วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

[SF] Halloween Silhouette #หยางเฟิง #ถิงฝาน

[SF] --- Halloween Silhouette ---

Paring: หยางหยาง x หลี่อี้เฟิง ft. เฉินเหว่ยถิง x อู๋อี้ฝาน

Warning: NC18 Profanity





          ราตรีนี้ไร้ซึ่งแสงดาว...



ท่ามกลางท้องนภามืดสนิทเบื้องล่างคือมหานครที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานบนที่ราบหวาเป่ยซึ่งยามนี้เต็มไปด้วยแสงสีของงานรื่นเริงในค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลอง



ทั่วทุกมุมโลกผู้คนกำลังฉลองวันปลดปล่อยดวงวิญญาณอย่างไม่เกรงกลัวต่ออาถรรพ์ใด ๆ  แต่ใครเลยจะรู้ว่าในคฤหาสน์ใจกลางกรุงปักกิ่งกำลังจัดงานฉลองที่เต็มไปด้วยอมนุษย์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก



ดวงตากลมโตกวาดสายตาไปรอบงานเลี้ยงเพื่อมองหาใครคนหนึ่งซึ่งเขาเฝ้ารอมาแรมปีเพื่อพบกันอีกครั้ง



“อี้เฟิง พ่อจะไปพบท่านจอมปิศาจ ตามมาสิ” หัวหน้าสกุลหลี่เอ่ยกับลูกชายของตน



“ครับ ท่านพ่อ” เสียงนุ่มรับคำก่อนเดินตามผู้เป็นบิดาไปยังส่วนรับรองที่มีแต่คนสำคัญที่ได้รับเชิญเท่านั้นที่จะผ่านไปได้ สายตาของหลี่อี้เฟิงยังคงมองกวาดไปทั่วงานเพื่อหาคนที่ตนเฝ้ารอ



ในส่วนรับรองพิเศษดวงไฟทุกดวงไม่ได้รับการใช้งาน แสงสว่างเรื่อเรืองเพียงน้อยนิดมีต้นกำเนิดจากเทียนเล่มเล็กบนเชิงเทียนเก่าแก่ที่วางอยู่เพียงบางจุดในห้องรับรองเท่านั้น ด้านในสุดของห้องโถงมีบันไดทอดยาวขึ้นไปด้านบน ในวินาทีหนึ่งที่ทุกสรรพเสียงเงียบหาย เงาบางอย่างเคลื่อนไหวจากบันไดนั้น



ร่างลึกลับใต้ผ้าคลุมสีดำปิดมิดชิดจนมองไม่เห็นใบหน้าก้าวลงจากบันไดอย่างเชื่องช้า ทุกการเคลื่อนไหวนั้นสะกดทุกลมหายใจ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ



เมื่อร่างนั้นเดินลงมาจนสุดบันไดขั้นสุดท้าย มือขาวซีดที่โผล่พ้นใต้ผ้าคลุมค่อย ๆ ดึงผ้าส่วนที่คลุมศีรษะออกช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มแต่ทว่าซีดขาวราวกับไม่ได้พบเจอแสงอาทิตย์มาเป็นเวลานานแสนนาน ริมฝีปากซีดราวกับศพ สิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าร่างนี้ยังมีชีวิตอยู่คือแววตาที่กำลังมองกวาดไปทั่วทั้งห้องโถงที่มีเพียงแสงน้อยนิดรำไร



วินาทีที่ดวงตาสีแดงสดหันมาสบเข้ากับดวงตากลมโตที่จับจ้องอยู่ เลือดในกายพลันเย็นเฉียบ เส้นขนตลอดแนวสันหลังลุกฮืออย่างไม่ทราบสาเหตุ ตอนนั้นเองที่หลี่อี้เฟิงรับรู้ถึงความน่ากลัวของอมนุษย์ผู้ทรงพลังที่สุดบนแผ่นดินใหญ่ จอมปิศาจผู้ถูกขนานนามว่า “ใต้เท้าเฉิน”



ผู้คนด้านหน้าเริ่มขยับตัวเข้าใกล้ใต้เท้าเฉินรวมทั้งหัวหน้าสกุลหลี่ ทุกคนดูเหมือนถูกดูดเข้าไปโดยมีชายผู้นั้นเป็นศูนย์กลาง เช่นเดียวกับหลี่อี้เฟิงที่รู้สึกว่าเห็นร่างนั้นได้ชัดเจนขึ้นทุกที



ยังไม่ทันที่จอมปิศาจจะหันกลับมามองอีกครั้ง ทุกการรับรู้ของหลี่อี้เฟิงก็ดับหายไป...



























ในดินแดนอันห่างไกลผู้คนบนเทือกเขาสูงชันที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี บางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว บนเส้นทางที่สิ่งนั้นเคลื่อนที่ไป หิมะสีขาวบริสุทธิ์ก็เปรอะเปื้อนไปด้วยหยดเลือดสีแดงคล้ำ



มันกำลังจะตาย...








สิ่งปริศนาที่ทิ้งรอยเลือดไว้กลางหิมะขาวโพลน แท้จริงแล้วคือชายหนุ่มรูปงามใต้ผ้าคลุมสีดำสนิทดวงตาเรียวรีอ่อนระโหยจนแทบไม่มีแรงจะเปิดเปลือกตาขึ้น แต่เขาหยุดอยู่ตรงนี้ไม่ได้ หากหยุดเดินมีเพียงความตายเท่านั้นที่เฝ้ารอเขาอยู่ ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะมีโอกาสรอดชีวิตหรือไม่เขาก็เลือกที่จะเดิมพันกับโชคชะตาดีกว่านอนรอลมหายใจสุดท้าย



ชายหนุ่มปริศนาเดินฝ่าหิมะที่สูงแทบท่วมเข่า ขาแทบไร้แรงยืน ทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ มือเรียวใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีแหวกฝ่าปุยน้ำแข็งหนาทึบแม้ความเย็นของมันจะเสียดแทงผิวเนื้อจนร่างกายแทบทนไม่ไหว แต่เขาก็กัดฟันทนดิ้นรนจนกว่าจะไม่มีโอกาสอีกต่อไป ขณะที่สติห้วงสุดท้ายกำลังจะดับวูบลง เสียงลมหวีดหวิวก็คำรามก้องมาจากป่าสนไม่ไกลนัก บางสิ่งที่มีชีวิตกำลังควบทะยานตรงมายังร่างบาดเจ็บที่กำลังอ่อนแรง



ผู้มาเยือนหยุดการเคลื่อนไหวลงตรงหน้าชายปริศนาลมหายใจอุ่นปะทะใบหน้าของเขาจนเกินไอหมอกขาว สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คน... มันคือแมวป่าสีขาวบริสุทธิ์ แต่ขนาดตัวมหึมาเท่าช้างพังเชือกหนึ่งนั้นชวนให้ไม่อาจคิดว่าเป็นแมวที่เกิดตามธรรมชาติได้



“ปิศาจแมวราตรี...” เสียงแหบโหยเอ่ยแผ่วเบา



ดวงตากลมโตของแมวปิศาจจับจ้องร่างตรงหน้าของตนอย่างพิจารณา ปลายหนวดสีขาวเช่นเดียวกับขนของมันไหวกระดิกราวกับกำลังรับรู้สัญญาณบางอย่าง



“ท่านไม่ใช่มนุษย์” เสียงหนึ่งดังขึ้นซึ่งไม่อาจเป็นเสียงของใครไปได้นอกจากปิศาจแมวราตรีที่กำลังจับจ้องมาที่เขาอยู่ในตอนนี้



“เจ้า...”



“ทิเบตยามนี้ไม่ปลอดภัย เผ่าพันธุ์ปิศาจกำลังถูกพวกนักบวชกวาดล้าง หากไม่รีบหนีท่านจะต้องตายอยู่ที่นี่” แมวปิศาจเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน



“ข้า...” ไม่ทันขาดคำชายปริศนาก็หมดสติไป



เสียงโห่ร้องของชาวบ้านและบทสวดขับไล่สิ่งชั่วร้ายของนักบวชทิเบตใกล้เข้ามาทุกที



ไม่มีเวลาแล้ว












กลางราตรีที่ไร้ดาวแสงจันทร์สุกสว่างทอแสงผ่านทิวสนและหมู่แมกไม้ที่ปกคลุมด้วยหิมะอันหนาวเหน็บ ใต้เชิงผาสูงชันของภูเขาน้ำแข็งที่ตั้งตระหง่านกลางที่ราบสูงทิเบตในยามที่มีแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวจากราชินีแห่งฟากฟ้าปรากฏเงาประหลาดของบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหว เงานั้นเหมือนสัตว์สี่เท้าขนาดยักษ์กำลังคาบบางอย่างอยู่ในปากของมัน แต่แล้วเงาประหลาดนั้นก็ค่อย ๆ ลดขนาดลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงเงาเล็ก ๆ ของคนสองคนที่กำลังเดินไปยังสุดผาอีกด้านหนึ่งอย่างทุลักทุเล



ร่างหนึ่งกอดประคองอีกร่างที่ไร้สติอย่างยากลำบาก แมวปิศาจจำต้องกลับสู่ร่างมนุษย์ที่อ่อนพละกำลังลงเพราะหน้าผาที่ทั้งแคบและสูงชันทำให้ร่างเดิมของแมวยักษ์ไม่สามารถผ่านไปได้ เมื่อเดินมาใกล้ซอกผาแห่งหนึ่งซึ่งมีขนาดกว้างพอให้คนสองคนได้พักพิงแมวปิศาจจึงวางร่างที่หลับสนิทลง



“หากผ่านคืนนี้ไปได้ท่านจะมีโอกาสรอด ขอร้องล่ะ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเลย” เสียงหวานพึมพำ แต่ลมหายใจที่โรยแรงของร่างในอ้อมกอดนั้นทำให้น่าหวั่นใจเหลือเกิน



มือบางเลิกผ้าคลุมสีดำสนิทออกเผยให้เห็นบาดแผลลึกหลายจุดบนร่างแกร่งกำยำ แมวปิศาจคิดอย่างสับสน หากต้องใช้พลังของตนเพื่อช่วยเหลือชายแปลกหน้าผู้นี้ถ้าพวกนักบวชอำมหิตนั่นตามมาเจอ เขาคงไม่เหลือพลังเวทใด ๆ ไปต่อกร แต่จะปล่อยให้เสียงหัวใจของชายผู้นี้อ่อนแรงจนเงียบหายไปต่อหน้าต่อตาเขาก็คงทำไม่ได้



แมวปิศาจตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว หากโชคชะตายังปรานี คืนนี้เขาคงไม่จำเป็นต้องประมือกับพวกนักบวชกล้าอาคมพวกนั้นอีก เรียวปากอิ่มแนบประทับลงบนรอยแผลฉกรรจ์ทีละแห่ง ทันทีที่กลีบปากจรดลงบนรอยแผลเหล่านั้นเลือดก็พลันแห้งสนิทปากแผลสมานกันอย่างน่าอัศจรรย์ ร่างกายของชายแปลกหน้าให้กลิ่นหอมประหลาดเหมือนกลิ่นรากไม้ที่ใช้ปรุงยา กลิ่นหอมหวานชวนให้เคลิบเคลิ้มเมื่อบาดแผลทุกแห่งได้รับการรักษาแต่เรียวปากอิ่มยังไม่หยุดเคลื่อนไหว ไม่มีคำอธิบายใด ๆ ต่อความรู้สึกที่เอ่อท้นขึ้นมาในอกของแมวปิศาจในยามนี้



กว่าจะรู้ตัวริมฝีปากทั้งสองก็แนบชิด เรียวปากซีดของคนที่ก่อนหน้านี้หมดสติไปขยับเคลื่อนไหวบดเคล้าขึ้นสู้ริมฝีปากอ่อนของคนที่โอบประคองตนเอาไว้ เรียวลิ้นร้อนชำแรกรุกล้ำฝ่าด่านริมฝีปากสีหวานอย่างเชื่องช้า



“อึก... อื้อ...ท่านจะทำอะไร” แมวปิศาจผละตนออกมาจากจูบรุกเร้า แม้จะรู้สึกดีแต่ความรู้สึกบางอย่างที่ตีท้นในอกทำให้หัวใจเต้นรัวอย่างน่าตกใจ



“ทำให้ร่างกายของเจ้าอุ่นขึ้น” เสียงแหบทุ้มทำให้แมวปิศาจเพิ่งรู้ตัวว่าร่างกายของตนเองกำลังสั่นเพราะสภาพอากาศอันโหดร้ายของภูเขาหิมะ ในร่างมนุษย์แมวปิศาจไร้ซึ่งขนอันหนานุ่มจะป้องกันตัวเองจากความหนาวเย็น หากต้องอยู่ในร่างนี้ทั้งคืนในสภาพอากาศแบบนี้อาจเป็นแมวปิศาจเองที่จะไม่รอด



ดวงตากลมหันกลับมาสบสายตาคมเข้มอย่างสับสน แต่ชายปริศนาไม่รอคำตอบโน้มตัวประทับจุมพิตร้อนลงบนกลีบปากนุ่ม จากคนที่เคยเป็นโอบประคองคนอ่อนแรง บัดนี้เปลี่ยนมาเป็นผู้ถูกกอด อุณหภูมิของร่างบางขยับสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงเรียวปากที่แตะต้องตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายก็ราวกับปัดเป่าความหนาวเย็นไปหมดสิ้น



เพราะใช้พลังเวททั้งที่ร่างกายยังไม่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บชายหนุ่มจึงมีอาการหอบจนเห็นได้ชัด



“ท่าน... “



“...”



“รักษาตัวเองก่อนเถิด ข้าไม่เป็นไรแล้ว”



“คืนนี้ข้าอาจจะไม่รอดแล้ว เจ้าจงรีบไป อย่าได้ห่วงคนแปลกหน้าเช่นข้า”



“ทำไมล่ะ บาดแผลท่านหายสนิทหมดแล้ว ท่านต้องรอดสิ” แมวปิศาจร้องขึ้นอย่างตกใจ



“ข้าไม่มีพลังชีวิตเหลือแล้ว ไปเสียเถิด”



“พลังชีวิต?” คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ เขารู้ดีว่าชายผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ ปิศาจย่อมมีพลังชีวิตเหลือเฟือ เหตุใดชายผู้นี้จึงพูดเช่นนั้น



“ข้าถูกไล่ล่ามากว่าแรมเดือนแล้ว ไร้อาหาร แทบไม่เหลือกำลังวังชาใด ๆ สวรรค์เท่านั้นที่จะช่วยให้ข้ารอดไปได้ รีบหนีไปเสียเถิด” เสียงแหบอ่อนแรงกล่าวราวกับต้องการตัดเยื่อใย



อะไรกัน ข้าช่วยท่านมาถึงขนาดนี้ จะให้ทิ้งไปได้อย่างไร แมวปิศาจคิดสะท้อนอารมณ์ตัดพ้อออกมาทางแววตาชัดเจนเสียจนชายปริศนาต้องหลบสายตา



แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมองของแมวปิศาจ



“ท่านบอกว่าถูกไล่ล่ามาเป็นเดือนแล้ว หมายความว่า...”



“ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า รีบหนีไป”



“แต่ว่า...”














เขี้ยวคมกดลึกฝังลงบนลาดไหล่ขาว แมวปิศาจต้องอดกลั้นความเจ็บปวดของตนเพราะเป็นคนยื่นข้อเสนอเองที่จะแบ่งพลังชีวิตให้กับชายแปลกหน้า... ไม่สิ เขาคือ “คุณชายบ้านสกุลหยาง” ไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นี่จะไม่รู้จักบ้านสกุลหยาง ตระกูลผีดิบดูดเลือดอันเก่าแก่ของทิเบต แต่บัดนี้กำลังถูกไลล่ากวาดล้างจากตระกูลนักบวชศักดิ์สิทธิ์ที่อพยพมายังดินแดนนี้ได้ไม่นาน



มือเรียวขาวซีดไล้ซับหยาดน้ำตาจากความเจ็บปวดบนใบหน้าหวานอย่างทะนุถนอม มนุษย์ที่หยามเหยียดปิศาจว่าชั่วร้ายหนักหนา แต่คนตรงหน้านี้เล่า ทั้งทีไม่จำเป็นเลยแต่กลับช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงสิ่งตอบแทน จิตใจของปิศาจที่ชื่อ “หลี่อี้เฟิง” งดงามกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก



แมวปิศาจรับรู้ได้ถึงรสคาวเลือดของตนผ่านจุมพิตนุ่มนวลของแวมไพร์ผู้สูงศักดิ์ความเจ็บปวดจากพิษของบาดและกลิ่นหอมรากไม้จากกายแกร่งผสมปนเปจนหลี่อี้เฟิงรู้สึกงุนงง แรงหยอกเย้าจากริมฝีปากและมือแกร่งที่ลูบไล้ไปตามร่างกายชวนให้เคลิบเคลิ้ม ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น เขาก็หมดสิ้นแล้วซึ่งเรี่ยวแรงจะต้านทาน เงาของสองร่างที่เกี่ยวกระหวัดหลอมรวมเป็นหนึ่ง มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นเป็นพยาน




ข้ามพ้นราตรีนี้ ดวงใจสองดวงก็ไม่อาจแยกจากกันได้อีก






































“ข้าต้องไปแล้ว...พ่อของข้ารออยู่”



“จงรีบไป รักษาตัวให้ดี แล้วข้าจะไปพบเจ้าแน่นอน ข้าสัญญา” จูบลาที่เชิงหน้าผาท่ามกลางหิมะขาวโพลน ชวนให้หัวใจอ้างว้างยิ่งนัก




...ฝันอีกแล้ว...



หลี่อี้เฟิงปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก เพราะสายตาที่พร่ามัวจึงเห็นแต่เพียงเงาราง ๆ ภาพของใบหน้าที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาฝืนกระพริบเพื่อมองให้ชัดขึ้น



“คุณชาย...” ความปีติในใจกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำใสเอ่อท้นดวงตา



“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย พักเอาแรงก่อนเถิด”



“แต่.... ท่านพ่อของข้า” เสียงหวานเอ่ย เมื่อนึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ในห้องรับรองพิเศษ จอมปิศาจที่น่ากลัวที่สุดอยู่ที่นั่น



“เราจะกลับไปช่วยพวกเขา ยังพอมีเวลา แต่เจ้าต้องพักก่อน เจ้าโดนอาคมสะกดวิญญาณของเฉินเหว่ยถิงไป ต้องรีบคลายมนตร์เสียก่อน”



“เฉินเหว่ยถิง?”



“นามจริงของใต้เท้าเฉิน”



“ท่านรู้ได้ยังไง”



“สกุลหยางอยู่บนแผ่นดินนี้มากว่าพันปี ไม่มีอะไรที่พวกเราไม่รู้”













ก่อนที่พิธีสังเวยวิญญาณจะถึงขึ้นตอนสุดท้ายก็มีเสียงบางอย่างพุ่งแหวกอากาศฝ่ากลางวงเหยื่อเซ่นสังเวยผ่านใบหน้าของใต้เท้าเฉินไป ก่อนกริชสีเงินจะปักหยุดนิ่งบนกำแพงด้านหลังจอมปิศาจ เหล่าปิศาจผู้ถูกสะกดฟื้นจากอาคมต่างส่งเสียงร้องครางฮือฮา



จอมปิศาจเฉินเหว่ยถิงระบายโทสะใช้พลังกระแทกทุกอย่างทั้งเหล่าบริวารปิศาจและข้าวของกระจายเป็นวงกว้าง ที่สุดทางของห้องโถงบุรุษผู้ทรงอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ปรากฏแก่สายตา ไม้กางเขนที่ปักเป็นลวดลายวิจิตรเหนืออกด้านหนึ่งบ่งบอกว่าเขาคือบริวารแห่งพระเจ้า



“เจ้านั่นเอง อู๋อี้ฝาน”



บุรุษที่ถูกขานนามขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจที่ถูกล่วงรู้ชื่อจากปิศาจที่ตนไม่เคยพบมาก่อน เขารู้แต่เพียงว่าค่ำคืนนี้จะมีพิธีเซ่นสังเวยวิญญาณปิศาจของจอมปิศาจชั่วร้ายที่ชีวิตยืนยาวนับพันปี หากพิธีนี้สำเร็จพลังอำนาจของมันจะมากมายมหาศาลเกินกว่าใครจะต่อกรได้ เขาได้รับหน้าที่มาเพียงหยุดยั้งพิธีกรรมนี้เท่านั้น



“ข้าไม่รู้จักท่าน”



“หึหึ กล้าท้าทายอำนาจข้าถึงขนาดมาล้มพิธีเช่นนี้ได้ เจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย แต่กี่ภพชาติ เจ้าก็ไม่มีวันชนะข้า จำไว้” สิ้นคำ จอมปิศาจก็หายตัวไปเหลือเพียงหมอกควันเบาบาง










หัวหน้าสกุลหลี่ถูกอาคมสะกดทั้งยังร่างกายอ่อน พลังชีวิตบางส่วนถูกตอมมารกลืนกินไปแล้ว ขณะที่สติกำลังจะดับวูบลงก็มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาประคองเขาไว้และพาออกไปจากคฤหาสถ์หรูกลางเมืองที่บัดนี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เหล่าอมนุษย์ที่หวังจะพึ่งบารมีใต้เท้าเฉินต่างหลบหนีกันวุ่นวายเมื่อภัยมาถึงตัว



“เจ้าเป็นใคร จะพาข้าไปที่ใด”



“ท่านยังไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้ รู้เพียงแต่ว่าข้าไม่ได้คิดร้ายต่อท่านก็พอ”



“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”



“ถึงไม่เชื่อท่านก็คงขัดขืนข้าในตอนนี้ไม่ได้หรอก” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบก่อนใช้พลังเวทสะกดหัวหน้าสกุลหลี่ให้หลับใหลไป








ดวงตากลมโตขยับเปิดขึ้นเมื่อรับรู้ถึงลมหายใจที่เป่ารดผิวหน้า



“ท่าน...”



“กว่าจะตื่นได้ ปล่อยให้ข้ารอเสียตั้งนาน” เสียงทุ้มเอ่ยว่ากล่าวไม่จริงจังนัก ร่างแกร่งนอนตะแคงวางตัวบนศอกเฝ้ามองดวงหน้าหวานอย่างอ่อนโยน มือเรียวไล้สัมผัสแก้มนุ่มอย่างรักใคร่



ดวงตาใสของคุณหนูปิศาจมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าเป็นห้องนอนของตนในบ้านสกุลหลี่ หลังจากการกวาดล้างปิศาจในทิเบตคราวนั้นเหล่าปิศาจแมวราตรีก็ระหกระเหเร่ร่อนกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เขาและพ่ออพยพมาอยู่ที่ปักกิ่งอย่างเงียบเชียบ




“ท่านเข้ามาในห้องข้าได้อย่างไร”



“ข้าเป็นคนช่วยพ่อเจ้าไว้ มีหรือบ้านสกุลหลี่จะไม่ต้อนรับข้า” เสียงทุ้มเอ่ย ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้ม



“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่เห็นจำเป็นต้องขึ้นมาหาข้าถึงที่ห้องเลย พ่อข้าจะคิดเช่นไร”



“ข้ามาหาเจ้าตามสัญญาแล้วนะ แมวน้อยของข้า” เสียงทุ้มเอ่ยถึงสิ่งที่ตั้งใจจะพูดตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเฝ้ารอปิศาจแมวหน้าหวานให้ตื่นจากนิทราแสนสุข



“...” ดวงหน้าหวานเสหลบสายตาที่จับจ้องอย่างแฝงความหมาย



“ตั้งแต่วันที่เจ้าจากมา ไม่มีวันใดที่ข้าไม่คิดถึงเจ้า” คำหวานที่พร่ำบอกยิ่งทำให้แมวปิศาจเขินอายกลายเป็นแมวเชื่อง ๆ ตัวหนึ่ง



“ข้าก็คิดถึงท่าน...” มือแกร่งเชยคางมนเรียกร้องให้ลูกแมวน้อยเบนสายตามาสบ ยิ่งกว่าคำพูดที่เอื้อนเอ่ย ถ้อยคำที่สื่อผ่านสายตานั้นชัดเจนยิ่งกว่า ดวงตาของผีดิบดูดเลือดที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ ยามนี้สะท้อนแต่ความห่วงหาและเรียกร้องอ้อนวอนจนทั้งร่างของแมวปิศาจแทบจะหลอมละลายเพราะสายตานั้น



เปลือกตาสวยปิดปรือลงรับจุมพิตนุ่มที่ประทับลงมาอย่างอ่อนโยน เรียวปากหนาขยับหยอกเย้ากลีบปากบางที่แสนคิดถึง ลิ้นหนาแทรกสอกรุกล้ำเข้าทักทายลิ้นเล็กอย่างคุ้นเคย ความรู้สึกที่อัดแน่นมาแรมปีปะทุออกมาราวกับกองไฟที่ถูกราดด้วยน้ำมัน



มือแกร่งไม่ปล่อยให้ตัวเองว่างงานลูบไล้บีบเค้นสีข้างของปิศาจแมวราตรีอย่างโหยหา เนื้อสัมผัสและกลิ่น



กายที่เคยได้แต่เชยชมในจินตนาการมาหลายเวลา ตอนนี้ทุกอย่างเป็นความจริง หยางหยางและหลี่อี้เฟิงได้พบกันแล้ว ครั้งนี้คุณชายแห่งบ้านสกุลหยางจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดมาพรากเขาทั้งสองคนได้อีก



เสื้อผ้าเนื้อดีถูกทอดทิ้งกระจัดกระจายอยู่ข้างเตียงอย่างไม่มีความสำคัญ สองร่างที่แนบชิดแทบไม่มีช่องว่างระหว่างกัน เพียงริมฝีปากผละออกจากกันก็ปรากฏเสียงครางหวานของแมวปิศาจที่ถูกกระตุ้นด้วยไฟราคะ ความนุ่มหยุ่นของเรียมปากหนาที่จูบประทับไปทั่วเรือนร่างขาวเนียนราวกับกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ส่งผลให้ร่างขาวบิดกายด้วยความวาบไหว ผิวเนื้ออ่อนถูกแทะโลมกลืนกินราวกับเป็นอาหารอันโอชะ ทุกสัมผัสที่ถูกปรนเปรอเต็มไปด้วยร่องรอยของความคิดถึงและห่วงหา



นี่คงเป็นโชคชะตา หากแมวปิศาจหลี่อี้เฟิงไม่พลัดหลงจากญาติพี่น้องในวันนั้นก็คงไม่ได้พบกับคุณชายหยางหยาง เพราะความไร้เดียงสาที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้เกิดสายใยผูกพันที่แน่นแฟ้นแม้มองไม่เห็น



แสงจันทร์นวลที่สาดส่องผ่านหน้าต่าง เงาของทั้งสองร่างขยับไหวบนผืนผ้าม่าน ให้ดวงจันทร์เป็นพยานต่อดวงใจทั้งสอง แม้เป็นปิศาจแต่ความรู้สึกที่มีต่อกันนั้นบริสุทธิ์ด้วยใจไม่ต่างจากมนุษย์อื่นใด ไม่ว่ากี่ราตรีจะผ่านพ้น ด้วยแรงแห่งคำมั่นสัญญากุหลาบงามแห่งความรักกำลังผลิบานอีกครั้ง





END




Happy Halloween นะคะ รักคนอ่านทุกคนค่ะ จุ๊ฟฟฟฟฟ 

ปล. ฝากคอมเมนท์ไว้ในบล็อกหรือแท็ก #ปิศาจฮาโลวีน ก็ได้นะคะ