วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

SWEET LABYRINTH - 01 ไอ้ตัวแสบ! [#หยางเฟิง]

Chapter 01  ไอ้ตัวแสบ!


ความเดิมตอนที่แล้ว  >> SWEET LABYRINTH – INTRO 



“ไอ้หมาป่าหุ้มหนังแกะเอ๊ย ! ” นั่นเป็นคำจำกัดความของผู้ชายที่ชื่อ “หยางหยาง” ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะนึกออกในตอนนี้ อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าการที่พวกเรามาอยู่โรงแรงเดียวกันแถมห้องยังติดกันแบบนี้มันเป็นฝีมือของใคร เอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ ถึงห้ามก็ไม่เคยฟังอยู่แล้ว


หยางหยางเป็นนักแสดงรุ่นน้อง เรารู้จักกันมานานแล้ว รู้จักกันมาก่อนผมจะเข้าวงการเสียอีก และเมื่อเร็วๆนี้ก็มีผลงานร่วมกันจนเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่ว จริง ๆ แล้วเราไม่ได้ร่วมงานกันบ่อยนัก แต่หมอนี่เป็นเด็กที่ขี้อ้อนเอามาก ๆ แถมยังเจ้าเล่ห์เป็นที่หนึ่ง ตอนแรก ๆ มันก็น่ารักดีแหละครับ ผมเอ็นดูเหมือนน้องชายคนหนึ่ง แต่นับวันยิ่งโตขึ้นไอ้ตัวแสบก็ยิ่งส่อเค้าความเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจ บางทีผมก็ชักไม่ค่อยไว้ใจมันแล้วว่าจะมาไม้ไหนกันแน่


วันนี้ผมเลิกงานเร็วเป็นพิเศษหลังจากทำงานหนักมาหลายวัน อยากจะกลับมานอนยาว ๆ สักหน่อยแต่คาดว่าผมคงจะไม่สมหวังเพราะคืนนี้ต้องมีหมาป่าในคราบแกะมากวนใจแน่ ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยความที่ผมเอ็นดูเจ้านี่มาตั้งแต่เด็ก ผมพอจะรู้ว่าเขาขี้เหงามาก ทำงานหนักตั้งแต่เด็กและมีเพื่อนสนิทไม่มากนัก หมอนี่ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุจริง เหมือนกับบทละครที่เขาได้รับบ่อย ๆ ผลกรรมก็เลยมาตกที่ผมซึ่งหยางหยางจะแสดงความเป็นเด็กอีกด้านหนึ่งของเขาออกมา ซึ่งทำให้ผมมักใจอ่อนกับเขาเสมอ
อา... ผมหิวอีกแล้วล่ะครับ
จริง ๆ ผมกินข้าวเย็นมาจากกองถ่ายแล้วนะเนี่ย แต่กระเพาะผมมันคงเป็นหลุมดำทำให้ผมหิวตลอดเวลาเลย จะสั่งรูมเซอร์วิสก็ขี้เกียจวุ่นวาย พึ่งบะหมี่ถ้วยไปก่อนแล้วกัน ผมตุนไว้เยอะครับ ยิ่งต้องมาพักโรงแรมทำงานข้างนอกแบบนี้ ผมยิ่งต้องตุน เพราะหนึ่งผมต้องหิวแน่ ๆ ผมรู้จักตัวเองดี และสองหลังเลิกงานแล้วผมไม่ชอบความวุ่นวายดังนั้นผมจะไม่ออกไปกินข้าวข้างนอกหรอกครับ นอกจากจะยุ่งยากแล้วยังเปลืองเวลาพักผ่อนอีกด้วย
ผมเติมน้ำร้อน ปิดฝาและรอเวลาอย่างตั้งใจ มองเข็มนาฬิกาบนฝาผนังตาไม่กระพริบ สามนาทีไม่ขาดไม่เกิน ทันทีที่ผมเปิดฝาออก กลิ่นบะหมี่หอม ๆ ก็โชยออกมาเรียกน้ำย่อยในท้องของผมที่พร้อมทำงานอยู่แล้วให้ตื่นตัวมากยิ่งขึ้น ผมใช้ตะเกียบอย่างคล่องแคล่วคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมาอย่างสวยงาม เป่าลมเบา ๆ ไล่ความร้อนออกไปพร้อมจะลิ้มรสความอร่อยให้หนำใจ อ้ามมม...
ก๊อก ๆ ๆ
ผมตวัดสายตาอย่างฉุนขาดไปที่ประตู มารความสุขเอ๊ย ! ผมลุกขึ้นเดินไปที่ประตูโดยที่มือหนึ่งยังถือถ้วยบะหมี่และบะหมี่คำแรกพร้อมตะเกียบยังคาปากอยู่ ส่องตาแมวดูก็เห็นว่าใครที่เป็นตัวขัดลาภปากของผม เดาไว้ไม่มีผิด ไอ้แกะตัวแสบ !
ผมเปิดประตูให้ด้วยความไม่สบอารมณ์นัก หลังบานประตูคือเจ้าหยางหยางตัวแสบยืนยิ้มแป้นแล้นต่างจากตอนกลางวันลิบลับ แปลว่าผมต้องเตรียมรับมือกับเจ้าตัวแสบโหมดไฮเอเนอร์จี้ครับ ผมส่งสายตาบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเข้ามาขัดจังหวะเวลาสำคัญของผม
“ทำหน้ายู่ยี่แก่เร็วนะครับ”
“...” ผมถลึงตาใส่ทั้ง ๆ ที่บะหมี่ยังคาปากอยู่
“เอ้า นั่น ๆ ตะเกียบมันกินไม่ได้นะครับ มา ๆ ถ้ากินไม่เป็นเดี๋ยวผมป้อนให้ก็ได้” เจ้าตัวแสบรุนหลังผมให้เดินเข้ามาในห้องพร้อมปิดประตูเดินตามมา ก่อนพยายามจะคว้าตะเกียบออกจากปากของผม ผมปัดมือนั้นออกอย่างรู้ทันก่อนใช้ตะเกียบสาวเส้นบะหมี่เข้าปากอย่างเรียบร้อยและเคี้ยวกร้วม ๆ อย่างขัดใจ แต่ขอโทษด้วย นายไม่ทำให้ฉันหมดอารมณ์กินได้ง่าย ๆ หรอกไอ้ตัวแสบ
ผมเดินกลับมาที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ ก่อนหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดมันและนั่งกินบะหมี่ต่ออย่างไม่ใส่ใจผู้มาใหม่
หยางหยางนั่งลงข้างผมบนโซฟาตัวเดียวกัน จ้องมองผมกินบะหมี่นิ่ง ๆ โดยไม่ได้กล่าวอะไร พอบะหมี่หมดถ้วยผมก็วางมันลงบนโต๊ะข้างโซฟาก่อนหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะมาเช็ดปาก แล้วผมก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับลงบนหน้าตักของผม นั่นไง มันฉวยโอกาสของมันได้แล้วครับ นั่งเงียบ ๆ มาตั้งนาน มันรอเวลานี้อยู่นี่เอง
“หนัก”
“ขี้งก” ไอ้ตัวแสบค่อนขอด ใช้ตักผมต่างหมอนหนุนนอนสบายใจ หลับตาพริ้มอย่างอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน
“กินอิ่ม ๆ มันอึดอัดไม่รู้หรือไง”
“...”
“โอ๊ยยยยย” มันกัดผมครับ ไอ้ตัวแสบมันกัดท้องผม ไอ้เลวววววว “ไอ้ตัวแสบ! มันเจ็บนะ ฉีดยาหรือยังเนี่ย”
“หมั่นเขี้ยว พุงปลิ้นแล้วนะ ลดน้ำหนักบ้างเถอะ”
หนอยยยยยย... ไอ้ตัวแสบ!
“ลุกเลย ลุก ๆ ๆ ไม่ให้นอนแล้ว” ผมพยายามดันหัวทุย ๆ ของเจ้าแกะร้ายกาจออกไป แต่มันก็ยังไม่วายรัดเอวผมไว้แน่น
“ไม่เอาอะ จะนอนนนน” หยางหยางยังคงรัดผมไม่ปล่อยจนผมเหนื่อยที่จะออกแรง คนมันกินอิ่ม ๆน่ะเข้าใจไหมครับ มันจุก ! สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ยอมอยู่นิ่ง ๆ ปล่อยให้แกะบ้าทำตามที่ใจต้องการ พอเห็นว่าผมไม่ขัดขืนแล้วเจ้าตัวแสบก็ขยับตัวขึ้นมานอนเต็มตักผมพร้อมยิ้มเผล่ชวนให้เอ็นดูไม่หยอก ก็เพราะมันเป็นแบบนี้แหละครับ ผมถึงได้ใจอ่อนทุกที เมื่อไหร่ผมจะหมดเวรหมดกรรมกับแกะตัวนี้สักทีก็ไม่รู้
“เหนื่อยไหม”
“เหนื่อยมากกกกกกกกกกกก ทำงานก็เหนื่อยยังมีคนมาคอยกวนอีก”
“เหนื่อยไหมที่ต้องดูแลผม”
“...” ดูมันครับ มาพูดจาเสียงอ่อนทำหน้าเป็นลูกหมาหลงแบบนี้ผมก็ไปต่อไม่ถูกสิ
“ผมรักพี่นะ อย่าทิ้งผมไปไหน” หมัดน็อค ผมพูดไว้ผิดที่ไหน ไอ้ตัวแสบเนี่ยขี้อ้อนที่หนึ่ง ผมเลยดีดหน้าผากมันไปทีนึง
“อ้อนขนาดนี้จะเอาอะไรก็พูดมาเลย ไม่ต้องลีลา” อย่าคิดว่าผมรู้ไม่ทัน
“คืนนี้ผมนอนด้วยนะ” แล้วหน้าหมาหงอยก็เปลี่ยนเป็นกระดี่ได้น้ำในทันที ถึงรู้ทันแล้วผมจะทำอะไรได้ ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีว่าผมต้องรับมือกับไอ้ตัวแสบนี่ยังไง
“ถ้าฉันห้ามแล้วนายจะฟังไหม?”
“ไม่” ตอบไม่คิดเลยสินะ ไอ้หมาป่า...
“อยากทำอะไรก็ทำ ฉันห้ามนายไม่ได้อยู่แล้วนี่” ผมกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“อยากทำอะไรก็ให้ทำจริงเหรอ” หยางหยางลุกขึ้นก่อนเปลี่ยนมานั่งบนตักผมอย่างรวดเร็ว เราสบตากันในระดับเดียวกัน ก่อนที่ใบหน้าเจ้าเล่ห์ร้ายกาจจะยกยิ้มมุมปากและพาให้จมูกคมสันของตัวเองเคลื่อนตัวลดระยะห่างจากปลายจมูกของผมเข้ามาเรื่อยๆจนแทบไม่เหลือช่องว่างใด ๆ หยางหยางหยุดการเคลื่อนไหวและค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น ชั่วอึดใจราวกับต้องมนต์ที่ผมถูกสะกดด้วยสายตาคู่ตรงหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ผมรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิเหนือระดับผิวหน้าของผมกำลังสูงขึ้น
ผมบอกแล้วว่าหมอนี่มันร้าย...
“พี่หน้าแดงหมดแล้ว”
“หนัก” ผมดุกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่ลอยฟุ้งอยู่เมื่อครู่ให้เลือนหายไป
“พี่เขินผมเหรอ” ดูมัน ยังไม่เลิกอีก
“...”
“ฮ่า ๆ ๆ ก็ผมหล่อนี่น้า พี่ก็ต้องเขินเป็นธรรมดา ผมเข้าใจ ๆ” กวน... ผมจะทำยังไงกับแกะตัวนี้ดี
“ลุก” ผมเอ่ยเสียงดุและแสดงสีหน้าชัดเจนว่าไม่พอใจ
“...” หยางหยางมีสีตกใจเล็กน้อยกับท่าทีของผม
“ลุก” ผมยังคงย้ำด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เฮ้ยพี่ ผมไม่ได้จะแกล้งใจพี่นะ อย่าโกรธดิ”
“ลุก”
“โอเค ๆ ผมยอมแล้ว” หยางหยางยอมแพ้ในที่สุดก่อนลุกออกจากตักผมไป ผมลอบยิ้มมุมปากกับท่าทีของอีกฝ่าย
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นนาย จำไว้...”
“...” หยางหยางหลุบตา หน้าสลดลงจนผมชักใจอ่อน
“แต่ถ้านายทำตัวดี ๆ ฉันจะยอมเล่นด้วยก็ได้” คนอ่อนวัยกว่าเงยหน้าขึ้นมาพอดีกับที่ผมโน้มตัวลงไปหอมแก้มเจ้าตัวแสบเร็ว ๆ ก่อนยิ้มให้อย่างเอ็นดู หน้าขาวขึ้นริ้วสีแดงกับหน้าตาตื่น ๆ นั้นทำให้ผมหลุดหัวเราะ
“พี่ทำอะไรน่ะ”
“หอมแก้มไง เขินเหรอ หน้าแดงหมดแล้ว ก็ฉันหล่อนี่น้า นายก็ต้องเขินเป็นธรรมดา ฉันเข้าใจ ๆ ” คิดจะเล่นกับหลี่อี้เฟิงนายยังเกิดช้าไปหลายปีนะแกะน้อย
หยางหยางมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย จนผมชักทำอะไรไม่ถูก
“ฉันง่วงแล้ว ไปนอนก่อนนะ ถ้าจะนอนก็ปิดทีวีปิดไฟให้ด้วย”
“...” ไม่มีการตอบรับจากเจ้าตัวแสบอย่างที่เคย สงสัยจะเขิน งั้นผมไปนอนก่อนดีกว่า ให้แกะแสบได้ตั้งหลักบ้าง เดี๋ยวจะเขินตายไปซะก่อน


ผมนอนไม่หลับ
และยังคงนอนคนเดียวบนเตียงคิงไซส์ซึ่งเว้นที่ว่างด้านหนึ่งไว้ให้ใครบางคนที่มาอ้อนขอนอนด้วยเมื่อช่วงค่ำ แต่ตอนนี้ก็ยังว่างเปล่าทั้งที่เวลาล่วงเข้าวันใหม่มาแล้วเกือบชั่วโมง
ระหว่างที่กำลังกระวนกระวายเสียงประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออก ผมจึงแกล้งทำเป็นหลับทันที น้ำหนักตัวที่กดทับลงบนที่ว่างด้านข้างทำให้รู้ว่าอีกคนเข้ามานอนแล้ว ไม่นอนเปล่ายังขยับตัวเข้ามาใกล้ซุกหน้าเข้ากับไหล่ของผมและพาดแขนมากอดเอวผมไว้หลวม ๆ
หยางหยางเป็นแบบนี้เสมอครับ และก็เป็นผมเองที่ใจอ่อนทุกครั้งไป

ผมมากองถ่ายตั้งแต่เช้ามืดเพราะวันนี้มีถ่ายตั้งแต่คิวแรก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสายกว่าอีกคนที่ออกไปทำงานก่อนผมเสียอีก ไม่รู้ว่าได้นอนบ้างไหม เพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เข้าวันใหม่มาแล้ว ส่วนผมจะได้นอนน้อยหรือนอนมาก ก็ต้องทำงานทุกวันอยู่ดี ผมชินแล้วล่ะกับวงการนี้
การถ่ายทำละครคือการทำงานเป็นทีมอย่างหนึ่ง “ทีม” ที่ดีจะทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ และ “ทีม” ที่ดีนั่นหมายถึงความเป็นหนึ่งอันเดียวกันของสต๊าฟทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ใครคนใดคนหนึ่ง... แต่ตอนนี้เรากำลังมีปัญหา
เย่าฉี นักแสดงสาวรุ่นเดียวกันกับผมกำลังแผลงฤทธิ์
“ทำไมคนอื่นถึงได้เลือกแล้วฉันไม่ได้เลือก ! ” นักแสดงสาวโวยวายเรื่องอาหารเช้าของกองถ่าย เนื่องจากเธอมาถึงเป็นคนสุดท้าย และข้าวเช้าของกองถ่ายก็เหลือเพียงอย่างเดียวซึ่งเธอไม่ค่อยถูกใจนัก
“ของมันเหลืออย่างเดียวจริง ๆ ค่ะ คุณเย่าฉี” สต๊าฟกองถ่ายพยายามเจรจากับดาราสาว
“ทีช่างไฟยังได้เลือกเลย ฉันเป็นนักแสดงนะ”
“เอาของฉันไปก็ได้” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นด้านหลัง พร้อมกล่องข้าวที่ผมรู้ดีว่ามันเป็นอาหารจานโปรดของเย่าฉี เธอตาโตเป็นประกายด้วยความดีใจก่อนยื่นมือไปรับกล่องข้าวกล่องนั้น แต่ผมยอมแบบนั้นไม่ได้ มันไม่ยุติธรรม
“อย่าน่า เฮียเหยา คนมาทีหลังก็ไม่ควรมีสิทธิ์เลือกน่ะถูกแล้ว”
“เฟิงเฟิง!” เย่าฉีครวญอย่างขัดใจ
“ถ้าอยากกินของที่ชอบก็หัดมาเร็ว ๆ สิ” ใช่ครับ พวกเราในกองไม่ว่าตำแหน่งอะไรควรมีสิทธิเท่าเทียมกัน ถ้าอยากมีสิทธิเลือกก็ควรมาเช้ากว่าคนอื่น พวกเรายึดวิธีนี้กันมานานแม้ไม่มีใครตั้งกฎกันจริง ๆ จัง ๆ ซึ่งผมคิดว่าวิธีนี้แฟร์ที่สุดแล้ว
“เฮียโอเคน่า ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว กินอะไรก็ได้” เฮียเหยาว่า
“เอ๊ะ นี่เฮียว่าฉันเรื่องมากเหรอ”
“ใช่” ผมตอบแทน
“เฮ้ย! อาเฟิง ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะเย่าฉี เฮียไม่คิดมากจริง ๆ ” เฮียเหยาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของกองนี้ เราร่วมงานกันหลายครั้ง เขาเป็นคนใจดีกับทุกคนเสมอ
“เห็นไหม เฟิงเฟิง เฮียเหยาไม่ว่าอะไรสักหน่อย” เย่าฉีเอ่ยก่อนจะยื่นมือไปรับกล่องข้าวเจ้าปัญหา แต่ผมกลับยื่นมือไปดันกล่องข้าวนั้นคืนเจ้าของเดิมไป
“ไม่ได้ เดี๋ยวเธอจะเคยตัว ฉันจะดัดนิสัยเธอ” จริง ๆ แล้วเย่าฉีเป็นคนน่ารักครับ เสียแต่เอาแต่ใจไปหน่อย “ช่างไฟ คนเซ็ตฉาก เด็กยกน้ำ หรือแม้แต่ผู้กำกับ ก็ไม่มีใครเคยบ่นเรื่องนี้ ทุกคนต่อแถวรับอาหารกันเหมือนกันทุกคน ถ้ามาทีหลังก็มีตัวเลือกน้อยกว่าก็ถูกแล้ว วันนี้ถึงเฮียเหยาจะเต็มใจ แต่ถ้าเธอทำได้หนึ่งคน ระบบทั้งระบบมันจะเสีย”
เย่าฉีก้มหน้างุด เม้มปากอย่างขัดใจ
“ก็ได้ ๆ ๆ ฉันกินอันเดิมก็ได้ พอใจหรือยังล่ะ”
“ดีมาก ไปกินข้าวได้แล้ว” ผมออกคำสั่งชัดถ้อยชัดคำ รู้สึกภูมิใจที่พิทักษ์ความยุติธรรมไว้ได้ ส่วนเฮียเหยาเพียงแต่ถอนหายใจและส่ายหัวเบา ๆ
“นายนี่มันน่าจะไปเป็นครูฝ่ายปกครองนะ ดุเหลือเกิน” เฮียเหยาเอ่ยแซว ผมยักไหล่ส่งยิ้มกวนให้เฮียแกก่อนไปเตรียมตัวเข้าฉาก
หลังจากเคลียร์ปัญหาเรื่องอาหารเช้าของเย่าฉีได้แล้ว ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะราบรื่นดี แต่ลึก ๆ แล้วมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น วงการนี้เต็มไปด้วยการชิงดีชิงเด่นและความอิจฉาริษยา เพราะเย่าฉีเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่ในวงการใคร ๆ เลยต่างพากันเกรงใจ แต่ลึก ๆ ข้างในใจแล้วคนอื่นคิดอย่างไรกับเธอผมไม่อาจรู้ได้ ด้วยความเอาแต่ใจและขี้โวยวายของเธอ ไม่ยากเลยที่จะทำให้คนที่ไม่รู้จักเธอจริง ๆ นั้นไม่ชอบเธอได้ ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผม ผมจึงพยายามเตือนเธอเท่าที่ผมจะทำได้ ถ้าเป็นคนอื่นผมคงถูกหมั่นไส้หรือไม่ก็ถูดเกลียดไปเลย แต่โชคดีที่เย่าฉีเป็นคนจิตใจดี เธอเข้าใจความหวังดีของผม เราจึงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเรื่อยมา
อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงผมต้องเข้าฉากแล้ว ผมจึงรีบกลับมากินข้าวเช้าให้เสร็จเรียบร้อย ในขณะที่ผมกำลังตักข้าวเข้าปากนั้น...
ดิ๊งด่อง...
ผมลืมปิดเสียงเตือนโทรศัพท์มือถือ สงสัยจะเพลียจัดเลยลืม โชคดีที่ยังไม่เริ่มงานไม่อย่างนั้นผมคงไม่ให้อภัยตัวเองแน่ ๆ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คการแจ้งเตือนพบว่ามีข้อความเข้ามา
‘อย่ากินเยอะ’
ผมว่าชีวิตของผมคงถูกป่วนไปสักระยะล่ะครับ ตราบใดที่ยังคงทำงานอยู่ที่นี่


วันนี้ผมเหนื่อยมาก อยากจะกระโดดลงบนเตียงแล้วนอนโดยที่ไม่อาบน้ำเลยได้ไหม การถ่ายละครตั้งแต่หกโมงเช้าถึงสี่ทุ่มประกอบกับเมื่อคืนที่นอนน้อยด้วยแล้วทำให้ตอนนี้ผมแทบจะทรงตัวไม่อยู่จริง ๆ ผมกลับถึงห้องและโยนสัมภาระทุกอย่างไว้บนโซฟาหน้าทีวีและตรงดิ่งเข้าห้องนอนทันที กะจะไม่อาบน้ำแต่ทำใจไม่ได้จริงๆครับ ผมเลยรีบสลัดเสื้อผ้าทุกชิ้นบนร่างกายอย่างรวดเร็ว คว้าผ้าขนหนูและรีบตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ
อา... ผมคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ยับยั้งชั่งใจให้ตัวเองอาบน้ำก่อนนอน น้ำอุ่นๆจากฝักบัวที่ไหลลงมากระทบร่างของผมช่วยชำระล้างความเหนื่อยล้าไปได้มากทีเดียว
ผมปิดน้ำจากฝักบัวพร้อมกับได้ยินเสียงเคาะประตูดังแว่วมาจากด้านนอก แต่ผมไม่สนใจ ตอนนี้เป็นเวลาส่วนตัวผมอยากอาบน้ำผมก็จะอาบน้ำ เสียงเคาะประตูดังขึ้นราวสามครั้งก่อนจะเงียบไป คาดว่าคนที่ต้องการพบผมคงคิดได้แล้วว่าไม่ควรรบกวนผมในตอนนี้
แต่ผมคิดผิด...
ไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงโทรศัพท์ของผมที่อยู่ข้างเตียงไม่ไกลจากห้องน้ำก็แผดร้องขึ้น ผมว่าผมเดาได้แล้วล่ะว่าใครกันที่พยายามจะรบกวนเวลาส่วนตัวของผม คนที่มักเซ้าซี้อยากจะพบผมขนาดนี้มีอยู่คนเดียว
รอไปก่อนเถอะ...ไอ้ตัวแสบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น