วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

La Rose de l'Enfer 04 มัทนะอเวจี - ตอนที่ ๔ ผลึกนาคา

La Rose de l' Enfer มัทนะอเวจี ตอนที่ ๔ ผลึกนาคา
Pairing: หยางหยาง X หยางหยาง

            แสงไฟเรืองรองจากคบเพลิงส่องสว่างให้ความอบอุ่นไปทั่วห้อง แต่ผู้ที่ยังไม่ได้สติอยู่บนเตียงนุ่มกลับกำลังหนาวสั่น แม้นเป็นปิศาจแต่ก็มีเลือดเนื้อและชีวิตจิตใจไม่ต่างจากมนุษย์ หากจะต่างกันก็เพียงพลังอำนาจที่เหนือกว่าซึ่งแลกมาด้วยบางสิ่งที่อ่อนแอยิ่งกว่าแมลงมดตัวจ้อย
สัมผัสนุ่มอุ่นของผ้าชุบน้ำลากผ่านใบหน้าและลำคอ ช่วยดูดซับความร้อนออกจากร่างกาย แม้ผู้ที่นอนอยู่จะหนาวสั่นเหมือนอยู่ในเมืองน้ำแข็ง แต่ผิวกายแท้จริงนั้นร้อนราวกับไฟ ดวงตาปรือปรอยลืมขึ้นพยายามเพ่งมองผู้ที่ช่วยเช็ดตัวให้ตนอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่แสนคุ้นตาฉายเข้ามาในการรับรู้
“ท่านจ้าว...” เสียงอ่อนระโหยพึมพำเรียกผู้ที่อยู่ข้างกาย พยายามประคองตัวเพื่อทำความเคารพผู้เป็นจ้าวเหนือหัว
“พักผ่อนเสียเถิด อย่าฝืนตัวเองเลย”
“ท่านช่วยข้าไว้หรือ”
“เจ้าคิดว่าตนเองเก่งกล้าสักปานใดเชียว จึงจะช่วยเหลือตัวเองจากใต้สายธาราทั้งที่ไร้ซึ่งสติเช่นนั้นได้” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยประชดด้วยวาจาเรียบนิ่งราวกับพูดเรื่องธรรมดาเช่นดินฟ้าอากาศ ด้วยพลังของปิศาจระดับเฉินเสียง คงไม่ได้จมน้ำตายง่าย ๆ แต่เพราะจิตใจที่บอบช้ำจนอยากทิ้งชีวิตของตนแล้วต่างหาก ที่ทำให้วิญญาณของเฉินเสียงนั้นเกือบดับสูญ
“ถ้าเช่นนั้น... ข้าคงต้องติดหนี้บุญคุณท่านจ้าวแห่งนครบาดาลอีกครา”
ราชาแห่งนครบาดาลถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะวางผ้าชุบน้ำลงข้างอ่างหิน แววตาคมปลาบฉายแววไม่พึงใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะลุกขึ้น
“ข้าจะไปพบฉี่หลิงสักหน่อย”
“ท่าน...”
“ข้ารู้ดี ว่านับแต่วันที่เจ้าตกลงใจจะมอบวิญญาณให้ฉี่หลิง เจ้าก็คงเตรียมใจไว้แล้ว แต่ทำถึงขนาดนี้ก็ออกจะเกินไป เจ้าเป็นคนของนครบาดาล ทำเช่นนี้เท่ากับไม่ไว้หน้าข้าเลย” เสียงที่กล่าวราบเรียบไม่เจือกระแสอารมณ์ใด หากแต่ในใจของผู้พูดกลับโหมด้วยแรงโทสะ


ในห้องส่วนตัวของผู้เป็นจ้าวนครอเวจี คบเพลิงสว่างโชติช่วงรายล้อมทำให้ทั้งห้องนั้นอุ่นจนร้อน บนเตียงสี่เสาสีดำสนิทปรากฏร่างขาวบริสุทธิ์หลับพริ้มสีหน้าโรยแรง แม้มีบุรุษแปลกหน้าปรากฏตัวอยู่ข้างอู่นอนร่างขาวก็ไม่ได้รับรู้ถึงการมาเยือนแต่อย่างใด
นัยน์ตาคมพิศดวงหน้างดงามที่กำลังหลับใหลด้วยความฉงน แม้มองเพียงภายนอกใบหน้านั้นจะเหมือนกับจ้าวแห่งนครอเวจีราวกับถอดจากพิมพ์เดียวกัน แต่ความรู้สึกและไอปิศาจที่สัมผัสได้นั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
“บุกรุกเข้ามาถึงห้องของข้า ไม่ทราบว่าท่านมีประสงค์สิ่งใด กิเลนน้ำเงิน” เสียงแหบพร่าทว่าทรงอำนาจดังขึ้นเบื้องหลังผู้มาเยือน ผู้ถูกขนานนามว่า กิเลนน้ำเงินไม่คิดแม้แต่จะปรายตามองผู้กล่าวคำ แม้กระแสจากดวงตาสีดำสนิทที่ทอดมองจะมีพลังกดดันมากเพียงใดก็ตาม
“ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”
“ถ้าเป็นเรื่องของเฉินเสียง เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน” จ้าวอเวจีตอบเสียงเย็น
คำตอบนั้นยังความโกรธเกรี้ยวมาสู่ผู้เป็นจ้าวนครบาดาล ดวงตาสีบลูแซฟไฟร์โชนแสงวาวโรจน์ ร่างสูงหันขวับมาเผชิญหน้ากับจอมปิศาจผู้มีศักดิ์เป็นน้องของเขา
“เจ้าควรจะรู้ ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร ถึงข้าจะไม่มียศอำนาจเหนือมวลปิศาจเช่นเจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่มีอำนาจจนปกป้องคนของข้าไม่ได้” จ้าวนครบาดาลกดเสียงต่ำข่มอารมณ์ฝ่ายโกรธที่กำลังครอบงำ
“คนของท่าน...หึหึ” จอมปิศาจหัวเราะเย้ยหยัน “มันผู้ใดมอบวิญญาณแก่ข้าย่อมเป็นคนของข้า เช่นนั้นไม่ใช่หรือ หรือท่านจะบอกว่าเฉินเสียงเอาใจภักดีออกห่างจากข้ากัน” จางฉี่หลิงทอดฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้ร่างสูงของปิศาจผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชาย ปรายตาสบแววตาสีน้ำเงินเพียงนิดก่อนผินมองไปยังผู้ที่ยังหลับสนิท จ้าวอเวจียื่นมือออกไปหยิบดอกกุหลาบสีดำสนิทจากแจกันหัวเตียงและนั่งลงข้างกายผู้ที่ยังเป็นปริศนาในใจของจ้าวนครบาดาล มือแกร่งขยับดอกกุหลาบที่กำลังบานสะพรั่งให้กลีบกุหลาบระแก้มนวลของผู้ที่นอนอยู่แผ่วเบา
“มันผู้นี้เป็นใคร”
“เป็นใครไม่สำคัญ สำคัญที่ข้าพึงใจหรือไม่ต่างหาก”
“หึ หากความพึงใจของเจ้าหมดลง ก็คงมีชะตาไม่ต่างจากเฉินเสียงกระมัง” น้ำเสียงซ่อนเจตนาประชดประชันเอาไว้ไม่มิด เรียกให้มุมปากของจอมปิศาจยกขึ้นเล็กน้อย
“เฉินเสียงเป็นหนึ่งในกองกำลังปิศาจ ซ้ำยังกำเนิดจากนครบาดาลหากไม่สามารถเอาตัวรอดได้จากสายธารา เห็นทีคงต้องสมควรถูกปลดระวางเสียแล้วกระมัง” จอมปิศาจกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“ถ้าเช่นนั้นก็คืนเฉินเสียงให้ข้าเสีย”
“หึหึ กิเลนน้ำเงิน... อย่ากล่าววาจาน่าเวทนาเช่นนั้นเลย มันทำให้ข้าสมเพชในความรักอันไร้ค่าของท่าน ศักดิ์ศรีของท่านนั้นอยู่ที่ไหนกัน จึงคิดจะยอมรับทาสที่ข้าทิ้งขว้างแล้วไปดูแลต่อ”
“...” จ้าวนครบาดาลไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ
จางฉี่หลิงปรายสายตามองผู้เป็นพี่ แล้วเอ่ยเรียบ
“ท่านก็รู้ดีแก่ใจ ด้วยพันธะสัญญาแห่งพิธีหลั่งเลือด ต่อให้เฉินเสียงไม่มีค่าอันใดต่อข้าหรือนครอเวจีอีกแล้ว เขาก็ไม่มีวันกลับไปเป็นของท่านได้ อย่าพยายามเลย”
แววตาสีน้ำเงินอ่อนแสงลงด้วยหัวใจที่บีบรัด จ้าวนครบาดาลตระหนักในความจริงข้อนี้ดี อีกทั้งรู้ว่าไม่เพียงแค่วิญญาณ แต่รวมทั้งหัวใจของเฉินเสียง เจ้าของได้มอบแด่จอมปิศาจไปหมดสิ้นแล้ว
“สักวัน หากเจ้ามีความรัก เจ้าคงจะเข้าใจ” จบวาจาร่างของกิเลนน้ำเงินก็เลือนหายไปจากที่นั้น
จางฉี่หลิงไม่ได้เก็บเรื่องราวของผู้อื่นมาใส่ใจอีก ความสนใจของผู้เป็นใหญ่มีเพียงร่างขาวผุดผ่องที่ถูกแต่งแต้มด้วยรอยช้ำที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้เพียงเท่านั้น
เสียงหวานครางเครือเพราะถูกรบกวน สัมผัสแผ่วเบาที่แตะต้องเนื้อนวลลากไล้ไปตามรอยช้ำบนผิวกาย มังกรสวรรค์ผู้หลับใหลจึงตื่นขึ้นจากนิทรา เมื่อลืมตาขึ้นมาพบว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเทพสวรรค์ก็ถึงกับผวากลัว ความรุนแรงโหดร้ายจากพิธีหลั่งเลือดเซ่นวิญญาณของจอมปิศาจยังติดตรึงอยู่ในทุกอณูของความรู้สึก
“กลัวข้าแล้วหรือ มังกรสวรรค์” เสียงเยียบเย็นกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่มังกรสวรรค์ไม่รู้สึกยินดีแม้สักนิด เมื่อดวงหน้ารูปสลักโน้มเข้ามาใกล้ ร่างขาวก็ถดตัวหนีตามสัญชาตญาณ
“หึหึ” จอมมารหัวเราะในลำคอขำขันกับปฏิกิริยาของร่างตรงหน้า “ไม่อวดเก่งเช่นเคยเล่า หืม ไหนเจ้าว่าไม่เคยกลัวข้าไม่ใช่หรือ” มือแกร่งเอื้อมไปเชยคางมนแต่กลับถูกหลบเลี่ยง
“อย่ามาแตะต้องข้า” ดวงตาสีน้ำตาลแดงไหวระริก ทั้งหวั่นกลัวและดื้อดึงในคราวเดียวกัน
“หึ เจ้ามีอำนาจสั่งข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน” มือแกร่งบังคับจับคางเรียว ความไม่พึงใจแสดงออกเป็นความรุนแรงของการกระทำภายใต้ใบหน้าที่เฉยชา “ผ่านพ้นราตรีนี้อีกครา เจ้าจะยังถือดีอยู่หรือไม่ ข้าก็อยากจะรู้เช่นกัน”


ร่างโปร่งนอนกระสับส่ายปัดป่ายด้วยความทรมาน เหงื่อโทรมกายจนชุ่มไปทั้งตัว ทั้งสุขสม ทั้งรวดร้าว หลากหลายความรู้สึกสับสนปนเปติดตรึงในมโนสำนึกเหมือนติดอยู่บนใยแมงมุมยักษ์ที่ผูกรัดเอาไว้ไม่อาจหลบหนีได้
“หยุด หยุดเสียที!” เสียงหวานละเมอ
“ตื่นได้แล้ว!” เสียงทุ้มตะคอกไม่ดังนัก
หยางหยางกรีดร้องออกมาพร้อมกับจิตสำนึกที่หลุดออกมาจากความฝัน
...ฝันประหลาดอีกแล้ว...
อาจารย์หนุ่มตื่นขึ้นมาด้วยอาการหอบเหนื่อยจากความพยายามที่ต้องการจะหนีจากบางอย่าง เมื่อลมหายใจผ่อนลงจนกลับสู่ภาวะปกติเขาจึงรู้สึกถึงแรงที่จับอยู่ที่ต้นแขนของตัวเอง
“ฉี่หลิง...” หยางหยางพึมพำด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“แม่ให้มาตามลงไปข้างล่าง” หยางฉี่หลิงบอกเสียงเรียบ ดวงตาสีนิลเต็มไปด้วยความสงสัยในอาการของพี่ชายฝาแฝดของตน เขาขึ้นมาตามพี่ชายตามคำสั่งของผู้เป็นมารดาที่เพิ่งกลับมาจากการเดินทางท่องเที่ยว เมื่อเข้ามาในห้องนอนของพี่ชาย หยางฉี่หลิงก็เห็นหยางหยางนอนกระสับกระส่ายไปมาและครางเครือเหมือนกับกำลังฝันร้ายอยู่ เขาพยายามเขย่าตัวเท่าไหร่หยางหยางก็ยังไม่ตื่น จนกระทั่งเขาส่งเสียงเรียกผู้เป็นพี่ชายจึงตื่นขึ้น
“เดี๋ยวตามลงไป” หยางหยางที่เพิ่งตั้งสติได้เอ่ยตอบ
“รีบตามมาแล้วกัน” ฉี่หลิงทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นก่อนเดินออกจากห้องไป
หยางหยางมองไปรอบตัวก็เห็นหนังสือเล่มหนึ่งเปิดอ้าอยู่บนเตียงข้างตัว มันคือหนังสือ มัทนะอเวจีที่เขาได้มาจากหังโจวเมื่อหลายเดือนก่อน วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ หลังจากที่เคลียร์งานเรียบร้อยแล้ว เขาจำได้ว่าตนเองหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมานอนอ่านด้วยความสนใจ หลังจากที่ได้พบกับจางฮั่น นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาโบราณที่จิ่งป๋อหรันแนะนำให้รู้จัก ทำให้เขาพอจะรู้ถึงรากภาษาที่ใช้เขียนในหนังสือเล่มนี้ วันที่พบกันจางฮั่นอ่านมันด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่งและขอคัดลอกเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้กลับไปแปลอย่างละเอียดอีกด้วย
เขากำลังพยายามอ่านเนื้อหาในหนังสือด้วยตนเองหลังจากที่ใช้เวลาศึกษาภาษาที่ใช้เขียนในหนังสือนั้นอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าเป็นความเหนื่อยล้าหรืออากาศเป็นใจเขาจึงผล็อยหลับไปทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยหลับตอนกลางวันมาก่อน
น่าประหลาด...เนื้อหาบางส่วนในหนังสือช่างคล้ายคลึงกับความฝันของเขาเสียเหลือเกิน


“อ้าว หยางหยาง ทำไมหน้าตาซีดเซียวอย่างนั้นล่ะลูก” เสียงของ หลี่โม่วผู้เป็นแม่ของสองฝาแฝดเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อหยางหยางเดินเข้ามาในห้องครัว
หยางหยางปรายตามองผู้เป็นน้องชายที่กำลังเป็นลูกมือเตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารเย็นที่แม่ของพวกเขาคงจะลงมือเองเช่นเคย
“คงจะเพลียน่ะครับ เดี๋ยวได้ทานอาหารอร่อย ๆ ฝีมือแม่ก็คงหายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะครับ”
“แหม ปากหวานตลอดเชียวเจ้าลูกคนนี้” ผู้เป็นแม่ยิ้มร่าเริ่งเมื่อลูกชายทั้งสองมาอยู่กันพร้อมหน้า
“มีอะไรให้ผมช่วยบ้างครับ ผมอยากกินอาหารฝีมือแม่เร็ว” หยางหยางรวบกอดเอวอวบจากกด้านหลังของผู้เป็นแม่อย่างออดอ้อน
“ตายแล้ว ขี้อ้อนจริง ทำอะไรเป็นหรือเราน่ะ” หลี่โม่วเอ่ยสบประมาททีเล่นทีจริงกับลูกชาย
“ถ้าไม่อยากให้ครัวพังก็นั่งอยู่เฉย ๆ เถอะ” เสียงทุ้มของแฝดผู้น้องกล่าวขึ้นโดยที่เจ้าตัวก็ยังสนใจอยู่กับการหั่นผัก ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองผู้ที่ตนต้องการพูดด้วยแม้แต่น้อย
อาจารย์หนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนหันไปอ้อนมารดา
“ดูฉี่หลิงสิครับแม่ ชอบไล่ผมตลอดเลย”
“อะไรกันลูกสองคนนี้ ยังตีกันเป็นเด็ก ๆ อยู่อีก แล้วนี่เวลาแม่ไม่อยู่ไม่ตีกันบ้านแตกหรือยังไง”
แทบไม่คุยกันเลยต่างหากล่ะ... หยางหยางตอบในใจ แต่เขาก็ต้องแสร้งทำเป็นคุยเล่นกับน้องชายเพื่อให้มารดาสบายใจ
“โถ่ แม่ครับ พี่น้องก็เหมือนลิ้นกับฟัน ทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ยิ่งทะเลาะกกันก็ยิ่งรักกัน จริงไหมฉี่หลิง” หยางหยางเดินมาสวมกอดหยางฉี่หลิงที่กำลังหั่นผักอยู่ด้วยท่าทางออดอ้อนขี้เล่นจนคนเป็นน้องยังแปลกใจ ส่วนผู้เป็นแม่กลับยิ้มสดใสเมื่อเห็นว่าลูกทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน หลี่โม่วเป็นคอลัมนิสต์ประจำนิตยสารท่องเที่ยว จึงมักไม่ค่อยอยู่ติดบ้านเพราะต้องท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเขียนหนังสืออยู่เสมอ ๆ หน้าที่การงานของเธอทำให้ชีวิตคู่ต้องถึงปลายทาง เหลือเพียงลูกชายที่เธอรักดั่งดวงใจเพียงสองคน ถึงแม้จะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันนักเธอก็หวังว่าครอบครัวเล็ก ๆ ที่เหลืออยู่ของเธอจะไม่ขาดแคลนความรัก
คางมนเกยเล่นบนบ่ากว้าง ความใกล้ชิดทำให้กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ที่หยางหยางใช้อยู่เป็นประจำลอยมาเตะจมูกของคนถูกกอด ปกติสถาปนิกหนุ่มไม่ค่อยชอบกลิ่นน้ำหอมนัก แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับชอบกลิ่นนี้เป็นพิเศษ
“สนิทกันได้ก็ดีจ้ะ ฉี่หลิง เราน่ะก็อย่าไปเฉยชาใส่พี่เขามากนักเลย มีกันอยู่แค่สองคนพี่น้องก็รักกันไว้นะลูก แม่จะได้หมดห่วงเสียที”
“ครับ” หยางฉี่หลิงตอบรับสั้น ๆ ราวกับหุ่นยนต์ที่คอยรับคำสั่ง จนหยางหยางชักหมั่นไส้จึงต้องเอ่ยต่อ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะพยายามสนิทกับฉี่หลิงให้มากกว่านี้อีก” ไม่พูดเปล่า แขนขาวยังรั้งรอบเอวแกร่งแน่นเข้า ในขณะที่อีกมือหนึ่งก็ซุกซนเลื่อนต่ำลงไปเล่นกับซิปกางเกงจนหยางฉี่หลิงถึงกับชะงัก
ด้วยความตกใจนิ้วเรียวของฉี่หลิงจึงถูกมีดหั่นผักบาดเข้าเนื้อจนเลือดออก หยางหยางเหลือบตาเห็นผู้เป็นแม่เดินออกไปทางห้องน้ำก็วางมือทาบลงบนมือข้างที่เป็นแผลของผู้เป็นน้อง เมื่อหยางฉี่หลิงไม่ได้ขัดขืนผู้เป็นพี่จึงคว้ามือข้างนั้นขึ้นมาก่อนขยับตัวเบี่ยงไปด้านข้าง ดวงหน้าสะสวยโน้มลงใกล้กับฝ่ามือนั้น ลิ้นเรียวเล็กแตะชิมรสเลือดจากปลายนิ้วแกร่ง ไล้เลียของเหลวสีข้นไปจนหมดจากบาดแผล เมื่อเห็นว่ามีเลือดซึมออกมาอีกริมฝีปากสีสวยก็งับลงบนนิ้วนั้นแล้วดูดดึงแล้วกับจะดูดเลือดของหยางฉี่หลิงให้หมดตัว
จังหวะการหายใจ และเสี้ยวหน้าทรงเสน่ห์ชวนหลงใหลทำให้สถาปนิกหนุ่มเผลอไปกับสัมผัสเชิญชวนนั้น เมื่อได้สติก็รีบขืนมือออกห่าง
“ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ” เสียงหวานกระซิบข้างหูเจือเสียงลมหายใจแหบพร่า ไม่เพียงแค่คำพูดแต่ดวงตาสีน้ำตาลมะฮอกกานียังแฝวแววท้าทายเป็นประกาย
ออด...
ฝาแฝดของบ้านหยางต่อสู้กันด้วยสายตาอยู่เกือบนาทีก่อนเสียงออดจะดังขึ้น หยางหยางฉี่หลิงชักมือออกจากการเกาะกุมของพี่ชายก่อนกัดฟันกระซิบเสียงต่ำ
“อย่าเล่นให้มากนักนะ” แล้วเจ้าตัวก็เดินออกไปทางประตูบ้านที่มีใครบางคนยืนรออยู่
หยางหยางยิ้มกริ่มที่สามารถแกล้งน้องชายได้สำเร็จ ตอนนี้เขาเริ่มรู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะดึงหน้ากากความเฉยชาออกจากใบหน้าของหยางฉี่หลิงได้


เมื่อหยางฉี่หลิงเปิดประตูบ้านออก ก็พบกับชายหนุ่มรูปร่างสูงยืนอยู่หลังบานประตูถือถุงข้าวของพะรุงพะรัง ทันทีที่เห็นหน้าเขาผู้ชายคนนี้ก็ยิ้มกว้างเหมือนกับดีใจเหลือเกินที่ได้พบเขา คิ้วหนาขมวดมุ่นเพราะเขาไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้มาก่อน
“นายเป็นใคร”
รอยยิ้มของชายแปลกหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อหยางฉี่หลิงเอ่ยถามขึ้น แต่ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเอ่ยตอบ เสียงของแฝดผู้พี่ก็ดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน
“นายมาที่นี่ทำไม”
“อ้าว อ๋ออออ คนนี้เองน่ะหรือครับน้องชายฝาแฝดของอาจารย์ ผมแยกแทบไม่ออกเลยนะครับเนี่ย” จิ่งป๋อหรันลูกศิษย์ขี้ตื๊อของหยางหยางยิ้มอารมณ์ดี “อ่อ ผมไปเที่ยวมาเลยซื้อของมาฝากเต็มไปหมดเลยครับ”
“ฉันไม่อยากได้นายเอากลับไปเถอะ” หยางหยางสวนขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ จิ่งป๋อหรันถึงกับทำหน้าหมาหงอย
หยางฉี่หลิงที่ลอบสังเกตคนทั้งคู่ที่คุยกันอยู่ก็ถึงกับยิ้มมุมปากเล็ก ๆ ดูเหมือนพี่ชายของเขาจะมีหนุ่มมาตามจีบเสียแล้วกระมัง แต่ดูเหมือนว่าแฝดผู้พี่ของเขานั้นจะไม่ค่อยสนใจเจ้าหนุ่มร่างโย่งนี่สักเท่าไหร่ แถมยังพูดจาตัดรอนอย่างไม่ไยดีเสียด้วย
“แต่ผมเอาหนังสือที่ฮั่นเกอฝากไว้มาให้ด้วยนะครับ” จิ่งป๋อหรันพยายามยกถุงผ้าป่านที่เต็มไปด้วยหนังสือที่หนักอึ้งให้อาจารย์หนุ่มดู
หยางหยางยื่นมือไปรับถุงหนังสือแต่นักศึกษาหนุ่มกลับชักมือกลับ
“ผมอุตส่าห์เป็นธุระแบกหนังสือมาให้ขนาดนี้ ไม่ชวนผมทานข้าวเย็นที่บ้านหน่อยหรือครับ”
“ถ้าลำบากมากนักวันหลังก็ไม่ต้อง” หยางหยางพูดตัดเยื่อใยหน้าตาเฉยโดยไม่นึกถึงจิตใจคนฟังสักนิด
“นั่นใครมาน่ะลูก” หลี่โม่วที่ได้ยินเสียงออดนานแล้วและลูกทั้งสองก็หายไปจากครัวจึงเดินมาดูที่หน้าบ้าน
“สวัสดีครับคุณแม่” จิ่งป๋อหรันรีบทักทายหญิงวัยกลางคนด้วยน้ำเสียงแจ่มใส “ผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หยางหยางน่ะครับ พอดีแวะเอาหนังสือมาให้อาจารย์ แล้วก็เอาของฝากมาให้น่ะครับ พอดีไปเที่ยวมาก็เลยนึกได้ว่าอาจารย์เขาชอบทานขนมหวาน”
“โถ พ่อคุณ ช่างมีน้ำใจจริง แล้วนั่น ลูกสองคนนี้นี่ ปล่อยให้แขกถือของพะรุงพะรังยืนอยู่หน้าบ้านอย่างนี้ได้ยังไง มา ๆ เข้ามาลูก แม่เตรียมกับข้าวมื้อเย็นไว้เยอะเลย มา ๆ มากินด้วยกัน” หลี่โม่วชวนจิ่งป๋อหรันด้วยความเอ็นดู
“ขอบคุณครับคุณแม่”
“อ้าว นั่นช่วยน้องเขาถือหน่อยสิ ฉี่หลิง หยางหยาง” คนเป็นแม่สั่งเสร็จสรรพก็ชวนทุกคนตั้งโต๊ะเพื่อทานมื้อเย็นกันที่สนามหญ้าหน้าบ้าน


“เอาล่ะ ก่อนจะทานของหวานกันแม่มีของขวัญจะให้ลูกทั้งสองคนด้วย ชดเชยที่แม่ไม่อยู่ในวันเกิดของลูกนะจ๊ะ” หลี่โม่วเอ่ยขึ้นเมื่อทุกคนรับประทานอาหารมื้อหลักกันเสร็จเรียบร้อย
“คุณแม่นี่น่ารักจังเลยนะครับ ผมชักตื่นเต้นไปด้วยแล้วสิครับเนี่ย” จิ่งป๋อหรันช่างพูดช่างคุยถูกใจหลี่โม่วเป็นอย่างมาก หยางหยางและหยางฉี่หลิงได้แต่ลอบมองตากันเป็นระยะเมื่อแม่ของพวกเขาเหมือนจะได้ลูกชายคนใหม่จนพวกเขาเกือบจะตกกระป๋องไปเสียแล้ว
หลี่โม่วหยิบถุงใบเล็กขึ้นมาแล้วเปิดถุงออก ข้างในถุงเป็นกล่องกำมะหยี่สีดำขนาดเล็กกล่องหนึ่ง ผู้เป็นแม่เปิดกล่องนั้นออกเผยให้เห็นว่าด้านในมีจี้อัญมณีน้ำงามสองเม็ดที่มีสีต่างกัน
เม็ดหนึ่งเป็นสีดำ
ส่วนอีกเม็ดเป็นสีน้ำตาลแดง
“แม่ไปเจอมาจากร้านขายของเก่าจ้ะ เขาขายเป็นคู่ แล้วยังมีสีเหมือนกับสีตาของลูกทั้งสองคนอีก บังเอิญมาก ๆ เลย แม่เลยซื้อมาให้ เป็นไง ถูกใจไหมจ๊ะ” หลี่โม่วหยิบจี้แต่ละอันร้อยสร้อยข้อมือเงินแล้วสวมให้ลูกชายทั้งสอง
สองฝาแฝดยกข้อมือของตนเองขึ้นมาพิจารณาดูจี้อัญมณีนั้นอย่างละเอียด
พลันที่แสงจันทร์ซึ่งกำลังสุกสว่างเต็มดวงอยู่กลางฟ้าในคืนนั้นตกกระทบเหลี่ยมกะรัตของอัญมณีทั้งสอง สีของอัญมณีทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นสีน้ำเงินสดใสเหมือนบลูแซฟไฟร์
“ว้าว อัศจรรย์มาก ๆ แม่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย”
“ผมรู้จักครับ” จิ่งป๋อหรันเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น “อัญมณีที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเมื่อต้องแสงจันทร์ มันเรียกว่า ผลึกนาคา

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

TALK: สวัสดีค่ะ หายไปนานเลยเรื่องนี้ แหะๆ
ขอบคุณคนอ่านที่ยังรอติดตาม และยังคงคิดถึงกันนะคะ
บางจังหวะชีวิต ไฟการเขียนก็มอดไปด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง
แต่พอได้กลับมาอ่านคอมเมนท์ และมีคนถามไถ่เข้ามา ก็ทำให้รู้ว่ายังมีคนรออ่านเรื่องนี้อยู่
ขอบคุณทุก ๆ กำลังใจนะคะ เราจะพยายามต่อไปค่ะ

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

[SF] Heart Race 1st PACE: PRINCE VS KING #ถิงฝาน

[SF] Heart Race #ถิงฝาน
Pairing: William Chan X Kris Wu
1st PACE: PRINCE VS KING
.......................................................................................................................................................
เสียงล้อรถที่บดกับถนนในสนามแข่งและเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มในนาทีระทึกช่วงสุดท้ายของการแข่งขันฟอร์มูลาวันกำลังเสียดแทงเข้าไปในโสตประสาทของผู้ชมนับพันที่กำลังชมการแข่งขันสด ๆ อยู่ในสนามคาตาลุนญ่า ประเทศสเปน แห่งนี้
เป็นวินาทีที่แทบหยุดหายใจ เมื่อรถสีน้ำเงินเข้มเบี่ยงแซงหน้ารถแข่งสีแดงเพลิงในโค้งสุดท้ายของการแข่งขันพุ่งทะยานเข้าเส้นชัยพร้อมด้วยเสียงกรีดร้องจากแฟน ๆ ที่ชมกันอยู่ในสนาม
สงครามความเร็วที่เพิ่งจบไปเมื่อสักครู่พร้อมกับประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการรถแข่งฟอร์มูลาวันยังคงตราตรึงอยู่ในใจผู้ชมทั่วโลก ทั่วทั้งสนามยังเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องให้กับชัยชนะที่ไม่มีใครคาดถึงของ คริส วูนักแข่งเชื้อสายเอเชียคนแรกที่ชนะการแข่งขันฟอร์มูลาวันกรังด์ปรีซ์
ชายคนหนึ่งกำลังยืนมองผู้ชนะจากการแข่งขันที่เพิ่งผ่านไปด้วยหัวใจที่เต้นรัว
หน้าประวัติศาสตร์ของวงการมอเตอร์สปอร์ตกำลังจะเปลี่ยนไป...
ระหว่างที่กำลังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน คริสก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังจับจ้องเขาอยู่ แม้จะมีผู้คนมากมายกำลังให้ความสนใจเขาอยู่ในตอนนี้ แต่สายตาของคนคนนี้กลับทำให้เขาต้องหันไปมอง เพียงแค่สบตาเขาก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
หลังจบการสัมภาษณ์ คริสกลับมาฉลองกับเพื่อนร่วมทีมที่ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจกับชัยชนะในครั้งนี้ หลังจากที่ทีมของเขาไม่ได้ชนะกรังด์ปรีซ์มายาวนานถึงสองปีแล้ว
“นายทำได้ดีมาก คริส ขอบคุณมากที่ทำเพื่อทีมของเรา” บอสใหญ่ของทีมกล่าวชื่นชมเขาด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิดแม้เขาจะพยายามรักษาท่าทีแล้วก็ตาม
“โธ่ บอส มัวแต่เก๊กอยู่นั่นแหละ ดีใจก็บอกมาเถอะน่า” คาร์ลอสนักขับร่วมทีมของคริสเอ่ยแซว เขาถูกปรามาสไว้ไม่ใช่น้อยที่ดันคริสขึ้นมาเป็นนักขับตัวจริงของทีมท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของใครหลายคนว่าคริสได้ตำแหน่งนี้มาเพราะว่าเป็น ลูกรักของบอส
“ผมต่างหากครับที่ต้องขอบคุณบอสที่ให้โอกาสผม” คริสเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นมือไปรับการเช็คแฮนด์ขอบคุณจากบอสของทีม เขารู้ว่าบอสเอ็นดูเขาแต่ก็ไม่อยากแสดงท่าทีทำให้ตัวเองดูเป็นคนพิเศษเกินหน้าเกินตาคนในทีม แต่มือที่ไม่ยอมคลายออกของบอสก็ทำให้คริสวางตัวไม่ถูกขึ้นมาชั่วขณะ
“อะแฮ่ม!” คาร์ลอสกระแอมขึ้นเมื่อเห็นว่าบอสและแชมป์กรังด์ปรีซ์คนล่าสุดกำลังสบตากันนานเกินไป “ผมว่าพวกเราเตรียมตัวไปปาร์ตี้คืนนี้กันดีกว่า” เขาพูดพลางตบบ่าคริสและลากเพื่อนร่วมทีมออกมาจากสถานการณ์ที่อาจตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นในทีมได้
“ฉันว่าบอสต้องซัมติงแหงม ๆ” คาร์ลอสกระซิบพลางเอาแขนพาดบ่าคริสไว้ระหว่างที่กำลังเดินกลับไปที่ห้องพักนักกีฬา
“ซัมติงอะไรของนาย”
“อย่ามาไก๋น่า อย่าบอกนะว่านายไม่รู้” คาร์ลอสหันมาทำสายตาเจ้าเล่ห์ใส่คริส
“นายคิดไปเองมากกว่า ฉันไม่เห็นจะรู้อะไรเลย” คริสบอกปัด เขาเข้าใจดีว่าคาร์ลอสหมายถึงอะไร แต่ไม่อยากจะต่อความให้วุ่นวาย ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก การวางตัวเฉยเสียน่าจะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในเวลานี้
“ก็คอยดูต่อไปแล้วกัน เชื่อขนมกินได้เลย ฉันว่าฉันมองไม่ผิดหรอก”
“เหอะๆ” คริสได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ แล้วทำทีเป็นไม่สนใจคาร์ลอสอีก

ปาร์ตี้หลังการแข่งขันมีทั้งทีมงานและผู้เกี่ยวข้องมากมายเข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับคริส แต่ตอนนี้เขาไม่ได้กำลังรู้สึกดีใจและผ่อนคลายอย่างที่ควรจะเป็น การได้เป็นแชมป์ในครั้งนี้เหมือนเป็นการยกระดับความคาดหวังที่มีต่อตัวเขาในสนามต่อ ๆ ไปให้สูงขึ้นไปอีก การแข่งขันในปีนี้มีทั้งหมด 21 สนาม สนามนี้เป็นเพียงสนามที่ 5 เท่านั้น ความทะเยอทะยานบางในใจก็ลุกโชนขึ้นมาว่าถ้าเขาสามารถทำผลงานได้ดีแบบนี้อีกเรื่อย ๆ เขาอาจมีสิทธิ์ลุ้นแชมป์โลกในปีนี้ก็ได้
ระหว่างที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิด คริสก็เหมือนจะไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครบางคนมานั่งข้าง ๆ เขา
“หน้านายเหมือนกำลังฝันถึงการเป็นแชมป์โลกอยู่เลย เจ้าชาย” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทำให้คริสหลุดจากภวังค์ ทั้งประโยคนั่นยังเอ่ยแซวถึงฉายาที่เขาเพิ่งได้รับจากนักข่าวหมาด ๆ ว่าเป็นเจ้าชายแห่งวงการฟอร์มูลาวัน
คริสหันไปมองหน้าอีกฝ่ายแล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ คนที่มานั่งข้าง ๆ เขาคนนี้คือคนที่มายืนมองเขาตอนสัมภาษณ์กับนักข่าวเมื่อช่วงบ่ายนั่นเอง ผู้ชายคนนี้เป็นคนเอเชียหน้าตาคมคายที่ทำให้เขารู้สึกว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน แต่นึกอย่างไรคริสก็นึกไม่ออก
“นายเป็นใคร...” คริสถามสิ่งที่ค้างคาใจออกไป
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เรามาฉลองให้ชัยชนะของนายในวันนี้ดีกว่า” อีกฝ่ายยื่นแก้วแชมเปญมาตรงหน้า คริสหลุบมองแก้วใบนั้นอย่างสงวนท่าที ปาร์ตี้นี้เป็นปาร์ตี้ปิดมีเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับทีมเท่านั้นที่เข้ามาได้ แม้จะพอวางใจได้ในระดับหนึ่งว่าคนคนนี้คงไม่ใช่คนจากทีมอื่นที่มาสอดแนมเขาอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่อยากจะไว้ใจคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อสักเท่าไหร่จึงยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มจนหมดและวางแก้วทิ้งไว้ก่อนจะเดินลุกออกมา
“หวังว่าเราคงได้พบกันอีก” เสียงทุ้มกล่าวไล่หลังมา แล้วคริสก็ไม่เจอผู้ชายคนนั้นอีกเลยตลอดงานเลี้ยงในค่ำคืนนั้น


เวลาผ่านไปเกือบสัปดาห์ ในช่วงระหว่างพักการแข่งกันก่อนที่จะมีการแข่งครั้งต่อไปในอีกสัปดาห์ให้หลัง คริสนอนเอกเขนกอยู่ในห้องพักของตัวเองกดรีโมทเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยเพราะยังไม่มีอะไรที่น่าสนใจ แล้วก็มาหยุดที่ช่องกีฬาที่เขามักเปิดดูบ่อย ๆ ซึ่งในขณะนี้กำลังถ่ายทอดสดการแข่งขันโมโตจีพี หรือการแข่งขันจักรยานยต์ทางเรียบสูตรหนึ่งอยู่ ถ้าเทียบกับการแข่งขันรถยนต์แล้ว โมโตจีพีก็คือฟอร์มูลาวันของซูเปอร์ไบค์นั่นเอง
วันนี้เป็นการแข่งขันรอบควอลิฟาย หรือรอบนับเวลาเพื่อจัดอันดับสตาร์ทในรอบแข่งจริง ทีมที่ใช้เครื่องยนต์จากบริษัทเดียวกับทีมฟอร์มูลาวันของคริสทำเวลาได้เป็นอันดับที่หนึ่ง จากนั้นภาพรายการก็ตัดไปที่การสัมภาษณ์บอสของทีมต่าง ๆ จนกระทั่งมาถึงช่วงของการสัมภาษณ์นักแข่ง คริสก็ถึงกับเบิกตากว้าง
ผู้ชายคนนั้น...
คริสรีบพิมพ์ชื่อ วิลเลียม ชาน ที่ปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์ลงในแอปพลิเคชันสำหรับค้นหาในโทรศัพท์มือถืออย่างรวดเร็ว แล้วผลการค้นหาก็ทำให้เขาอึ้งไปชั่วอึดใจ
มิน่าล่ะ... เขาถึงได้คุ้นหน้านัก
ผู้ชายคนนั้นคือแชมป์คนล่าสุดของการแข่งรถจักรยานยนต์ทางเรียบในลีกสูงสุดของโลก หรือโมโตจีพี เป็นคนเอเชียอีกคนหนึ่งที่ก้าวขึ้นมาอยู่แนวหน้าของวงการแห่งจ้าวความเร็ว และได้รับการขนานนามว่า ราชา


To be continue
See you next PACE

………………………………………………………………………………………………………
เปิดเรื่องใหม่อีกแล้วค่า แงงงงง
ช่วงนี้ความคิดฟุ้งซ่านมาก เลยต้องระบายออกมาเป็นฟิคค่ะ 555
เรื่องนี้อาจจะมีข้อมูลเทคนิคเยอะสักหน่อย
ถ้าอ่านแล้วติดขัดยังไงก็แนะนำ ติชมกันเข้ามาได้นะคะ

ขอบคุณมากค่า ^_^

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

[OS] I found you. #ถิงถิง

[OS] I found you #ถิงถิง
Pairing: 陈伟X 陈灏霆
……………………………………………………………………………………………………

“ทำไมนายถึงไม่ไปสัมภาษณ์เข้าเรียนคณะแพทย์” เสียงเกรี้ยวกราดจริงจังของ เฉินเหว่ยถิงพี่ชายคนโตของบ้านถามน้องชาย
“ผมจะไปหรือไม่ไปมันก็เรื่องของผม ชีวิตของผม ไม่ใช่ชีวิตของพี่”
เผียะ!
“อกตัญญู! ครอบครัวเราทำธุรกิจโรงพยาบาลมาตั้งแต่รุ่นคุณทวด นายจะไม่รับผิดชอบกิจการของครอบครัวเรา แล้วตัดช่องน้อยแต่พอตัวทิ้งคุณพ่อคุณแม่ไว้หรือยังไง”
“หึ โลกนี้คงไม่ต้องการหมอที่หน้าตาเหมือนกันสองคนหรอกมั้งครับ พี่คนเดียวก็เพียงพอแล้วล่ะ” เฉินฮ่าวถิงมองตอบพี่ชายฝาแฝดของตนด้วยแววตาแข็งกร้าวเพียงชั่ววินาที ก่อนที่เหว่ยถิงจะเห็นเพียงแผ่นหลังของน้องชายเดินจากไป

และนั่น... คือภาพสุดท้ายของน้องชายในความทรงจำของเฉินเหว่ยถิง
บิดาและมารดาของทั้งคู่เสียใจอย่างมากที่ฮ่าวถิง น้องชายฝาแฝดของเขาออกจากบ้านไป ทิ้งไว้เพียงจดหมายที่บอกว่าจะไปเรียนต่อ ถ้าไม่ประสบความสำเร็จจะไม่กลับมาที่บ้านอีก
หกปีผ่านไปนับจากวันนั้นผมจึงมายืนอยู่ที่นี่ เมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของโลกที่อุดมไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
...มหานครลอนดอน...
ครอบครัวของเฉินเหว่ยถิงสืบข้อมูลจนรู้ว่าหลังจากฮ่าวถิงเรียนจบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในปักกิ่ง ฮ่าวถิงได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนต่อในสถาบันที่มีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรมระดับโลกซึ่งตั้งอยู่ใจกลางมหานครลอนดอนแห่งนี้ พ่อและแม่ของพวกเขาทั้งสองรวมถึงตัวเหว่ยถิงเองต่างก็ยินดีและภูมิใจในตัวของฮ่าวถิงที่สามารถเดินตามเส้นทางของตัวเองได้อย่างภาคภูมิ แต่ความทุกข์ใจของคนเป็นพ่อแม่นั้นคือ แม้อยากจะแสดงความยินดีมากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถส่งไปถึงลูกได้ อยากเห็นหน้าก็เพียงได้แค่แอบมอง ตลอดเวลาหกปีมีเพียงจดหมายจ่าหน้าซองถึงพ่อกับแม่เล่าถึงความเป็นไปคร่าว ๆ ในชีวิตเพียงปีละสองฉบับในวันเกิดของบุพการีทั้งสองท่านเท่านั้น แต่ในจดหมายทุกฉบับ มีข้อความที่เพียรย้ำเหมือนกันนั่นคือ อย่าพยายามติดต่อผม
ความทุกข์ใจของบิดามารดา เฉินเหว่ยถิงรับรู้อยู่เสมอ ไม่ใช่แค่ท่านทั้งสองแต่รวมถึงตัวเขาเองที่คิดถึงน้องชายยิ่งกว่าใคร พวกเขาอยู่ด้วยกันมาตลอดสิบแปดปี อยู่ ๆ ก็ต้องจากกันโดยไม่ได้ร่ำลา และไม่สามารถติดต่อกันได้ ถ้าไม่ใช่เพราะความใจร้อนในวัยรุ่นหนุ่มของเหว่ยถิง และความหยิ่งในศักดิ์ศรีมากกว่าใครของฮ่าวถิง เรื่องก็คงไม่ได้เป็นเช่นทุกวันนี้
คงมีเพียงแค่เขา ที่จะแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ เหว่ยถิงถึงได้ยืนอยู่ที่นี่
นครลอนดอนที่ใคร ๆ ต่างใฝ่ฝันจะมาเยือนสักครั้งในชีวิต ไม่ได้สวยหรูในทุกฤดูกาล เพราะสภาพภูมิประเทศทำให้ลอนดอนมีฝนตกชุกเกือบตลอดปี ทั้งยังมีอากาศแสนอบอ้าวในฤดูร้อนชวนรำคาญเป็นอย่างยิ่ง
เฉินเหว่ยถิงกำลังเดินไปตามถนนในจตุรัสเบดฟอร์ด ย่านบรูมส์เบอร์รี่ ซึ่งครอบครัวของเขาสืบรู้มาว่าฮ่าวถิงกำลังเรียนอยู่ที่สถาบันชื่อดังในย่านนี้ แต่ดูเหมือนเมฆฝนที่ตั้งเค้าลาง ๆ มาตั้งแต่เช้าจะไม่เป็นใจนัก เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากสีทึม ๆ เป็นสีเข้มขมุกขมัว เฉินเหว่ยถิงเร่งฝีเท้าเผื่อหาที่หลบฝนก่อนตัวเขาจะเปียกปอน แต่ก็ดูเหมือนจะช้าไป...
ฝนเทลงมาอย่างหนักในทันทีทันใด เฉินเหว่ยถิงจำเป็นต้องวิ่งฝ่าฝนไปหลับในอาคารที่ใกล้ที่สุด บริเวณเฉลียงของอาคารมีคนวิ่งผ่านไปมาเพื่อรีบไปยังจุดหมายของตัวเอง
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง สายฝนก็ยังกระหน่ำลงมาไม่หยุดจนตะวันใกล้ลับขอบฟ้า รถราที่ผ่านไปมาเริ่มบางตาลง แต่เฉินเหว่ยถิงได้แต่กอดตัวเองที่ยืนหนาวสั่นในเสื้อผ้าเปียกชื้น
“แล้วฉันจะกลับบ้านยังไงเนี่ย” เสียงพึมพำเป็นภาษาจีนลอยแว่วเข้ามาในโสตประสาท มองจากหางตาคนพูดเป็นผู้ชายผมยาวหยักศกสวมหมวกไหมพรมหอบข้าวของพะรุงพะรัง ระหว่างที่ลอบสังเกตว่าชายคนนั้นจะทำอย่างไรต่อไปเขาก็หันมาทางที่เหว่ยถิงยืนอยู่พอดี
“...”
“ฮ่าวถิง...” เสียงแหบพร่าหลุดชื่อคนที่เขาไม่ได้เจอมาแสนนานออกมาแผ่วเบา

บางที...วันฝนตกในลอนดอนก็ไม่ได้แย่เสมอไป


END

[SF] Tipsy Love 4th SHOT: Sober [END] #ฮั่นหยาง

[SF] Tipsy Love #Tipsyseries
Pairing: Zhang Han X Yang Yang
4th SHOT: Sober [END]
………………………………………………………………………………………………………………
            “หยางหยาง ไปอาบน้ำก่อนไหม” จางฮั่นพาหยางหยางที่สติลางเลือนด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์กลับมาถึงห้องพักในเวลาที่ล่วงเข้าวันใหม่แล้ว
ช่างภาพหนุ่มไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนตัวเล็ก เมื่อเขาไปเจอกับร่างบางตามนัดก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เสียจนเมามายเหมือนวันที่เขาไปเจอร่างบางอยู่ที่ผับ เมื่อเขาปรากฏตัวหยางหยางก็โผเข้ากอดและปล่อยโฮกับอกของเขา ร่างขาวหอบสะอื้นจนตัวโยน เมื่อคนภายในร้านเริ่มหันมาให้ความสนใจจางฮั่นจึงต้องรีบพาหยางหยางออกมาจากร้านก่อนที่ใครจะจำได้แล้วอาจจะเป็นข่าวทำให้เกิดผลเสียต่องานของนายแบบหนุ่มได้
“ฮึก...” ร่างบางยังคงสะอื้นเบา ๆ
จางฮั่นไม่เคยถามว่าความเสียใจที่ทับถมหัวใจดวงเล็กนั้นเกิดจากอะไร ได้แต่เฝ้าหวังว่าความรู้สึกที่เขาส่งไปให้จะปลอบโยนความเจ็บปวดนั้นลงได้บ้าง
ร่างสูงเห็นว่าควรให้คนตัวเล็กได้นอนพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจจึงไม่คิดจะฝืนให้อีกฝ่ายไปอาบน้ำอีก เขาจึงเตรียมกะละมังที่ผสมน้ำอุ่นและผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้
ดวงหน้าสะสวยที่เขาชอบมองไม่สดใสเหมือนเคย ดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้ นิ้วหัวแม่มือของมือใหญ่ไล้กรอบริมฝีปากอิ่มอย่างทะนุถนอม จางฮั่นอยากให้เรียวปากนี้มีแต่รอยยิ้ม เขาไม่อยากให้หยางหยางต้องร้องไห้อีกแล้ว
ระหว่างที่มือใหญ่กำลังเช็ดทำความสะอาดร่างกายท่อนบนให้ร่างขาว ฝ่ามือเล็กก็หยุดมือหนาไว้บริเวณแผ่นท้องเรียบตึง จางฮั่นหันไปมองเจ้าของปฏิกิริยาด้วยสายตาเป็นคำถาม แต่คำตอบในดวงตาที่เปิดปรือขึ้นกลับเต็มไปด้วยกระแสเว้าวอน
“ตื่นแล้วเหรอ อยากอาบน้ำไหม” เมื่อร่างบางไม่พูดอะไรจางฮั่นจึงถามขึ้น
“พี่จาง...ช่วยทำให้ผมลืมได้ไหมครับ”
“หยางหยางหมายความว่าอะไรครับ”
แทนคำตอบ มือขาวค่อย ๆ พามือใหญ่เลื่อนลงไปต่ำกว่าขอบกางเกงสัมผัสกับบางส่วนที่ไวต่อความรู้สึก
ร่างสูงชะงักมือไว้ก่อนที่จะถูกชักนำไปมากกว่านี้
“หยางหยางต้องการอย่างนั้นหรือครับ”
ร่างบางไม่ได้เอ่ยคำใด นอกจากภาษากายที่บอกความต้องการ วงแขนขาวคล้องคอของร่างสูงให้โน้มเข้าหา หยางหยางดันตัวขึ้นประทับริมฝีปากแผ่วเบา เรียวปากเล็กพยายามเชื้อเชิญออดอ้อนให้คนด้านบนมีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่จางฮั่นก็ยังนิ่งเฉยจนหยางหยางต้องหยุดความพยายาม
“พี่จางไม่รักผมหรือครับ”
“แล้วหยางหยางล่ะ รักพี่หรือเปล่า”
เปลือกตาสวยหลุบลงเพราะไม่อาจให้คำตอบได้ หยางหยางคิดว่าตัวเองอาจจะชอบจางฮั่น แต่สำหรับคำว่ารัก เขายังไม่แน่ใจ หัวใจของเขาคงจะบาดเจ็บเกินกว่าจะรักใครได้ในเวลานี้
“ผม...”
“หยางหยางไม่รักพี่ก็ไม่เป็นไร แต่สงสารพี่เถอะนะครับ อย่าให้พี่ต้องเป็นแค่ตัวแทนของคนอื่นเลย” แววตาคมฉายแววตัดพ้อ ร่างสูงบอกความรู้สึกที่เขากักเก็บเอาไว้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าหยางหยางยังลืมใครอีกคนไม่ได้ แต่เขาไม่อยากเป็นแค่ตัวสำรองที่อยู่ใต้เงาของคนอื่นตลอดไป “ถ้าหยางหยางจะรักพี่ ก็ขอให้รักที่พี่เป็นพี่ได้ไหมครับ อย่ารักพี่เพราะทดแทนใครอื่นเลย”
จบคำพูดนั้นหยางหยางก็ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง ร่างบ้างสะอื้นไม่หยุด ทั้งความเสียใจจากความผิดหวังในความรัก และความรู้สึกผิดที่มีต่อจางฮั่นถาโถมเข้ามาในหัวใจดวงน้อย จางฮั่นได้แค่โอบกอดร่างบางไว้ตลอดคืนพร่ำบอกเพียงแค่เขาจะอยู่ตรงนี้ตราบเท่าที่อีกฝ่ายต้องการ




วันรุ่งขึ้นหยางหยางเงียบหว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด แม้จะพยายามฝืนยิ้มให้ทีมเหมือนเช่นเคยแต่ก็ไม่อาจบดบังแววตาเศร้าหมองไปได้ แต่การทำงานกลับไม่ได้เป็นปัญหาอย่างที่จางฮั่นกังวล เหมือนคนตัวเล็กจะเรียนรู้วิธีที่จะจัดการอารมณ์ของตัวเองในระหว่างทำงานได้แล้ว
หลังจากการถ่ายโฆษณาผ่านไปด้วยดี ทีมงานเลยต่างพากันจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ เพื่อเป็นการฉลองและผ่อนคลายจากการทำงานไปในตัว โดยปาร์ตี้จัดขึ้นโดยขอยืมใช้พื้นที่บางส่วนของร้านอาหารใกล้กับสวนดอกไม้
“หยางหยาง...” คนหน้าสวยที่กำลังเหม่อลอยดึงสติกลับคืนสู่ปัจจุบันเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อของตนเอง
“พี่ถิง...”
“ขอนั่งด้วยได้ไหม” โดยไม่รอคำตอบ เฉินเหว่ยถิงก็นั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกันกับหยางหยาง “อาหารที่นี่อร่อยดีนะ” ผู้มาใหม่เริ่มเปิดบทสนทนา
“ครับ”
“พี่รู้ว่าหยางหยางคงไม่อยากคุยกับพี่เท่าไหร่”
“ผมไม่รู้จะคุยอะไรนี่ครับ”
“มาทำงานที่นี่เป็นยังไงบ้าง” เฉินเหว่ยถิงเปิดหัวข้อสนทนาใหม่ ทั้งสองคนคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่สักพักก่อนที่เจ้าของใบหน้าคมคายจะถามถึงสิ่งที่ค้างคาใจมานาน
“เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ พี่ไม่อยากเห็นหยางหยางเป็นแบบนี้เลย พี่ไม่สบายใจนะรู้ไหม” เฉินเหว่ยถิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เหมือนเดิม... ตรงที่ผมต้องแอบรักพี่ข้างเดียวอยู่เหมือนเดิมน่ะหรือครับ”
“...”
“...”
“พี่เห็นหยางหยางเป็นน้องชายของพี่เสมอนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่ก็ยังเป็นห่วงเราอยู่ดี”
“ผมขอเวลาได้ไหมครับ ตอนนี้ผมยังไม่พร้อม”
“อืม พี่เข้าใจ”
“แล้วพี่กับพี่ป๋อหรันล่ะครับ” หยางหยางกลั้นใจถามถึงสิ่งที่เขาอยากรู้ แม้มันจะกรีดแทงหัวใจของเขาก็ตาม
“นายก็ได้ยินแล้วเมื่อวาน พี่ก็ไม่ได้ต่างจากหยางหยางเท่าไหร่หรอก รักเค้าข้างเดียว”
“หึหึ เราสองคนนี่ตลกดีนะครับ...” หยางหยางหัวเราะและหันไปยิ้มบางให้คนข้างตัว “เป็นไปได้ ผมก็อยากจะบังคับหัวใจตัวเองให้รักคนที่เขารักผมเหมือนกันนะครับ”
“พี่ว่าบางที นายอาจจะไม่ต้องบังคับก็ได้มั้ง...” เฉินเหว่ยถิงตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างให้คนที่เขารักเหมือนน้องชาย พร้อมกับพยักเพยิดไปยังร่างสูงที่ดูเหมือนจะยืนรอหยางหยางอยู่
ความรักบางครั้งก็เหมือนกับการอ่านหนังสือ เรื่องบางเรื่องอาจไม่สมหวังและทำให้เราตกอยู่ในความเศร้าชั่วระยะเวลาหนึ่ง ถ้าเราลองวางหนังสือเล่มนั้นลง และเปิดอ่านเรื่องใหม่ อะไร ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนไป
อยู่ที่หัวใจของเรา ว่าพร้อมจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหรือเปล่า
“สักวัน ผมคงจะลืมพี่ได้ ผมขอไปตามหาหัวใจที่หายไปของผมก่อน ขอให้พี่เจอกับความรักดี ๆ เช่นกันนะครับ”
หยางหยางทิ้งคำพูดไว้เพียงแค่นั้นก่อนเดินจากไป เฉินเหว่ยถิงได้แต่มองตามหลังร่างเล็กที่เขาอ็นดูมากโดยตลอด ได้แต่หวังว่าน้องชายจะได้เจอกับรักครั้งใหม่ที่สวยงาม



“หยางหยาง ไม่เป็นไรนะ” จางฮั่นเอ่ยถามขึ้นด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่าหยางหยางเพิ่งคุยกับใครบางคนมา
คนหน้าสวยยิ้มเต็มแก้มเสียจนร่างสูงแปลกใจ
“คงได้เวลาบอกลาความรักครังเก่าแล้วล่ะครับ”
“...”
“ตกใจอะไรกันครับ พี่จาง ไม่ดีใจกับผมหน่อยเหรอ”
“แล้ว...หยางหยางไม่เสียใจเหรอ”
“เสียใจสิครับ แต่ผมเสียใจมามากพอแล้วล่ะ”
“งั้น... ถ้าพี่อยากจะอยู่ข้างหยางหยางต่อจากนี้ไป หยางหยางจะอนุญาตหรือเปล่าครับ”
ดวงหน้าสวยก้มต่ำด้วยความเขินอายกับถ้อยคำที่แสนซื่อและตรงไปตรงมา หยางหยางขยับไปใกล้กับร่างสูงแนบหน้าผากลงบนบ่าหนาด้วยหัวใจที่อุ่นซ่าน
“ถ้าพี่จางไม่รังเกียจ ช่วยดูแลหัวใจของผมด้วยได้ไหมครับ” ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มกว้างอย่างมี่ไม่ได้ยิ้มมานาน คำพูดออดอ้อนแสนน่ารักของร่างเล็กตรงหน้าช่างน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน
มือหนาโอบประคองร่างเล็กให้มาอยู่ในอ้อมกอด กดริมฝีปากจูบลงบนขมับของคนตัวเล็กแผ่วเบาก่อนเอ่ยคำสัญญาด้วยเสียงกระซิบทว่าหนักแน่น
“จะดูแลให้ดีที่สุดเลยครับ”



- END –


จบแล้วค่า เย้!
เรื่องนี้แต่งด้วยความกาวอย่างล้นเหลือ ทำให้แต่งได้เร็วแบบพรวด ๆ มาก ๆ
อาจจะไม่ได้ใช้เวลาวางพล็อตเท่าไหร่นัก เลยอาจจะมีบางช่วงหลุด ๆ หรือกระท่อนกระแท่นอยู่บ้าง
ยังไงก็ฝากติชม แนะนำ กันด้วยนะค้า