไว้ให้กระทบผนังห้องกังวานก้อง จางฉี่หลิงครางต่ำจิกเล็บบนเอวสอบเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ที่ทะยานสู่จุดสูงสุด


จ้าวนรกฝากรอยอารมณ์สีจางไว้บนลาดไหล่ขาวนวล เทพหยางหยางผู้ที่เพิ่งทำความรู้จักกับอารมณ์สวาทเป็นครั้งแรกหอบตัวโยน เนื้อตัวระเรื่อสีชมพูราวเด็กแรกเกิด จางฉี่หลิงยืนมองร่างที่เขาเพิ่งใช้ระบายอารมณ์ของตนยกยิ้มด้วยท่าทีพอใจ
“อาจไม่ใช่ข้ากระมังที่อ่อนเดียงสา เจ้าว่าไหม มังกรสวรรค์” จ้าวปิศาจเยาะเย้ยก่อนระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจที่กำราบเทพปากดีให้รู้สำนึกเสียบ้าง


ร่างของจางฉี่หลิงค่อย ๆ เลือนหายไปจากห้องขัง แต่เสียงหัวเราะยังก้องกังวานราวกับสะกดจิตให้หยางหยางแทบคลั่งด้วยความเจ็บใจและอับอาย


“เจ้ามันคือซาตาน” เสียงอ่อนแรงตอบโต้กับอากาศธาตุเพียงเท่านั้นก่อนสติสุดท้ายจะดับวูบไป







อีกด้านหนึ่ง ณ ท้องพระโรงแห่งนครอเวจี ห้องโถงยาวคราคร่ำไปด้วยปิศาจหลากเผ่าพันธุ์เพื่อรอรับเสด็จราชาแห่งมวลปิศาจ หลังจากภารกิจบุกสวรรค์สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และนี่เป็นครั้งแรกในรอบหมื่นราตรีหลังจากจ้าวปิศาจบำเพ็ญเพียรเพื่อฝึกวิชาจนเสร็จสิ้น พวกมันกำลังเฝ้ารอข่าวดี


การฉลองอันยิ่งใหญ่ อาหารอันโอชะ...


และอำนาจหอมหวานจากบำเหน็จรางวัลชั้นเลิศที่จ้าวปิศาจจะกรุณาประทานให้


บัลลังก์ยกสูงฉลุลายโบราณประดับอัญมณีสีทึบตั้งอยู่ด้านในสุดของท้องพระโรงที่ก่อนหน้านี้ว่างเปล่า ค่อย ๆ ปรากฏร่างของจ้าวปิศาจประทับมองเหล่าบริวารด้วยสีหน้าพึงใจ เสียงเซ็งแซ่ค่อย ๆ เงียบลง ปิศาจทุกตนถวายความเคารพจางฉี่หลิงอย่านอบน้อม เหล่าปิศาจทั้งหลายรู้สึกแปลกใจที่เห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ประดับอยู่บนดวงพักตร์ของราชาปิศาจผู้มีใบหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจ


นี่อาจจะเป็นลางดี


“ขอบใจพวกเจ้ามาก ที่มารอข้าที่นี่ พวกเจ้าทำหน้าที่ได้ดีอย่างที่เคยเป็นมา”


“บัดนี้สวรรค์สูญเสียพละกำลังไปมาก หากพระองค์มีแผนจะครอบครองสวรรค์ล่ะก็...” ปิศาจบรรดาศักดิ์สูงตนหนึ่งเอ่ยขึ้น


“เรื่องนั้นข้าไม่ได้สนใจ” จ้าวปิศาจกล่าวปัด


“ข้อขอแสดงความยินดีกับท่าน ที่บำเพ็ญเพียรสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ด้วยปรีชา การบุกสวรรค์คราที่ผ่านมาจึงไม่ต่างกับพ่นลมหายใจทิ้งเท่านั้น” ปิศาจดวงหน้าคมคายตนหนึ่งเอ่ยขึ้น ลักษณะภายนอกบ่งบอกว่าเป็นเผ่าพันธุ์กิเลนเช่นเดียวกับราชาปิศาจ


“ขอบใจมาก เฉินเสียง”


“ตามธรรมเนียมแล้ว สำหรับชัยชนะครั้งนี้ ท่านเห็นอย่างไรหากเราจะจัดงานเฉลิมฉลอง”


“เอาสิ ข้ากำลังหาเรื่องบันเทิงใจอยู่พอดี”
“ข้าได้ยินว่าศึกครั้งนี้พวกเรามีเชลย...” จ้าวปิศาจแย้มสรวล ตามธรรมเนียมแล้ว เชลยคืออาหารของเหล่าปิศาจ เสียแต่ว่าเชลยตนล่าสุดนี้ เขาอยากจะเก็บไว้เป็นของเล่นส่วนตัวเสียมากกว่า


“งานฉลองนี้ข้าจะทำพิธี”


“พิธีอะไรหรือท่านจ้าว”


“หลั่งเลือดเซ่นวิญญาณ”


บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบชั่วอึดใจ ความเสียดายในอาหารอันโอชะไม่เทียบเท่ากับความน่ากลัวของพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่จ้าวปิศาจเพิ่งกล่าวถึง เชลยครานี้ช่างน่าสงสารนัก ตายเสียยังดีกว่าต้องเข้าร่วมพิธีนี้ แม้ปิศาจหลายตนยอมสังเวยวิญญาณเพื่อเข้าพิธีนี้เพื่อแลกกับอำนาจอันยิ่งใหญ่ในแดนนรก แต่สิ่งที่สูญเสียนั้นไม่คุ้มเลย แม้จะในสายตาปิศาจด้วยกัน


จางฉี่หลิงแทบเฝ้ารอเวลาสำหรับของเล่นชิ้นใหม่แทบไม่ไหว นิ้วมือขาวซีดไล้มุมปากที่มีรอยช้ำคล้ายขมเขี้ยวให้กระหวัดไปนึกถึงรสจุมพิตแปลกใหม่จากเทพสวรรค์ที่เขาเพิ่งเคยได้สัมผัส หมายมาดที่จะทำลายความถือดีและจิตใจอันบริสุทธิ์นั้นให้แหลกสิ้นคามือ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเองกำลังติดบ่วงมนตร์เสน่ห์ของหยางหยาง มนตร์วิเศษที่เขาใช้กับปิศาจตนอื่นมานักต่อนัก พลังลึกลับที่แม้เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้และเป็นจางฉี่หลิงเองที่ปลุกมันขึ้นมา


เหนือท้องพระโรงที่ไร้ซึ่งเพดานเปิดสู่ท้องนภามืดสนิท ดวงจันทร์ยังคงเป็นสีแดงสุกปลั่งราวกับร้องรับพันธะสัญญาแห่งเลือด โซ่ตรวนที่กักขังวิญญาณสองดวงมานับพันปี บัดนี้กงล้อแห่งโชคชะตาขยับเคลื่อนอีกครั้ง นับจากราตรีนี้...สายเลือดที่ไหลเวียนจะเรียกร้องวิญญาณแห่งตัวตน






To be continue
TALK: เพิ่งเคยแต่งอะไรแบบนี้ครั้งแรก ตื่นเต้นนิดหน่อย สนองนี้ดตัวเองล้วน ๆ ถ้ามีคนชอบก็จะดีใจมากค่ะ แหะ ๆ โค้งงงงง

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

SWEET LABYRINTH - 01 ไอ้ตัวแสบ! [#หยางเฟิง]

Chapter 01  ไอ้ตัวแสบ!


ความเดิมตอนที่แล้ว  >> SWEET LABYRINTH – INTRO 



“ไอ้หมาป่าหุ้มหนังแกะเอ๊ย ! ” นั่นเป็นคำจำกัดความของผู้ชายที่ชื่อ “หยางหยาง” ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะนึกออกในตอนนี้ อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าการที่พวกเรามาอยู่โรงแรงเดียวกันแถมห้องยังติดกันแบบนี้มันเป็นฝีมือของใคร เอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ ถึงห้ามก็ไม่เคยฟังอยู่แล้ว


หยางหยางเป็นนักแสดงรุ่นน้อง เรารู้จักกันมานานแล้ว รู้จักกันมาก่อนผมจะเข้าวงการเสียอีก และเมื่อเร็วๆนี้ก็มีผลงานร่วมกันจนเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่ว จริง ๆ แล้วเราไม่ได้ร่วมงานกันบ่อยนัก แต่หมอนี่เป็นเด็กที่ขี้อ้อนเอามาก ๆ แถมยังเจ้าเล่ห์เป็นที่หนึ่ง ตอนแรก ๆ มันก็น่ารักดีแหละครับ ผมเอ็นดูเหมือนน้องชายคนหนึ่ง แต่นับวันยิ่งโตขึ้นไอ้ตัวแสบก็ยิ่งส่อเค้าความเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจ บางทีผมก็ชักไม่ค่อยไว้ใจมันแล้วว่าจะมาไม้ไหนกันแน่


วันนี้ผมเลิกงานเร็วเป็นพิเศษหลังจากทำงานหนักมาหลายวัน อยากจะกลับมานอนยาว ๆ สักหน่อยแต่คาดว่าผมคงจะไม่สมหวังเพราะคืนนี้ต้องมีหมาป่าในคราบแกะมากวนใจแน่ ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยความที่ผมเอ็นดูเจ้านี่มาตั้งแต่เด็ก ผมพอจะรู้ว่าเขาขี้เหงามาก ทำงานหนักตั้งแต่เด็กและมีเพื่อนสนิทไม่มากนัก หมอนี่ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุจริง เหมือนกับบทละครที่เขาได้รับบ่อย ๆ ผลกรรมก็เลยมาตกที่ผมซึ่งหยางหยางจะแสดงความเป็นเด็กอีกด้านหนึ่งของเขาออกมา ซึ่งทำให้ผมมักใจอ่อนกับเขาเสมอ
อา... ผมหิวอีกแล้วล่ะครับ
จริง ๆ ผมกินข้าวเย็นมาจากกองถ่ายแล้วนะเนี่ย แต่กระเพาะผมมันคงเป็นหลุมดำทำให้ผมหิวตลอดเวลาเลย จะสั่งรูมเซอร์วิสก็ขี้เกียจวุ่นวาย พึ่งบะหมี่ถ้วยไปก่อนแล้วกัน ผมตุนไว้เยอะครับ ยิ่งต้องมาพักโรงแรมทำงานข้างนอกแบบนี้ ผมยิ่งต้องตุน เพราะหนึ่งผมต้องหิวแน่ ๆ ผมรู้จักตัวเองดี และสองหลังเลิกงานแล้วผมไม่ชอบความวุ่นวายดังนั้นผมจะไม่ออกไปกินข้าวข้างนอกหรอกครับ นอกจากจะยุ่งยากแล้วยังเปลืองเวลาพักผ่อนอีกด้วย
ผมเติมน้ำร้อน ปิดฝาและรอเวลาอย่างตั้งใจ มองเข็มนาฬิกาบนฝาผนังตาไม่กระพริบ สามนาทีไม่ขาดไม่เกิน ทันทีที่ผมเปิดฝาออก กลิ่นบะหมี่หอม ๆ ก็โชยออกมาเรียกน้ำย่อยในท้องของผมที่พร้อมทำงานอยู่แล้วให้ตื่นตัวมากยิ่งขึ้น ผมใช้ตะเกียบอย่างคล่องแคล่วคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมาอย่างสวยงาม เป่าลมเบา ๆ ไล่ความร้อนออกไปพร้อมจะลิ้มรสความอร่อยให้หนำใจ อ้ามมม...
ก๊อก ๆ ๆ
ผมตวัดสายตาอย่างฉุนขาดไปที่ประตู มารความสุขเอ๊ย ! ผมลุกขึ้นเดินไปที่ประตูโดยที่มือหนึ่งยังถือถ้วยบะหมี่และบะหมี่คำแรกพร้อมตะเกียบยังคาปากอยู่ ส่องตาแมวดูก็เห็นว่าใครที่เป็นตัวขัดลาภปากของผม เดาไว้ไม่มีผิด ไอ้แกะตัวแสบ !
ผมเปิดประตูให้ด้วยความไม่สบอารมณ์นัก หลังบานประตูคือเจ้าหยางหยางตัวแสบยืนยิ้มแป้นแล้นต่างจากตอนกลางวันลิบลับ แปลว่าผมต้องเตรียมรับมือกับเจ้าตัวแสบโหมดไฮเอเนอร์จี้ครับ ผมส่งสายตาบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเข้ามาขัดจังหวะเวลาสำคัญของผม
“ทำหน้ายู่ยี่แก่เร็วนะครับ”
“...” ผมถลึงตาใส่ทั้ง ๆ ที่บะหมี่ยังคาปากอยู่
“เอ้า นั่น ๆ ตะเกียบมันกินไม่ได้นะครับ มา ๆ ถ้ากินไม่เป็นเดี๋ยวผมป้อนให้ก็ได้” เจ้าตัวแสบรุนหลังผมให้เดินเข้ามาในห้องพร้อมปิดประตูเดินตามมา ก่อนพยายามจะคว้าตะเกียบออกจากปากของผม ผมปัดมือนั้นออกอย่างรู้ทันก่อนใช้ตะเกียบสาวเส้นบะหมี่เข้าปากอย่างเรียบร้อยและเคี้ยวกร้วม ๆ อย่างขัดใจ แต่ขอโทษด้วย นายไม่ทำให้ฉันหมดอารมณ์กินได้ง่าย ๆ หรอกไอ้ตัวแสบ
ผมเดินกลับมาที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ ก่อนหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดมันและนั่งกินบะหมี่ต่ออย่างไม่ใส่ใจผู้มาใหม่
หยางหยางนั่งลงข้างผมบนโซฟาตัวเดียวกัน จ้องมองผมกินบะหมี่นิ่ง ๆ โดยไม่ได้กล่าวอะไร พอบะหมี่หมดถ้วยผมก็วางมันลงบนโต๊ะข้างโซฟาก่อนหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะมาเช็ดปาก แล้วผมก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับลงบนหน้าตักของผม นั่นไง มันฉวยโอกาสของมันได้แล้วครับ นั่งเงียบ ๆ มาตั้งนาน มันรอเวลานี้อยู่นี่เอง
“หนัก”
“ขี้งก” ไอ้ตัวแสบค่อนขอด ใช้ตักผมต่างหมอนหนุนนอนสบายใจ หลับตาพริ้มอย่างอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน
“กินอิ่ม ๆ มันอึดอัดไม่รู้หรือไง”
“...”
“โอ๊ยยยยย” มันกัดผมครับ ไอ้ตัวแสบมันกัดท้องผม ไอ้เลวววววว “ไอ้ตัวแสบ! มันเจ็บนะ ฉีดยาหรือยังเนี่ย”
“หมั่นเขี้ยว พุงปลิ้นแล้วนะ ลดน้ำหนักบ้างเถอะ”
หนอยยยยยย... ไอ้ตัวแสบ!
“ลุกเลย ลุก ๆ ๆ ไม่ให้นอนแล้ว” ผมพยายามดันหัวทุย ๆ ของเจ้าแกะร้ายกาจออกไป แต่มันก็ยังไม่วายรัดเอวผมไว้แน่น
“ไม่เอาอะ จะนอนนนน” หยางหยางยังคงรัดผมไม่ปล่อยจนผมเหนื่อยที่จะออกแรง คนมันกินอิ่ม ๆน่ะเข้าใจไหมครับ มันจุก ! สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ยอมอยู่นิ่ง ๆ ปล่อยให้แกะบ้าทำตามที่ใจต้องการ พอเห็นว่าผมไม่ขัดขืนแล้วเจ้าตัวแสบก็ขยับตัวขึ้นมานอนเต็มตักผมพร้อมยิ้มเผล่ชวนให้เอ็นดูไม่หยอก ก็เพราะมันเป็นแบบนี้แหละครับ ผมถึงได้ใจอ่อนทุกที เมื่อไหร่ผมจะหมดเวรหมดกรรมกับแกะตัวนี้สักทีก็ไม่รู้
“เหนื่อยไหม”
“เหนื่อยมากกกกกกกกกกกก ทำงานก็เหนื่อยยังมีคนมาคอยกวนอีก”
“เหนื่อยไหมที่ต้องดูแลผม”
“...” ดูมันครับ มาพูดจาเสียงอ่อนทำหน้าเป็นลูกหมาหลงแบบนี้ผมก็ไปต่อไม่ถูกสิ
“ผมรักพี่นะ อย่าทิ้งผมไปไหน” หมัดน็อค ผมพูดไว้ผิดที่ไหน ไอ้ตัวแสบเนี่ยขี้อ้อนที่หนึ่ง ผมเลยดีดหน้าผากมันไปทีนึง
“อ้อนขนาดนี้จะเอาอะไรก็พูดมาเลย ไม่ต้องลีลา” อย่าคิดว่าผมรู้ไม่ทัน
“คืนนี้ผมนอนด้วยนะ” แล้วหน้าหมาหงอยก็เปลี่ยนเป็นกระดี่ได้น้ำในทันที ถึงรู้ทันแล้วผมจะทำอะไรได้ ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีว่าผมต้องรับมือกับไอ้ตัวแสบนี่ยังไง
“ถ้าฉันห้ามแล้วนายจะฟังไหม?”
“ไม่” ตอบไม่คิดเลยสินะ ไอ้หมาป่า...
“อยากทำอะไรก็ทำ ฉันห้ามนายไม่ได้อยู่แล้วนี่” ผมกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“อยากทำอะไรก็ให้ทำจริงเหรอ” หยางหยางลุกขึ้นก่อนเปลี่ยนมานั่งบนตักผมอย่างรวดเร็ว เราสบตากันในระดับเดียวกัน ก่อนที่ใบหน้าเจ้าเล่ห์ร้ายกาจจะยกยิ้มมุมปากและพาให้จมูกคมสันของตัวเองเคลื่อนตัวลดระยะห่างจากปลายจมูกของผมเข้ามาเรื่อยๆจนแทบไม่เหลือช่องว่างใด ๆ หยางหยางหยุดการเคลื่อนไหวและค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น ชั่วอึดใจราวกับต้องมนต์ที่ผมถูกสะกดด้วยสายตาคู่ตรงหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ผมรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิเหนือระดับผิวหน้าของผมกำลังสูงขึ้น
ผมบอกแล้วว่าหมอนี่มันร้าย...
“พี่หน้าแดงหมดแล้ว”
“หนัก” ผมดุกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่ลอยฟุ้งอยู่เมื่อครู่ให้เลือนหายไป
“พี่เขินผมเหรอ” ดูมัน ยังไม่เลิกอีก
“...”
“ฮ่า ๆ ๆ ก็ผมหล่อนี่น้า พี่ก็ต้องเขินเป็นธรรมดา ผมเข้าใจ ๆ” กวน... ผมจะทำยังไงกับแกะตัวนี้ดี
“ลุก” ผมเอ่ยเสียงดุและแสดงสีหน้าชัดเจนว่าไม่พอใจ
“...” หยางหยางมีสีตกใจเล็กน้อยกับท่าทีของผม
“ลุก” ผมยังคงย้ำด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เฮ้ยพี่ ผมไม่ได้จะแกล้งใจพี่นะ อย่าโกรธดิ”
“ลุก”
“โอเค ๆ ผมยอมแล้ว” หยางหยางยอมแพ้ในที่สุดก่อนลุกออกจากตักผมไป ผมลอบยิ้มมุมปากกับท่าทีของอีกฝ่าย
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นนาย จำไว้...”
“...” หยางหยางหลุบตา หน้าสลดลงจนผมชักใจอ่อน
“แต่ถ้านายทำตัวดี ๆ ฉันจะยอมเล่นด้วยก็ได้” คนอ่อนวัยกว่าเงยหน้าขึ้นมาพอดีกับที่ผมโน้มตัวลงไปหอมแก้มเจ้าตัวแสบเร็ว ๆ ก่อนยิ้มให้อย่างเอ็นดู หน้าขาวขึ้นริ้วสีแดงกับหน้าตาตื่น ๆ นั้นทำให้ผมหลุดหัวเราะ
“พี่ทำอะไรน่ะ”
“หอมแก้มไง เขินเหรอ หน้าแดงหมดแล้ว ก็ฉันหล่อนี่น้า นายก็ต้องเขินเป็นธรรมดา ฉันเข้าใจ ๆ ” คิดจะเล่นกับหลี่อี้เฟิงนายยังเกิดช้าไปหลายปีนะแกะน้อย
หยางหยางมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย จนผมชักทำอะไรไม่ถูก
“ฉันง่วงแล้ว ไปนอนก่อนนะ ถ้าจะนอนก็ปิดทีวีปิดไฟให้ด้วย”
“...” ไม่มีการตอบรับจากเจ้าตัวแสบอย่างที่เคย สงสัยจะเขิน งั้นผมไปนอนก่อนดีกว่า ให้แกะแสบได้ตั้งหลักบ้าง เดี๋ยวจะเขินตายไปซะก่อน


ผมนอนไม่หลับ
และยังคงนอนคนเดียวบนเตียงคิงไซส์ซึ่งเว้นที่ว่างด้านหนึ่งไว้ให้ใครบางคนที่มาอ้อนขอนอนด้วยเมื่อช่วงค่ำ แต่ตอนนี้ก็ยังว่างเปล่าทั้งที่เวลาล่วงเข้าวันใหม่มาแล้วเกือบชั่วโมง
ระหว่างที่กำลังกระวนกระวายเสียงประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออก ผมจึงแกล้งทำเป็นหลับทันที น้ำหนักตัวที่กดทับลงบนที่ว่างด้านข้างทำให้รู้ว่าอีกคนเข้ามานอนแล้ว ไม่นอนเปล่ายังขยับตัวเข้ามาใกล้ซุกหน้าเข้ากับไหล่ของผมและพาดแขนมากอดเอวผมไว้หลวม ๆ
หยางหยางเป็นแบบนี้เสมอครับ และก็เป็นผมเองที่ใจอ่อนทุกครั้งไป

ผมมากองถ่ายตั้งแต่เช้ามืดเพราะวันนี้มีถ่ายตั้งแต่คิวแรก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสายกว่าอีกคนที่ออกไปทำงานก่อนผมเสียอีก ไม่รู้ว่าได้นอนบ้างไหม เพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เข้าวันใหม่มาแล้ว ส่วนผมจะได้นอนน้อยหรือนอนมาก ก็ต้องทำงานทุกวันอยู่ดี ผมชินแล้วล่ะกับวงการนี้
การถ่ายทำละครคือการทำงานเป็นทีมอย่างหนึ่ง “ทีม” ที่ดีจะทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ และ “ทีม” ที่ดีนั่นหมายถึงความเป็นหนึ่งอันเดียวกันของสต๊าฟทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ใครคนใดคนหนึ่ง... แต่ตอนนี้เรากำลังมีปัญหา
เย่าฉี นักแสดงสาวรุ่นเดียวกันกับผมกำลังแผลงฤทธิ์
“ทำไมคนอื่นถึงได้เลือกแล้วฉันไม่ได้เลือก ! ” นักแสดงสาวโวยวายเรื่องอาหารเช้าของกองถ่าย เนื่องจากเธอมาถึงเป็นคนสุดท้าย และข้าวเช้าของกองถ่ายก็เหลือเพียงอย่างเดียวซึ่งเธอไม่ค่อยถูกใจนัก
“ของมันเหลืออย่างเดียวจริง ๆ ค่ะ คุณเย่าฉี” สต๊าฟกองถ่ายพยายามเจรจากับดาราสาว
“ทีช่างไฟยังได้เลือกเลย ฉันเป็นนักแสดงนะ”
“เอาของฉันไปก็ได้” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นด้านหลัง พร้อมกล่องข้าวที่ผมรู้ดีว่ามันเป็นอาหารจานโปรดของเย่าฉี เธอตาโตเป็นประกายด้วยความดีใจก่อนยื่นมือไปรับกล่องข้าวกล่องนั้น แต่ผมยอมแบบนั้นไม่ได้ มันไม่ยุติธรรม
“อย่าน่า เฮียเหยา คนมาทีหลังก็ไม่ควรมีสิทธิ์เลือกน่ะถูกแล้ว”
“เฟิงเฟิง!” เย่าฉีครวญอย่างขัดใจ
“ถ้าอยากกินของที่ชอบก็หัดมาเร็ว ๆ สิ” ใช่ครับ พวกเราในกองไม่ว่าตำแหน่งอะไรควรมีสิทธิเท่าเทียมกัน ถ้าอยากมีสิทธิเลือกก็ควรมาเช้ากว่าคนอื่น พวกเรายึดวิธีนี้กันมานานแม้ไม่มีใครตั้งกฎกันจริง ๆ จัง ๆ ซึ่งผมคิดว่าวิธีนี้แฟร์ที่สุดแล้ว
“เฮียโอเคน่า ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว กินอะไรก็ได้” เฮียเหยาว่า
“เอ๊ะ นี่เฮียว่าฉันเรื่องมากเหรอ”
“ใช่” ผมตอบแทน
“เฮ้ย! อาเฟิง ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะเย่าฉี เฮียไม่คิดมากจริง ๆ ” เฮียเหยาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของกองนี้ เราร่วมงานกันหลายครั้ง เขาเป็นคนใจดีกับทุกคนเสมอ
“เห็นไหม เฟิงเฟิง เฮียเหยาไม่ว่าอะไรสักหน่อย” เย่าฉีเอ่ยก่อนจะยื่นมือไปรับกล่องข้าวเจ้าปัญหา แต่ผมกลับยื่นมือไปดันกล่องข้าวนั้นคืนเจ้าของเดิมไป
“ไม่ได้ เดี๋ยวเธอจะเคยตัว ฉันจะดัดนิสัยเธอ” จริง ๆ แล้วเย่าฉีเป็นคนน่ารักครับ เสียแต่เอาแต่ใจไปหน่อย “ช่างไฟ คนเซ็ตฉาก เด็กยกน้ำ หรือแม้แต่ผู้กำกับ ก็ไม่มีใครเคยบ่นเรื่องนี้ ทุกคนต่อแถวรับอาหารกันเหมือนกันทุกคน ถ้ามาทีหลังก็มีตัวเลือกน้อยกว่าก็ถูกแล้ว วันนี้ถึงเฮียเหยาจะเต็มใจ แต่ถ้าเธอทำได้หนึ่งคน ระบบทั้งระบบมันจะเสีย”
เย่าฉีก้มหน้างุด เม้มปากอย่างขัดใจ
“ก็ได้ ๆ ๆ ฉันกินอันเดิมก็ได้ พอใจหรือยังล่ะ”
“ดีมาก ไปกินข้าวได้แล้ว” ผมออกคำสั่งชัดถ้อยชัดคำ รู้สึกภูมิใจที่พิทักษ์ความยุติธรรมไว้ได้ ส่วนเฮียเหยาเพียงแต่ถอนหายใจและส่ายหัวเบา ๆ
“นายนี่มันน่าจะไปเป็นครูฝ่ายปกครองนะ ดุเหลือเกิน” เฮียเหยาเอ่ยแซว ผมยักไหล่ส่งยิ้มกวนให้เฮียแกก่อนไปเตรียมตัวเข้าฉาก
หลังจากเคลียร์ปัญหาเรื่องอาหารเช้าของเย่าฉีได้แล้ว ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะราบรื่นดี แต่ลึก ๆ แล้วมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น วงการนี้เต็มไปด้วยการชิงดีชิงเด่นและความอิจฉาริษยา เพราะเย่าฉีเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่ในวงการใคร ๆ เลยต่างพากันเกรงใจ แต่ลึก ๆ ข้างในใจแล้วคนอื่นคิดอย่างไรกับเธอผมไม่อาจรู้ได้ ด้วยความเอาแต่ใจและขี้โวยวายของเธอ ไม่ยากเลยที่จะทำให้คนที่ไม่รู้จักเธอจริง ๆ นั้นไม่ชอบเธอได้ ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผม ผมจึงพยายามเตือนเธอเท่าที่ผมจะทำได้ ถ้าเป็นคนอื่นผมคงถูกหมั่นไส้หรือไม่ก็ถูดเกลียดไปเลย แต่โชคดีที่เย่าฉีเป็นคนจิตใจดี เธอเข้าใจความหวังดีของผม เราจึงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเรื่อยมา
อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงผมต้องเข้าฉากแล้ว ผมจึงรีบกลับมากินข้าวเช้าให้เสร็จเรียบร้อย ในขณะที่ผมกำลังตักข้าวเข้าปากนั้น...
ดิ๊งด่อง...
ผมลืมปิดเสียงเตือนโทรศัพท์มือถือ สงสัยจะเพลียจัดเลยลืม โชคดีที่ยังไม่เริ่มงานไม่อย่างนั้นผมคงไม่ให้อภัยตัวเองแน่ ๆ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คการแจ้งเตือนพบว่ามีข้อความเข้ามา
‘อย่ากินเยอะ’
ผมว่าชีวิตของผมคงถูกป่วนไปสักระยะล่ะครับ ตราบใดที่ยังคงทำงานอยู่ที่นี่


วันนี้ผมเหนื่อยมาก อยากจะกระโดดลงบนเตียงแล้วนอนโดยที่ไม่อาบน้ำเลยได้ไหม การถ่ายละครตั้งแต่หกโมงเช้าถึงสี่ทุ่มประกอบกับเมื่อคืนที่นอนน้อยด้วยแล้วทำให้ตอนนี้ผมแทบจะทรงตัวไม่อยู่จริง ๆ ผมกลับถึงห้องและโยนสัมภาระทุกอย่างไว้บนโซฟาหน้าทีวีและตรงดิ่งเข้าห้องนอนทันที กะจะไม่อาบน้ำแต่ทำใจไม่ได้จริงๆครับ ผมเลยรีบสลัดเสื้อผ้าทุกชิ้นบนร่างกายอย่างรวดเร็ว คว้าผ้าขนหนูและรีบตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ
อา... ผมคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ยับยั้งชั่งใจให้ตัวเองอาบน้ำก่อนนอน น้ำอุ่นๆจากฝักบัวที่ไหลลงมากระทบร่างของผมช่วยชำระล้างความเหนื่อยล้าไปได้มากทีเดียว
ผมปิดน้ำจากฝักบัวพร้อมกับได้ยินเสียงเคาะประตูดังแว่วมาจากด้านนอก แต่ผมไม่สนใจ ตอนนี้เป็นเวลาส่วนตัวผมอยากอาบน้ำผมก็จะอาบน้ำ เสียงเคาะประตูดังขึ้นราวสามครั้งก่อนจะเงียบไป คาดว่าคนที่ต้องการพบผมคงคิดได้แล้วว่าไม่ควรรบกวนผมในตอนนี้
แต่ผมคิดผิด...
ไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงโทรศัพท์ของผมที่อยู่ข้างเตียงไม่ไกลจากห้องน้ำก็แผดร้องขึ้น ผมว่าผมเดาได้แล้วล่ะว่าใครกันที่พยายามจะรบกวนเวลาส่วนตัวของผม คนที่มักเซ้าซี้อยากจะพบผมขนาดนี้มีอยู่คนเดียว
รอไปก่อนเถอะ...ไอ้ตัวแสบ