วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

SWEET LABYRINTH - 03 ระยะห่าง [#หยางเฟิง]

SWEET LABYRINTH Chapter 03
#หยางเฟิง
คำเตือน: เรื่องทั้งหมดเกิดจากจินตนาการของผู้แต่งเอง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

ความเดิมตอนที่แล้ว >>   Intro l Chapter 01 l Chapter 02


ผมว่าหยางหยางกำลังอารมณ์ไม่ปกติครับ เพราะถ้าอารมณ์ปกติมันต้องทั้งทะเล้นและกวนประสาทจนผมเหนื่อยที่จะต่อกร แต่วันนี้มันขี้อ้อนเหลือเกิน...

และนั่น... ทำให้ผมรับมือลำบาก

ไอ้ตัวแสบนั่งซ้อนด้านหลังของผมวางคางทิ้งน้ำหนักลงบนไหล่แล้วยังคว้ามือทั้งสองข้างของผมไปบีบเล่นราวกับจะล็อคผมไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้

“วันนี้ผมเจอพี่จิ๋งเป่า เขาบอกว่ามาหาพี่ พี่ได้เจอเขาบ้างหรือเปล่า” ไอ้แกะแสบถามเสียงกระเง้ากระงอดจนน่าบีบจมูกมันเล่นเสียจริง ๆ หมั่นเขี้ยวครับ ผมอมยิ้มเพราะอดเอ็นดูไม่ได้ เด็กขี้อิจฉาก็เป็นอย่างนี้แหละครับ หยางหยางหวาดระแวงทุกคนที่ดูเหมือนจะแย่งความสนใจของผมไปจากเขา เป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตสักที ผมพูดท้าทายเรื่องจิ่งป๋อหรัน เจ้าแกะไม่ได้คัดค้านอะไรแต่ก็แสดงออกราวกับตัวเองเป็นหมาน้อยถูกทิ้งเสียอย่างนั้น น่าสงสารใช่ไหมล่ะครับ
“ถ้าพี่มีแฟนแล้วจะทิ้งผมไปหรือเปล่า” เสียงเปรยอ่อนแรงราวกับกำลังขอความเห็นใจนั่นชวนให้อดสงสารไม่ได้จริงๆ คิดได้ยังไงว่าผมจะทิ้งมันลง

“นายเป็นน้องชายฉันเสมอ อย่าคิดมากน่า ขี้อ้อนขี้เหงาแบบนี้ใครจะทิ้งลง” แรงโอบกระชับจากอ้อมกอดของคนที่ผมเรียกว่าน้องชายกำลังย้ำเตือนบางอย่างในใจของผม...

--------------------------------------------Sweet Labyrinth---------------------------------------------

วันนี้ผมได้พักครึ่งวันเพราะอุบัติเหตุระหว่างการถ่ายทำละคร ทีมงานคนอื่น ๆ กำลังเคลียร์พื้นที่บริเวณที่เกิดเหตุ ผมมีแผลบริเวณใบหน้าเล็กน้อย พรุ่งนี้ผมมีงานที่ปักกิ่งซะด้วยสิ ตอนที่ทีมงานเห็นแผลนี่ผมต้องโดนดุแน่ ๆ เลย

เย่าฉีกำลังทำแผลให้ผม คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันดูเคร่งเครียดจนเกินจริง

“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นก็ได้น่า แผลไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย”

“แผลน่ะไม่แย่หรอกถ้ามันอยู่ที่อื่นบนตัวนายน่ะนะ แต่มันดันมาอยู่บนหน้านายเนี่ย รู้จักระวังเครื่องมือหากินบ้างสิ”

“เธอพูดเหมือนฉันเป็นพวกมีดีแค่หน้าตา”

“อย่าเพิ่งมายอกย้อนน่า เฟิงเฟิง พรุ่งนี้นายมีถ่ายแบบนิตยสารดังนะ ฉันล่ะอยากเห็นหน้านายตอนโดนช่างแต่งหน้าดุจริง ๆ เลย เถียงให้ออกล่ะ”

“ครับ คุณแม่ มันเป็นอุบัติเหตุ นี่ฉันก็ระวังที่สุดแล้ว” คราวนี้ถือเป็นทีของเย่าฉีครับ ผมยอมรับว่าเป็นความผิดของตัวเองด้วยส่วนหนึ่งที่ไม่ระวังตัวจนได้รับบาดเจ็บ แม้จะพยายามเซฟตัวเองที่สุดแล้วแต่ก็ยังได้แผลมาประดับบนใบหน้าให้ช้ำใจเล่นอยู่ดี งานในวงการบันเทิงยังไงก็ต้องใช้หน้าตาทำมาหากิน ถ้าเสียโฉมขึ้นมาไม่ใช่ผมคนเดียวที่เดือดร้อน แต่งานของคนอื่นก็จะเสียไปด้วย

“แล้วนี่นายจะกลับโรงแรมเลยหรือเปล่า” เย่าฉีถาม

ผมมองดูนาฬิกาข้อมือ เพิ่งจะบ่ายโมง ผมนึกถึงคนสำคัญที่เป็นผู้มีพระคุณของผมขึ้นมา ถ้าไปปักกิ่งตั้งแต่วันนี้ผมจะได้ถือโอกาสไปเยี่ยมเขาสักหน่อย

“เดี๋ยวจะเข้าไปเก็บของแล้วไปปักกิ่งเลยดีกว่า” ผมตอบ

แต่ยังไม่ทันที่เย่าฉีจะพูดอะไรก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“อี้เฟิงจะไปปักกิ่งวันนี้เหรอครับ ผมก็กำลังจะไปเหมือนกัน ไปพร้อมกันเลยดีไหม” จิ่งป๋อหรันนั่นเอง ช่างมาได้ถูกเวลาจริง ๆ

“นายมาได้ยังไงเนี่ยจิ๋งเป่า” เย่าฉีถามเลิกคิ้วอย่างสงสัย

“มาตามหัวใจเรียกร้องน่ะสิ” จิ่งป๋อหรันส่งยิ้มละไมและส่งสายตามาทางผมทำให้เย่าฉีถึงกับอ้าปากค้าง พูดกันตามตรง ผมค่อนข้างจะหมั่นไส้ผู้ชายคนนี้พอสมควร คนอะไรลื่นเป็นปลาไหลได้ขนาดนี้

“อย่าบอกนะว่า...” เย่าฉียังคงหลงคารมไอ้หน้าหล่อนี่โดยไม่ทันสังเกตปฏิกิริยาของผมเลย

จิ่งป๋อหรันยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดใด ๆ ให้เพื่อนสาวของผม และยังไม่ทันที่ผมจะแก้ตัวอะไรเขาก็พูดขึ้นมาก่อน

“ผมจองเครื่องบินไว้ตอนบ่ายสามโมง รอบนี้คนไม่น่าจะเยอะ ไปด้วยกันจะได้มีเพื่อนไงครับ”

ผมหมั่นไส้คำพูดคำจาที่สุภาพเกินจริงของหมอนี่เหลือเกิน ยิ่งฟังยิ่งขนลุก

“เพื่อนนายนี่น่ารักดีนะ” ไม่ทันพ้นจากเขตกองถ่าย มันก็ออกลายเจ้าชู้เลยครับ

“น่ารักแต่ห้ามจีบโว้ย ฉันไม่สนับสนุน หมาจิ้งจอกอย่างนายน่ะไปไกล ๆ เพื่อนฉันเลยยิ่งดี”

“อะไรกัน แค่นี้ก็ต้องหวงด้วย แล้วอย่างอี้เฟิงล่ะครับ ผมจีบได้ไหม” จิ่งป๋อหรันหันมาทำตาหวานเยิ้มใส่ผมจนผมถึงกับกลอกตาร้อยแปดสิบองศา

“พอเลย ฟังแล้วขนลุกชะมัด” ผมขู่ฟ่อใส่นายป๋อหรันให้หยุดทำอะไรชวนขนลุกแบบนี้เสียที

ถามว่าทำไมนายป๋อหรันถึงต้องแสดงท่าทีสนอกสนใจผมเป็นพิเศษน่ะหรือครับ เหตุผลมันมาจากสิ่งที่เรียกว่า “ใบสั่ง” ยังไงล่ะ ผมและจิ่งป๋อหรันกำลังจะได้ร่วมงานกันในหนังฟอร์มยักษ์ของปี และพวกเราก็ได้รับ “คำแนะนำ” ในการวางตัวจากต้นสังกัด นั่นคือการทำให้เราดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ตั้งแต่ก่อนประกาศรายชื่อนักแสดงสู่สาธาณะจิ่งป๋อหรันก็ได้เริ่มละครฉากสำคัญของเขาแล้ว ชื่อเสียงด้านการเป็นนายแบบของเขาเป็นที่รู้จักกันดีในวงการว่าเป็นเบอร์ต้น ๆ ของยุคนี้เลยทีเดียว ไม่ว่าเขาจะใส่เสื้อผ้าชุดไหนก็ดูเหมาะกับเขาไปหมด อารมณ์ที่สื่อผ่านเลนส์กล้องถ่ายทอดมายังภาพนิ่งเข้าถึงผู้คนได้อย่างน่ามหัศจรรย์ แต่คนอื่น ๆ อาจจะยังไม่รู้ว่าจิ่งป๋อหรันไม่เพียงแต่เป็นนายแบบสุดฮ็อตแต่ยังเป็นนักแสดงฝืมือร้ายกาจอีกคนหนึ่งด้วย

--------------------------------------------Sweet Labyrinth---------------------------------------------

เรามาถึงปักกิ่งกันก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว จิ่งป๋อหรันดูแลผมเป็นอย่างดี เพราะเทคแคร์คนอื่นเก่งอย่างนี้นี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่สาว ๆ หลงเขากันทั้งบ้านทั้งเมือง แถมยังไม่มีกิริยามือไม้หนวดปลาหมึกหรือพูดจาหยอดคำหวานให้คลื่นไส้อย่างที่คาดการณ์เอาไว้ แต่ถึงยังไงผมก็ยังระวังตัวกับหมอนี่พอสมควร ถึงจะมีใบสั่งให้เราสนิทสนมกัน ผมก็ต้องรักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของตัวเองเพื่องานอื่น ๆ ของผมด้วย

คืนนี้ผมไม่ได้จองโรงแรมเอาไว้เลยตั้งใจจะไปค้างที่บ้านของผู้มีพระคุณของผมสักหน่อย จิ่งป่อหรันอาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารเย็นผมวันนี้ ก่อนเขาจะแยกตัวไปเก็บของที่โรงแรมเราเลยนัดเจอกันที่ร้านอาหารขนาดกลางร้านหนึ่งในกรุงปักกิ่ง

ผมตรงมาที่ร้านอาหารที่เป็นที่หมายทันทีหลังจากแยกกับนายป๋อหรัน

“อ้าว เฟิงเฟิง มาถึงเร็วนี่” ใช่แล้วครับ ร้านอาหารที่นี่เป็นของผู้มีพระคุณของผมเอง ผมส่งข้อความมาบอกเขาล่วงหน้าก่อนออกจากเซี่ยงไฮ้เล็กน้อย

“หวัดดีครับเฮีย คิดถึงเฮียสุดๆ” ผมเดินไปแปะมือกับ “เฮียถิง” หรือ “เฉินเหว่ยถิง” ผู้มีพระคุณของผมนั่นเอง เราสอมกอดกันอย่างคนคุ้นเคยที่ไม่ได้เจอกันนาน

“เฮียเฟิร์มขึ้นปะเนี่ย กล้ามแน่นตั้บเลยอ่า”

“พูดแบบนี้เพราะจะมาขออาศัยฉันอยู่ใช่ไหมล่ะ หึหึ”

“โห่ เฮีย ผมคิดถึงฮียจริง ๆ นะเนี่ย พรุ่งนี้ผมมีงานที่ปักกิ่ง พอดีวันนี้ได้ว่างครึ่งวันผมก็นึกถึงเฮียคนแรกเลยนะ”

“เอาเถอะ วันนี้อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวเฮียเลี้ยงเอง”

“ไม่ต้องเลยเฮีย ไม่ต้อง ๆ วันนี้ผมมีเจ้ามือแล้ว” ผมยักคิ้วอย่างอารมณ์ดี

“หืม? เจ้ามือ? ใครกัน หยางหยางเหรอ”

“ไม่ใช่หรอก รายนั้นติดงานอยู่เซี่ยงไฮ้นั่นแหละ เอาน่า เดี๋ยวเฮียก็รู้ ป่านนี้คงใกล้มาถึงแล้วล่ะมั้ง” ผมเหลือมองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ใกล้ถึงเวลาที่นัดกับจิ่งป๋อหรันไว้พอดี

เมื่อถึงเวลานัดจิ่งป๋อหรันก็มาปรากฏตัวที่ร้านของเฮียถิง ตรงตามเวลาเป็นหลักนาทีไม่ขาดไม่เกิน ถือว่าเป็นคนมีความรับผิดชอบใช้ได้

“รอนานไหมครับอี้เฟิง” อีกฝ่ายเอ่ยทักทันทีที่เห็นผมมายืนรออยู่หน้าร้าน

“มาตรงเวลาเป๊ะขนาดนี้ยังจะมาถามอีก เข้ามาข้างในก่อนสิ ร้านนี้เป็นร้านของรุ่นพี่ฉันเอง รับรองว่าอาหารอร่อยทุกอย่าง” ผมเดินนำจิ่งป๋อหรันมายังโต๊ะพิเศษที่ทางร้านจัดเตรียมไว้

ร้านนี้ตกแต่งเรียบง่ายสไตล์โมเดิร์น มีภาพถ่ายวิวสวย ๆ ที่เฮียแกชอบสะสมประดับอยู่ตามจุดต่าง ๆ มองแล้วชวนให้ผ่อนคลาย จิ่งป๋อหรันดูสนใจรูปภาพเหล่านี้ไม่น้อย ถึงกับมองไม่วางตา

“เป็นเกียรติจังเลยนะครับ ได้มาทานร้านโปรดของอี้เฟิงด้วย”

“เลิกพูดเพราะ ๆ เหอะน่า ที่นี่ไม่มีใครดูละครที่นายกำลังเล่นหรอก”

“โอเค ก็ได้ แต่ดูท่าทางร้านนี้จะมีอะไรพิเศษสินะ นายดูนำเสนอน่าดูเลยนี่” จิ่งป๋อหรันเปลี่ยนวิธีการพูดกลับมาเป็นเหมือนเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเพียงสองคนแล้วเมื่อเรานั่งลงที่โต๊ะซึ่งถูกจัดไว้ในพื้นที่ส่วนตัว

“ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก ใครมาปักกิ่งฉันก็พามาร้านนี้ทั้งนั้นแหละ พอดีเป็นหุ้นส่วนด้วย กินร้านนี้เงินจะได้ไม่รั่วไหลไปไหนไง” ผมตอบลอยหน้าลอยตา

จิ่งป๋อหรันถึงกับหลุดขำในคำตอบของผม ไหน ๆ ก็คงต้องทำงานด้วยกันอีกนาน นิสัยอย่างหนึ่งของผมที่เขาควรรู้ไว้ด้วยนั่นคือผมเป็นคนงกมาก เพราะฉะนั้นถ้าไม่เลี้ยงล่ะก็ อย่าได้พาไปกินอะไรแพง ๆ เด็ดขาด

แต่เหตุผลทั้งหมดที่เลือกร้านนี้ไม่ใช่เพราะว่าผมงกอย่างเดียวหรอกนะครับ แต่เพราะถ้าผมมากินที่นี่ เฮียถิงจะลงมือเข้าครัวเอง แล้วฝีมือการทำอาหารของเฮียน่ะ อร่อยอย่าบอกใครเลยเชียว

“นี่สั่งอาหารไปบ้างหรือยัง”

“สั่งแล้ว ๆ สั่งไปสองสามอย่าง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่น่ะ จะได้ไม่ต้องรอนาน นายก็สั่งเพิ่มอีกสิ” ผมพูดพลางยืนเมนูให้คนตรงหน้า

เมื่ออาหารเริ่มมาเสิร์ฟ เราก็ลงมือรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย นายป๋อหรันเอ่ยชมรสชาติอาหารไม่ขาดปาก บอกแล้วว่าพ่อครัวของผมคนนี้น่ะฝีมือขั้นเซียน

“ชักอยากจะเห็นหน้าแม่ครัวแล้วสิ ทำอาหารอร่อยขนาดนี้น่าขอไปไว้ที่บ้านสักคน” จิ่งป๋อหรันพูดติดตลก ดูมันเถอะครับ ขนาดแม่ครัวร้านอาหารมันยังคิดจะจีบ

“ขอน่ะขอได้ แต่เขาจะไปกับนายหรือเปล่ามันก็อีกเรื่องนึง ที่สำคัญไม่ใช่แม่ครัวหรอกนะ แต่เป็นพ่อครัวต่างหากล่ะ”

ยังไม่ทันที่จิ่งป๋อหรันจะได้พูดอะไร  พ่อครัวที่กำลังตกเป็นประเด็นสนทนาในตอนนี้ก็ออกมาหาพวกเราเสียก่อน

“ว่าไง เฟิงเฟิง อาหารอร่อยไหม สวัสดีครับคุณ...” เฮียถิงเว้นจังหวะรอคำตอบจากนายป๋อหรัน

“จิ่งป๋อหรันครับ” จิ่งป๋อหรันแนะนำตัวเองและทักทายตามมารยาท แล้วเฮียถิงก็นั่งลงด้านข้างของผม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเฮียแกคงอยากเห็นหน้าคนที่ผมบอกว่าจะเป็นเจ้ามือลี้ยงผมในวันนี้

“ผม เฉินเหว่ยถิง เป็นเจ้าของร้านนี้ครับ” เฮียถิงแนะนำตัวเองสั้น ๆ

“แล้วก็เป็นพ่อครัวใหญ่ของที่นี่ด้วย อาหารที่พวกเรากินกันวันนี้น่ะฝีมือเฮียฉันเอง” ผมกล่าวพรีเซนต์เฮียตัวเองเสร็จสรรพ ผมไม่ได้เห่อเฮียหรอกนะครับ แต่ผมแค่อยากให้ทุกคนรู้ว่าเฮียน่ะทำอาหารอร่อยม้ากกกกกกกกกกกก

เฮียถิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเพราะความเคยชินที่ผมมักจะชอบโฆษณาเฮียให้ชาวบ้านฟังบ่อย ๆ

“หน้าคุ้น ๆ เป็นดาราใช่ไหม” เฮียเปิดคำถามถามนายป๋อหรัน

“ใช่ครับ”

“แต่ไม่เคยเห็นเฟิงเฟิงพูดถึงเลยนะ รู้จักกันมานานแล้วเหรอ” เอาแล้วไงครับ เฮียถิงเริ่มสอบสวนทำตัวเหมือนกับเป็นพ่อคนที่สองของผม

จิ่งป๋อหรันเหลือบมองผมเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบกลับไป

“เราได้เจอกันบ้างตามงานสังคมน่ะครับ แต่ยังไม่เคยได้ร่วมงานกันสักที นี่ผมก็รอโอกาสอยู่นะครับ คิดว่าคงไม่นานเกินรอ”

มันมีแน่อยู่แล้วสิ ไม่อย่างนั้นฉันจะมาติดแหง็กอยู่กับนายอยู่อย่างนี้เหรอ ผมคิดในใจ

“ว่าแต่...ไม่ยักรู้นะครับว่าเจ้าของร้านนี้จะยังหนุ่มยังแน่นแถมหน้าตาดีขนาดนี้ ถ้าไม่บอกก่อนผมคงคิดว่าเป็นเพื่อนในวงการของอี้เฟิงเสียอีก”

“ไม่ต้องมาพูดยกยอฉันหรอก ฉันไม่ชอบพวกปากหวาน” นายป๋อหรันถึงกับชะงักกับคำพูดแสนจะตรงไปตรงมาของเฮียถิง แต่ผมนี่สิ กลั้นขำจนปวดแก้มไปหมดแล้ว

“นี่มาทำงานที่ปักกิ่งด้วยกันเหรอ” เฮียถิงหันมาถามผม

“ก็ไม่เชิงครับ มาทำงานที่ปักกิ่งเหมือนกัน แต่ไม่ได้มาทำงานด้วยกันหรอกครับ พอดีผมเปลี่ยนใจจะบินมาวันนี้แล้วป๋อหรันก็จะมาปักกิ่งวันนี้พอดี”

“บังเอิญจริงเลยนะ ถ้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญฉันคงคิดว่านายตั้งใจมาจีบเฟิงเฟิง” เกิดความเงียบขึ้นเสี้ยววินาทีเมื่อเฮียถิงพูดจบ นายป๋อหรันเหลือบตามองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เพียงแวบเดียวก่อนตอบไปกลับไป

“แล้วถ้ามาจีบจริง ๆ ล่ะครับ”

เฮ้ยยยยยยยย ผมได้แต่ตะโกนร้องในใจ เล่นมากไปแล้วไอ้บ้านี่ เดี๋ยวเฮียเข้าใจผิดหมดพอดี ผมรีบส่งสายตาบอกให้นายป๋อหรันจบประเด็นนี้ไปสักที แต่ดูเหมือนระหว่างเขากับเฮียถิงจะมีรังสีบางอย่างแผ่ออกมาที่ผมเข้าไม่ถึง...รังสีของความอยากเอาชนะ

“ปกติเวลานายจีบคนอื่นนายทำอะไรบ้างล่ะ” เฮียถิงยิงคำถามอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำตอบที่ดูเหมือนจะท้าทายนั้น จิ่งป๋อหรันมีท่าทีชะงักไปเล็กน้อย แต่ผมเนี่ยสิ เกือบหลุดขำไปแล้ว

“ถามทำไมหรือครับ”

“ตอบมาก่อนสิ”

“ผมไม่เคยจีบใครจริงจังหรอกครับ ที่ผ่านมาก็แค่ควงแก้เหงา อี้เฟิงเป็นคนแรก” ลื่นเป็นปลาไหล ถ้าไม่ลื่นขนาดนี้คงไม่ใช่จิ่งป๋อหรันของแท้ พูดแล้วยังไม่วายส่งสายตาหวานหยดมาให้ผมอีก ผมทำท่าโก่งคออาเจียนส่งคืนไปให้โดยที่เฮียถิงไม่ทันสังเกต

“นี่ฉันควรจะดีใจแทนน้องชายฉันสินะ” เฮียถิงหันมามองผม ผมเพียงแค่ยักไหล่โดยที่ยังส่งเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากไม่หยุด บอกแล้วว่าเฮียเขาทำอร่อยจริง ๆ ผมขอไม่ยุ่งกับสงครามฝีปากของเขากับนายป๋อหรันแล้วกัน ผมจะกิน !

ระหว่างที่เฮียถิงกำลังทำการซักฟอกนายป๋อหรันโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อผมก็สั่น ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูชื่อคนที่โทรเข้า ผมไม่แน่ใจว่าบนใบหน้าของผมในตอนนี้มีกำลังมีรอยยิ้มอยู่หรือเปล่า

“เดี๋ยวมานะ” ผมชูโทรศัพท์เป็นสัญญาณว่ามีธุระส่วนตัวและหลบฉากออกมาด้านหลังร้าน

“ว่าไง ไอ้ตัวแสบ” ทันทีที่กดรับผมก็กรอกเสียงตัวเองลงไป

“พี่ทิ้งผม” หยางหยางเอ่ยเสียงเรียบ แต่ผมเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายจะต้องทำหน้าบูดเหมือนเด็กโดนแย่งของเล่นอยู่แน่ ๆ

“ฉันมาทำงาน ทิ้งอะไรล่ะ อ้อนให้มันน้อย ๆ หน่อย”

“ไหนพี่บอกว่ามีงานวันพรุ่งนี้แล้วจะรีบกลับ”

“นายเป็นแม่ฉันหรือไง ถึงต้องมาเช็คว่าฉันอยู่ที่ไหน กลับเมื่อไหร่ ฉันแวะมาหาเฮียถิงด้วย ไม่ได้เจอแกนานแล้ว”

“...”

“เป็นอะไร”

“...”

“เป็นอะไร หือ” ผมลดเสียงให้อ่อนลงเมื่ออีกฝ่ายยังคงไม่ตอบอะไรกลับมา

“ผมคิดถึงพี่นะ” ผมหัวเราะเบา ๆ กับคำตอบที่แสนออดอ้อนนั้น

“จะคิดถึงทำไมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็กลับไปอยู่คนเดียวไม่เป็นหรอก”

“...”

“เอาน่า เดี๋ยวมะรืนก็กลับแล้ว อยู่คนเดียวระวังผีหลอกล่ะ”

“ผมอยู่คนเดียวได้อยู่แล้ว แค่อยากอยู่กับพี่มากกว่าเท่านั้นเอง”

“...”

นี่ผมกำลังยิ้มอยู่หรือเปล่านะ

“ฝันดีนะครับ อย่าลืมฝันถึงผมด้วยล่ะ”

“อย่างนั้นฉันคงต้องฝันร้ายแน่ ๆ ” ผมหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวราตรีสวัสดิ์เจ้าตัวแสบขี้เหงาแล้ววางสายไป

ไม่ใช่ผมไม่คิดถึงเขาหรอกนะครับ แต่อาจเป็นเพราะช่วงอายุที่ห่างกัน ผมผ่านพ้นวัยที่ต้องฝากความคิดไว้ที่คนอื่นไปแล้ว ยิ่งโตเรายิ่งต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง เราเคยใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากกว่านี้ เรียกว่าแทบไม่เคยห่างกันเลย แต่เมื่อเราต่างคนต่างโตขึ้นและมีความรับผิดชอบของตัวเอง บางอย่างมันก็จำเป็นต้องเปลี่ยนไป

ลึก ๆ แล้ว ผมก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้...

บางครั้งผมก็รู้สึกเกลียดโชคชะตา เกลียดโลกมายาในวงการบันเทิง เพราะงานและหน้าที่นำพาให้จิ่งป๋อหรันมาใกล้ผมทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ต้องการเลย ผมไม่ได้รังเกียจเขาหรอกนะครับ แต่มันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเลยใช่ไหมล่ะที่เราจะต้องมาสนิทสนมกันขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งจากต้นสังกัด และก็เพราะคำสั่งพวกนั้นอีกเช่นกัน น้องชายที่ผมห่วงมากที่สุดกลับห่างจากผมมากไปทุกที เวลาที่เจ้าแกะบ้านั่นอยู่คนคนเดียวเขาจะเหงามากไหมนะ นอกจากผมแล้วเขาคิดถึงใครอีกหรือเปล่า

ชื่อเสียง ความโด่งดัง มันช่างหอมหวาน แต่อีกด้านหนึ่ง...ก็ฝาดเฝื่อนเหลือเกิน
.
.
.
To be continue
TALK: จบไปอีกตอนหนึ่งแล้ว ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมีคนเข้ามาอ่านเยอะพอสมควร ขอบคุณทุก ๆ คนที่เข้ามาอ่านนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลาย ๆ คนที่เมนชั่นเข้ามาคอมเมนท์เม้ามอยกัน ดีใจมาก ๆ เลยที่มีคนชอบ เราจะพยายามมาลงอย่างต่อเนื่อง (แต่อาจจะช้าหน่อย) ทุกคอมเมนท์เป็นกำลังใจกับการเขียนของเรามากเลย ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ J
สำหรับตอนนี้ อ่านกันแล้วชอบหรือไม่ชอบยังไงก็มาคอมเมนท์กันได้เหมือนเดิมนะคะ ในกล่องคอมเมนท์ของบล็อกนี้หรือทางทวิตเตอร์ @ConiCat_ ค่ะ
ปล. ติดแท็ก #SweetLabyrinth ก็ได้นะคะ ^__^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น