La
Rose de l' Enfer มัทนะอเวจี ตอนที่ ๔ ผลึกนาคา
Pairing: หยางหยาง X หยางหยาง
แสงไฟเรืองรองจากคบเพลิงส่องสว่างให้ความอบอุ่นไปทั่วห้อง
แต่ผู้ที่ยังไม่ได้สติอยู่บนเตียงนุ่มกลับกำลังหนาวสั่น
แม้นเป็นปิศาจแต่ก็มีเลือดเนื้อและชีวิตจิตใจไม่ต่างจากมนุษย์ หากจะต่างกันก็เพียงพลังอำนาจที่เหนือกว่าซึ่งแลกมาด้วยบางสิ่งที่อ่อนแอยิ่งกว่าแมลงมดตัวจ้อย
สัมผัสนุ่มอุ่นของผ้าชุบน้ำลากผ่านใบหน้าและลำคอ
ช่วยดูดซับความร้อนออกจากร่างกาย
แม้ผู้ที่นอนอยู่จะหนาวสั่นเหมือนอยู่ในเมืองน้ำแข็ง
แต่ผิวกายแท้จริงนั้นร้อนราวกับไฟ ดวงตาปรือปรอยลืมขึ้นพยายามเพ่งมองผู้ที่ช่วยเช็ดตัวให้ตนอยู่
ใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่แสนคุ้นตาฉายเข้ามาในการรับรู้
“ท่านจ้าว...”
เสียงอ่อนระโหยพึมพำเรียกผู้ที่อยู่ข้างกาย
พยายามประคองตัวเพื่อทำความเคารพผู้เป็นจ้าวเหนือหัว
“พักผ่อนเสียเถิด อย่าฝืนตัวเองเลย”
“ท่านช่วยข้าไว้หรือ”
“เจ้าคิดว่าตนเองเก่งกล้าสักปานใดเชียว
จึงจะช่วยเหลือตัวเองจากใต้สายธาราทั้งที่ไร้ซึ่งสติเช่นนั้นได้”
เสียงทุ้มเข้มเอ่ยประชดด้วยวาจาเรียบนิ่งราวกับพูดเรื่องธรรมดาเช่นดินฟ้าอากาศ
ด้วยพลังของปิศาจระดับเฉินเสียง คงไม่ได้จมน้ำตายง่าย ๆ แต่เพราะจิตใจที่บอบช้ำจนอยากทิ้งชีวิตของตนแล้วต่างหาก
ที่ทำให้วิญญาณของเฉินเสียงนั้นเกือบดับสูญ
“ถ้าเช่นนั้น...
ข้าคงต้องติดหนี้บุญคุณท่านจ้าวแห่งนครบาดาลอีกครา”
ราชาแห่งนครบาดาลถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะวางผ้าชุบน้ำลงข้างอ่างหิน
แววตาคมปลาบฉายแววไม่พึงใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะลุกขึ้น
“ข้าจะไปพบฉี่หลิงสักหน่อย”
“ท่าน...”
“ข้ารู้ดี ว่านับแต่วันที่เจ้าตกลงใจจะมอบวิญญาณให้ฉี่หลิง
เจ้าก็คงเตรียมใจไว้แล้ว แต่ทำถึงขนาดนี้ก็ออกจะเกินไป เจ้าเป็นคนของนครบาดาล
ทำเช่นนี้เท่ากับไม่ไว้หน้าข้าเลย” เสียงที่กล่าวราบเรียบไม่เจือกระแสอารมณ์ใด
หากแต่ในใจของผู้พูดกลับโหมด้วยแรงโทสะ
ในห้องส่วนตัวของผู้เป็นจ้าวนครอเวจี
คบเพลิงสว่างโชติช่วงรายล้อมทำให้ทั้งห้องนั้นอุ่นจนร้อน
บนเตียงสี่เสาสีดำสนิทปรากฏร่างขาวบริสุทธิ์หลับพริ้มสีหน้าโรยแรง
แม้มีบุรุษแปลกหน้าปรากฏตัวอยู่ข้างอู่นอนร่างขาวก็ไม่ได้รับรู้ถึงการมาเยือนแต่อย่างใด
นัยน์ตาคมพิศดวงหน้างดงามที่กำลังหลับใหลด้วยความฉงน
แม้มองเพียงภายนอกใบหน้านั้นจะเหมือนกับจ้าวแห่งนครอเวจีราวกับถอดจากพิมพ์เดียวกัน
แต่ความรู้สึกและไอปิศาจที่สัมผัสได้นั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
“บุกรุกเข้ามาถึงห้องของข้า
ไม่ทราบว่าท่านมีประสงค์สิ่งใด กิเลนน้ำเงิน” เสียงแหบพร่าทว่าทรงอำนาจดังขึ้นเบื้องหลังผู้มาเยือน
ผู้ถูกขนานนามว่า ‘กิเลนน้ำเงิน’
ไม่คิดแม้แต่จะปรายตามองผู้กล่าวคำ
แม้กระแสจากดวงตาสีดำสนิทที่ทอดมองจะมีพลังกดดันมากเพียงใดก็ตาม
“ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”
“ถ้าเป็นเรื่องของเฉินเสียง
เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน” จ้าวอเวจีตอบเสียงเย็น
คำตอบนั้นยังความโกรธเกรี้ยวมาสู่ผู้เป็นจ้าวนครบาดาล
ดวงตาสีบลูแซฟไฟร์โชนแสงวาวโรจน์
ร่างสูงหันขวับมาเผชิญหน้ากับจอมปิศาจผู้มีศักดิ์เป็นน้องของเขา
“เจ้าควรจะรู้
ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร ถึงข้าจะไม่มียศอำนาจเหนือมวลปิศาจเช่นเจ้า
ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่มีอำนาจจนปกป้องคนของข้าไม่ได้”
จ้าวนครบาดาลกดเสียงต่ำข่มอารมณ์ฝ่ายโกรธที่กำลังครอบงำ
“คนของท่าน...หึหึ” จอมปิศาจหัวเราะเย้ยหยัน
“มันผู้ใดมอบวิญญาณแก่ข้าย่อมเป็นคนของข้า เช่นนั้นไม่ใช่หรือ
หรือท่านจะบอกว่าเฉินเสียงเอาใจภักดีออกห่างจากข้ากัน”
จางฉี่หลิงทอดฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้ร่างสูงของปิศาจผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชาย
ปรายตาสบแววตาสีน้ำเงินเพียงนิดก่อนผินมองไปยังผู้ที่ยังหลับสนิท
จ้าวอเวจียื่นมือออกไปหยิบดอกกุหลาบสีดำสนิทจากแจกันหัวเตียงและนั่งลงข้างกายผู้ที่ยังเป็นปริศนาในใจของจ้าวนครบาดาล
มือแกร่งขยับดอกกุหลาบที่กำลังบานสะพรั่งให้กลีบกุหลาบระแก้มนวลของผู้ที่นอนอยู่แผ่วเบา
“มันผู้นี้เป็นใคร”
“เป็นใครไม่สำคัญ
สำคัญที่ข้าพึงใจหรือไม่ต่างหาก”
“หึ หากความพึงใจของเจ้าหมดลง ก็คงมีชะตาไม่ต่างจากเฉินเสียงกระมัง”
น้ำเสียงซ่อนเจตนาประชดประชันเอาไว้ไม่มิด
เรียกให้มุมปากของจอมปิศาจยกขึ้นเล็กน้อย
“เฉินเสียงเป็นหนึ่งในกองกำลังปิศาจ
ซ้ำยังกำเนิดจากนครบาดาลหากไม่สามารถเอาตัวรอดได้จากสายธารา
เห็นทีคงต้องสมควรถูกปลดระวางเสียแล้วกระมัง” จอมปิศาจกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“ถ้าเช่นนั้นก็คืนเฉินเสียงให้ข้าเสีย”
“หึหึ กิเลนน้ำเงิน...
อย่ากล่าววาจาน่าเวทนาเช่นนั้นเลย มันทำให้ข้าสมเพชในความรักอันไร้ค่าของท่าน ศักดิ์ศรีของท่านนั้นอยู่ที่ไหนกัน
จึงคิดจะยอมรับทาสที่ข้าทิ้งขว้างแล้วไปดูแลต่อ”
“...” จ้าวนครบาดาลไม่เอ่ยตอบสิ่งใด
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ
จางฉี่หลิงปรายสายตามองผู้เป็นพี่
แล้วเอ่ยเรียบ
“ท่านก็รู้ดีแก่ใจ
ด้วยพันธะสัญญาแห่งพิธีหลั่งเลือด
ต่อให้เฉินเสียงไม่มีค่าอันใดต่อข้าหรือนครอเวจีอีกแล้ว
เขาก็ไม่มีวันกลับไปเป็นของท่านได้ อย่าพยายามเลย”
แววตาสีน้ำเงินอ่อนแสงลงด้วยหัวใจที่บีบรัด
จ้าวนครบาดาลตระหนักในความจริงข้อนี้ดี อีกทั้งรู้ว่าไม่เพียงแค่วิญญาณ
แต่รวมทั้งหัวใจของเฉินเสียง เจ้าของได้มอบแด่จอมปิศาจไปหมดสิ้นแล้ว
“สักวัน หากเจ้ามีความรัก
เจ้าคงจะเข้าใจ” จบวาจาร่างของกิเลนน้ำเงินก็เลือนหายไปจากที่นั้น
จางฉี่หลิงไม่ได้เก็บเรื่องราวของผู้อื่นมาใส่ใจอีก
ความสนใจของผู้เป็นใหญ่มีเพียงร่างขาวผุดผ่องที่ถูกแต่งแต้มด้วยรอยช้ำที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้เพียงเท่านั้น
เสียงหวานครางเครือเพราะถูกรบกวน
สัมผัสแผ่วเบาที่แตะต้องเนื้อนวลลากไล้ไปตามรอยช้ำบนผิวกาย มังกรสวรรค์ผู้หลับใหลจึงตื่นขึ้นจากนิทรา
เมื่อลืมตาขึ้นมาพบว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเทพสวรรค์ก็ถึงกับผวากลัว
ความรุนแรงโหดร้ายจากพิธีหลั่งเลือดเซ่นวิญญาณของจอมปิศาจยังติดตรึงอยู่ในทุกอณูของความรู้สึก
“กลัวข้าแล้วหรือ มังกรสวรรค์”
เสียงเยียบเย็นกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่มังกรสวรรค์ไม่รู้สึกยินดีแม้สักนิด
เมื่อดวงหน้ารูปสลักโน้มเข้ามาใกล้ ร่างขาวก็ถดตัวหนีตามสัญชาตญาณ
“หึหึ” จอมมารหัวเราะในลำคอขำขันกับปฏิกิริยาของร่างตรงหน้า
“ไม่อวดเก่งเช่นเคยเล่า หืม ไหนเจ้าว่าไม่เคยกลัวข้าไม่ใช่หรือ”
มือแกร่งเอื้อมไปเชยคางมนแต่กลับถูกหลบเลี่ยง
“อย่ามาแตะต้องข้า”
ดวงตาสีน้ำตาลแดงไหวระริก ทั้งหวั่นกลัวและดื้อดึงในคราวเดียวกัน
“หึ
เจ้ามีอำนาจสั่งข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน” มือแกร่งบังคับจับคางเรียว
ความไม่พึงใจแสดงออกเป็นความรุนแรงของการกระทำภายใต้ใบหน้าที่เฉยชา
“ผ่านพ้นราตรีนี้อีกครา เจ้าจะยังถือดีอยู่หรือไม่ ข้าก็อยากจะรู้เช่นกัน”
ร่างโปร่งนอนกระสับส่ายปัดป่ายด้วยความทรมาน
เหงื่อโทรมกายจนชุ่มไปทั้งตัว ทั้งสุขสม ทั้งรวดร้าว
หลากหลายความรู้สึกสับสนปนเปติดตรึงในมโนสำนึกเหมือนติดอยู่บนใยแมงมุมยักษ์ที่ผูกรัดเอาไว้ไม่อาจหลบหนีได้
“หยุด หยุดเสียที!” เสียงหวานละเมอ
“ตื่นได้แล้ว!” เสียงทุ้มตะคอกไม่ดังนัก
หยางหยางกรีดร้องออกมาพร้อมกับจิตสำนึกที่หลุดออกมาจากความฝัน
...ฝันประหลาดอีกแล้ว...
อาจารย์หนุ่มตื่นขึ้นมาด้วยอาการหอบเหนื่อยจากความพยายามที่ต้องการจะหนีจากบางอย่าง
เมื่อลมหายใจผ่อนลงจนกลับสู่ภาวะปกติเขาจึงรู้สึกถึงแรงที่จับอยู่ที่ต้นแขนของตัวเอง
“ฉี่หลิง...” หยางหยางพึมพำด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“แม่ให้มาตามลงไปข้างล่าง”
หยางฉี่หลิงบอกเสียงเรียบ ดวงตาสีนิลเต็มไปด้วยความสงสัยในอาการของพี่ชายฝาแฝดของตน
เขาขึ้นมาตามพี่ชายตามคำสั่งของผู้เป็นมารดาที่เพิ่งกลับมาจากการเดินทางท่องเที่ยว
เมื่อเข้ามาในห้องนอนของพี่ชาย
หยางฉี่หลิงก็เห็นหยางหยางนอนกระสับกระส่ายไปมาและครางเครือเหมือนกับกำลังฝันร้ายอยู่
เขาพยายามเขย่าตัวเท่าไหร่หยางหยางก็ยังไม่ตื่น จนกระทั่งเขาส่งเสียงเรียกผู้เป็นพี่ชายจึงตื่นขึ้น
“เดี๋ยวตามลงไป”
หยางหยางที่เพิ่งตั้งสติได้เอ่ยตอบ
“รีบตามมาแล้วกัน”
ฉี่หลิงทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นก่อนเดินออกจากห้องไป
หยางหยางมองไปรอบตัวก็เห็นหนังสือเล่มหนึ่งเปิดอ้าอยู่บนเตียงข้างตัว
มันคือหนังสือ ‘มัทนะอเวจี’ ที่เขาได้มาจากหังโจวเมื่อหลายเดือนก่อน วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์
หลังจากที่เคลียร์งานเรียบร้อยแล้ว
เขาจำได้ว่าตนเองหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมานอนอ่านด้วยความสนใจ
หลังจากที่ได้พบกับจางฮั่น
นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาโบราณที่จิ่งป๋อหรันแนะนำให้รู้จัก ทำให้เขาพอจะรู้ถึงรากภาษาที่ใช้เขียนในหนังสือเล่มนี้
วันที่พบกันจางฮั่นอ่านมันด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่งและขอคัดลอกเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้กลับไปแปลอย่างละเอียดอีกด้วย
เขากำลังพยายามอ่านเนื้อหาในหนังสือด้วยตนเองหลังจากที่ใช้เวลาศึกษาภาษาที่ใช้เขียนในหนังสือนั้นอยู่พักใหญ่
ไม่รู้ว่าเป็นความเหนื่อยล้าหรืออากาศเป็นใจเขาจึงผล็อยหลับไปทั้ง ๆ
ที่เขาไม่เคยหลับตอนกลางวันมาก่อน
น่าประหลาด...เนื้อหาบางส่วนในหนังสือช่างคล้ายคลึงกับความฝันของเขาเสียเหลือเกิน
“อ้าว หยางหยาง
ทำไมหน้าตาซีดเซียวอย่างนั้นล่ะลูก” เสียงของ ‘หลี่โม่ว’ ผู้เป็นแม่ของสองฝาแฝดเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อหยางหยางเดินเข้ามาในห้องครัว
หยางหยางปรายตามองผู้เป็นน้องชายที่กำลังเป็นลูกมือเตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารเย็นที่แม่ของพวกเขาคงจะลงมือเองเช่นเคย
“คงจะเพลียน่ะครับ
เดี๋ยวได้ทานอาหารอร่อย ๆ ฝีมือแม่ก็คงหายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะครับ”
“แหม ปากหวานตลอดเชียวเจ้าลูกคนนี้”
ผู้เป็นแม่ยิ้มร่าเริ่งเมื่อลูกชายทั้งสองมาอยู่กันพร้อมหน้า
“มีอะไรให้ผมช่วยบ้างครับ
ผมอยากกินอาหารฝีมือแม่เร็ว”
หยางหยางรวบกอดเอวอวบจากกด้านหลังของผู้เป็นแม่อย่างออดอ้อน
“ตายแล้ว ขี้อ้อนจริง
ทำอะไรเป็นหรือเราน่ะ” หลี่โม่วเอ่ยสบประมาททีเล่นทีจริงกับลูกชาย
“ถ้าไม่อยากให้ครัวพังก็นั่งอยู่เฉย
ๆ เถอะ” เสียงทุ้มของแฝดผู้น้องกล่าวขึ้นโดยที่เจ้าตัวก็ยังสนใจอยู่กับการหั่นผัก
ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองผู้ที่ตนต้องการพูดด้วยแม้แต่น้อย
อาจารย์หนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ก่อนหันไปอ้อนมารดา
“ดูฉี่หลิงสิครับแม่
ชอบไล่ผมตลอดเลย”
“อะไรกันลูกสองคนนี้
ยังตีกันเป็นเด็ก ๆ อยู่อีก แล้วนี่เวลาแม่ไม่อยู่ไม่ตีกันบ้านแตกหรือยังไง”
แทบไม่คุยกันเลยต่างหากล่ะ... หยางหยางตอบในใจ แต่เขาก็ต้องแสร้งทำเป็นคุยเล่นกับน้องชายเพื่อให้มารดาสบายใจ
“โถ่ แม่ครับ
พี่น้องก็เหมือนลิ้นกับฟัน ทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ยิ่งทะเลาะกกันก็ยิ่งรักกัน จริงไหมฉี่หลิง” หยางหยางเดินมาสวมกอดหยางฉี่หลิงที่กำลังหั่นผักอยู่ด้วยท่าทางออดอ้อนขี้เล่นจนคนเป็นน้องยังแปลกใจ
ส่วนผู้เป็นแม่กลับยิ้มสดใสเมื่อเห็นว่าลูกทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
หลี่โม่วเป็นคอลัมนิสต์ประจำนิตยสารท่องเที่ยว
จึงมักไม่ค่อยอยู่ติดบ้านเพราะต้องท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเขียนหนังสืออยู่เสมอ
ๆ หน้าที่การงานของเธอทำให้ชีวิตคู่ต้องถึงปลายทาง
เหลือเพียงลูกชายที่เธอรักดั่งดวงใจเพียงสองคน
ถึงแม้จะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันนักเธอก็หวังว่าครอบครัวเล็ก ๆ
ที่เหลืออยู่ของเธอจะไม่ขาดแคลนความรัก
คางมนเกยเล่นบนบ่ากว้าง ความใกล้ชิดทำให้กลิ่นน้ำหอมจาง
ๆ ที่หยางหยางใช้อยู่เป็นประจำลอยมาเตะจมูกของคนถูกกอด
ปกติสถาปนิกหนุ่มไม่ค่อยชอบกลิ่นน้ำหอมนัก
แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับชอบกลิ่นนี้เป็นพิเศษ
“สนิทกันได้ก็ดีจ้ะ ฉี่หลิง
เราน่ะก็อย่าไปเฉยชาใส่พี่เขามากนักเลย มีกันอยู่แค่สองคนพี่น้องก็รักกันไว้นะลูก
แม่จะได้หมดห่วงเสียที”
“ครับ” หยางฉี่หลิงตอบรับสั้น ๆ
ราวกับหุ่นยนต์ที่คอยรับคำสั่ง จนหยางหยางชักหมั่นไส้จึงต้องเอ่ยต่อ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ
ผมจะพยายามสนิทกับฉี่หลิงให้มากกว่านี้อีก” ไม่พูดเปล่า
แขนขาวยังรั้งรอบเอวแกร่งแน่นเข้า ในขณะที่อีกมือหนึ่งก็ซุกซนเลื่อนต่ำลงไปเล่นกับซิปกางเกงจนหยางฉี่หลิงถึงกับชะงัก
ด้วยความตกใจนิ้วเรียวของฉี่หลิงจึงถูกมีดหั่นผักบาดเข้าเนื้อจนเลือดออก
หยางหยางเหลือบตาเห็นผู้เป็นแม่เดินออกไปทางห้องน้ำก็วางมือทาบลงบนมือข้างที่เป็นแผลของผู้เป็นน้อง
เมื่อหยางฉี่หลิงไม่ได้ขัดขืนผู้เป็นพี่จึงคว้ามือข้างนั้นขึ้นมาก่อนขยับตัวเบี่ยงไปด้านข้าง
ดวงหน้าสะสวยโน้มลงใกล้กับฝ่ามือนั้น ลิ้นเรียวเล็กแตะชิมรสเลือดจากปลายนิ้วแกร่ง
ไล้เลียของเหลวสีข้นไปจนหมดจากบาดแผล
เมื่อเห็นว่ามีเลือดซึมออกมาอีกริมฝีปากสีสวยก็งับลงบนนิ้วนั้นแล้วดูดดึงแล้วกับจะดูดเลือดของหยางฉี่หลิงให้หมดตัว
จังหวะการหายใจ และเสี้ยวหน้าทรงเสน่ห์ชวนหลงใหลทำให้สถาปนิกหนุ่มเผลอไปกับสัมผัสเชิญชวนนั้น เมื่อได้สติก็รีบขืนมือออกห่าง
“ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ”
เสียงหวานกระซิบข้างหูเจือเสียงลมหายใจแหบพร่า ไม่เพียงแค่คำพูดแต่ดวงตาสีน้ำตาลมะฮอกกานียังแฝวแววท้าทายเป็นประกาย
ออด...
ฝาแฝดของบ้านหยางต่อสู้กันด้วยสายตาอยู่เกือบนาทีก่อนเสียงออดจะดังขึ้น
หยางหยางฉี่หลิงชักมือออกจากการเกาะกุมของพี่ชายก่อนกัดฟันกระซิบเสียงต่ำ
“อย่าเล่นให้มากนักนะ”
แล้วเจ้าตัวก็เดินออกไปทางประตูบ้านที่มีใครบางคนยืนรออยู่
หยางหยางยิ้มกริ่มที่สามารถแกล้งน้องชายได้สำเร็จ
ตอนนี้เขาเริ่มรู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะดึงหน้ากากความเฉยชาออกจากใบหน้าของหยางฉี่หลิงได้
เมื่อหยางฉี่หลิงเปิดประตูบ้านออก
ก็พบกับชายหนุ่มรูปร่างสูงยืนอยู่หลังบานประตูถือถุงข้าวของพะรุงพะรัง ทันทีที่เห็นหน้าเขาผู้ชายคนนี้ก็ยิ้มกว้างเหมือนกับดีใจเหลือเกินที่ได้พบเขา
คิ้วหนาขมวดมุ่นเพราะเขาไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้มาก่อน
“นายเป็นใคร”
รอยยิ้มของชายแปลกหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อหยางฉี่หลิงเอ่ยถามขึ้น
แต่ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเอ่ยตอบ เสียงของแฝดผู้พี่ก็ดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน
“นายมาที่นี่ทำไม”
“อ้าว อ๋ออออ
คนนี้เองน่ะหรือครับน้องชายฝาแฝดของอาจารย์ ผมแยกแทบไม่ออกเลยนะครับเนี่ย”
จิ่งป๋อหรันลูกศิษย์ขี้ตื๊อของหยางหยางยิ้มอารมณ์ดี “อ่อ
ผมไปเที่ยวมาเลยซื้อของมาฝากเต็มไปหมดเลยครับ”
“ฉันไม่อยากได้นายเอากลับไปเถอะ”
หยางหยางสวนขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ จิ่งป๋อหรันถึงกับทำหน้าหมาหงอย
หยางฉี่หลิงที่ลอบสังเกตคนทั้งคู่ที่คุยกันอยู่ก็ถึงกับยิ้มมุมปากเล็ก
ๆ ดูเหมือนพี่ชายของเขาจะมีหนุ่มมาตามจีบเสียแล้วกระมัง
แต่ดูเหมือนว่าแฝดผู้พี่ของเขานั้นจะไม่ค่อยสนใจเจ้าหนุ่มร่างโย่งนี่สักเท่าไหร่
แถมยังพูดจาตัดรอนอย่างไม่ไยดีเสียด้วย
“แต่ผมเอาหนังสือที่ฮั่นเกอฝากไว้มาให้ด้วยนะครับ”
จิ่งป๋อหรันพยายามยกถุงผ้าป่านที่เต็มไปด้วยหนังสือที่หนักอึ้งให้อาจารย์หนุ่มดู
หยางหยางยื่นมือไปรับถุงหนังสือแต่นักศึกษาหนุ่มกลับชักมือกลับ
“ผมอุตส่าห์เป็นธุระแบกหนังสือมาให้ขนาดนี้
ไม่ชวนผมทานข้าวเย็นที่บ้านหน่อยหรือครับ”
“ถ้าลำบากมากนักวันหลังก็ไม่ต้อง”
หยางหยางพูดตัดเยื่อใยหน้าตาเฉยโดยไม่นึกถึงจิตใจคนฟังสักนิด
“นั่นใครมาน่ะลูก” หลี่โม่วที่ได้ยินเสียงออดนานแล้วและลูกทั้งสองก็หายไปจากครัวจึงเดินมาดูที่หน้าบ้าน
“สวัสดีครับคุณแม่” จิ่งป๋อหรันรีบทักทายหญิงวัยกลางคนด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
“ผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หยางหยางน่ะครับ พอดีแวะเอาหนังสือมาให้อาจารย์
แล้วก็เอาของฝากมาให้น่ะครับ พอดีไปเที่ยวมาก็เลยนึกได้ว่าอาจารย์เขาชอบทานขนมหวาน”
“โถ พ่อคุณ ช่างมีน้ำใจจริง
แล้วนั่น ลูกสองคนนี้นี่
ปล่อยให้แขกถือของพะรุงพะรังยืนอยู่หน้าบ้านอย่างนี้ได้ยังไง มา ๆ เข้ามาลูก
แม่เตรียมกับข้าวมื้อเย็นไว้เยอะเลย มา ๆ มากินด้วยกัน”
หลี่โม่วชวนจิ่งป๋อหรันด้วยความเอ็นดู
“ขอบคุณครับคุณแม่”
“อ้าว นั่นช่วยน้องเขาถือหน่อยสิ
ฉี่หลิง หยางหยาง”
คนเป็นแม่สั่งเสร็จสรรพก็ชวนทุกคนตั้งโต๊ะเพื่อทานมื้อเย็นกันที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
“เอาล่ะ
ก่อนจะทานของหวานกันแม่มีของขวัญจะให้ลูกทั้งสองคนด้วย
ชดเชยที่แม่ไม่อยู่ในวันเกิดของลูกนะจ๊ะ”
หลี่โม่วเอ่ยขึ้นเมื่อทุกคนรับประทานอาหารมื้อหลักกันเสร็จเรียบร้อย
“คุณแม่นี่น่ารักจังเลยนะครับ
ผมชักตื่นเต้นไปด้วยแล้วสิครับเนี่ย”
จิ่งป๋อหรันช่างพูดช่างคุยถูกใจหลี่โม่วเป็นอย่างมาก
หยางหยางและหยางฉี่หลิงได้แต่ลอบมองตากันเป็นระยะเมื่อแม่ของพวกเขาเหมือนจะได้ลูกชายคนใหม่จนพวกเขาเกือบจะตกกระป๋องไปเสียแล้ว
หลี่โม่วหยิบถุงใบเล็กขึ้นมาแล้วเปิดถุงออก
ข้างในถุงเป็นกล่องกำมะหยี่สีดำขนาดเล็กกล่องหนึ่ง
ผู้เป็นแม่เปิดกล่องนั้นออกเผยให้เห็นว่าด้านในมีจี้อัญมณีน้ำงามสองเม็ดที่มีสีต่างกัน
เม็ดหนึ่งเป็นสีดำ
ส่วนอีกเม็ดเป็นสีน้ำตาลแดง
“แม่ไปเจอมาจากร้านขายของเก่าจ้ะ
เขาขายเป็นคู่ แล้วยังมีสีเหมือนกับสีตาของลูกทั้งสองคนอีก บังเอิญมาก ๆ เลย
แม่เลยซื้อมาให้ เป็นไง ถูกใจไหมจ๊ะ”
หลี่โม่วหยิบจี้แต่ละอันร้อยสร้อยข้อมือเงินแล้วสวมให้ลูกชายทั้งสอง
สองฝาแฝดยกข้อมือของตนเองขึ้นมาพิจารณาดูจี้อัญมณีนั้นอย่างละเอียด
พลันที่แสงจันทร์ซึ่งกำลังสุกสว่างเต็มดวงอยู่กลางฟ้าในคืนนั้นตกกระทบเหลี่ยมกะรัตของอัญมณีทั้งสอง
สีของอัญมณีทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นสีน้ำเงินสดใสเหมือนบลูแซฟไฟร์
“ว้าว อัศจรรย์มาก ๆ
แม่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย”
“ผมรู้จักครับ”
จิ่งป๋อหรันเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“อัญมณีที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเมื่อต้องแสงจันทร์ มันเรียกว่า ‘ผลึกนาคา’”
...โปรดติดตามตอนต่อไป...
TALK: สวัสดีค่ะ หายไปนานเลยเรื่องนี้ แหะๆ
ขอบคุณคนอ่านที่ยังรอติดตาม
และยังคงคิดถึงกันนะคะ
บางจังหวะชีวิต ไฟการเขียนก็มอดไปด้วยอะไรหลาย ๆ
อย่าง
แต่พอได้กลับมาอ่านคอมเมนท์ และมีคนถามไถ่เข้ามา ก็ทำให้รู้ว่ายังมีคนรออ่านเรื่องนี้อยู่
ขอบคุณทุก ๆ กำลังใจนะคะ เราจะพยายามต่อไปค่ะ