วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

[Request SF] พี่เลี้ยงตัวร้ายกับนายโชตะค่อน

ฟิคจากแท็ก #จะเขียนฟิคสั้นคู่หยางเฟิงตามคาร์แรกเตอร์ที่เมนชั่นมาสองเมนชั่นแรก ค่ะ
หยาง: โชตะ เสนอโดย แนท @Essorhino
เฟิง: พี่เลี้ยง เสนอโดย คุณหมีชุน @SsnpNN
[SF] พี่เลี้ยงตัวร้ายกับนายโชตะค่อน
แสงอาทิตย์ที่กระจ่างทั่วฟ้าทำให้ไม่มีใครได้ทันระวังว่าฝนเจ้ากรรมจะเทลงมาราวกับฟ้ารั่วเช่นนี้ หลี่อี้เฟิงกอดกระเป๋าหนังใบเก่งวิ่งฝ่าสายฝนมาจนถึงบ้านขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กหลังหนึ่งในหมู่บ้านที่ถูกตกแต่งไว้อย่างน่ารัก ประตูรั้วถูกคล้องโซ่ไว้โดยไม่ได้ล็อกกุญแจ เขาจึงเปิดเข้ามาในทันที ในทีแรกเข้าตัดสินใจจะรีบวิ่งเข้าบ้านแต่ก็หันกลับมาล็อกกุญแจประตูรั้วด้วยความรอบคอบ
หลี่อี้เฟิงที่เปียกโชกไปทั้งตัวเข้ามายืนหลบใต้ชายคาของบ้านก่อนส่งเสียงเรียกเจ้าของบ้าน
“เชียนซี เปิดประตูให้เกอหน่อย”
รอสักพัก แต่ก็ไม่มีการตอบรับใด ๆ จากภายในบ้าน
“เชียนซี อี้หยางเชียนซี นายอยู่ในบ้านหรือเปล่า มาเปิดประตูให้เกอหน่อย หนาวจะตายอยู่แล้ว”
เสียงกลอนประตูถูกสับลง บานประตูเปิดแง้มออก อี้เฟิงกำลังจะเอ่ยปากต่อว่าแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อคนที่มาเปิดประตูนั้นไม่ใช่คนที่เขาคาดหมาย ชายหนุ่มแปลกหน้าเปิดประตูออกกว้างขึ้นพร้อมกับส่งสายตาเป็นคำถามมายังหลี่อี้เฟิง
“นายเป็นใคร” อี้เฟิงโพล่งคำถามออกไปทันทีที่ตั้งสติได้
“นายคือหลี่อี้เฟิงใช่ไหม” ชายหนุ่มแปลกหน้าไม่ตอบคำถามแต่ถามเขากลับเสียอย่างนั้น
“ฉันไม่รู้จักนาย นายรู้จักฉันได้ยังไง”
“เชียนซีบอกไว้”
“แล้วนี่เชียนซีไปไหน ทำไมไม่อยู่บ้าน”
“เชียนซีหลับอยู่ จะเข้าบ้านก็เข้ามา อย่าเพิ่งเดินไปไหนไกลล่ะ เดี๋ยวบ้านเลอะ ผมจะไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้” เสียงทุ้มใหญ่บอกเป็นเชิงสั่งติดจะรำคาญนิด ๆ ทำให้หัวคิ้วของอี้เฟิงขมวดเข้าหากันจากความไม่พอใจที่ก่อตัวขึ้น
หลังจากเช็ดตัวจนหมาดแล้วหลี่อี้เฟิงก็เริ่มลังเลว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ทั้ง ๆ ที่เขาก็คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างดีแต่กลับรู้สึกอึดอัดใจแม้เพียงจะขยับตัวเพียงเพราะชายหนุ่มแปลกหน้าที่อยู่ในบ้านตอนนี้ กลับกันอีกฝ่ายดูไม่สนใจสักนิดว่ามีหลี่อี้เฟิงอยู่ในบ้าน ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งไขว่ห้างบนโซฟาตัวใหญ่เปิดโทรทัศน์ดูข่าวประจำวันอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะเริ่มรู้ตัวว่าหลี่อี้เฟิงมองเขาอยู่จึงได้หันมองมายังคนที่ยืนเก้กังมาได้ระยะหนึ่ง
“จะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”
“...”
“...”
เมื่ออี้เฟิงไม่ตอบ อีกฝ่ายก็ไม่ต่อบทสนทนาใด ๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะละความสนใจไปเขาจึงชิงพูดขึ้นมา
“ฉันอยากอาบน้ำ”
คิ้วหนาเลิกสูงขึ้นเล็กน้อย
“ก็ไปสิ ผมไม่ได้ล่ามคุณไว้นี่”
ไอ้....
ดวงตากลมโตถลึงมองคนพูดอย่างเอาเรื่อง หลี่อี้เฟิงได้แต่สบถในใจกับท่าทีน่าหมั่นไส้ของชายแปลกหน้า เขารีบรุดขึ้นมายังชั้นสองของบ้านตรงเข้าห้องนอนขนาดเล็กห้องหนึ่งซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ให้เขาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน พ่อและแม่ของของเชียนซีเป็นเจ้านายของหลี่อี้เฟิงเมื่อครั้งยังทำงานพาร์ทไทม์สมัยเรียนมัธยม และเพราะท่านทั้งสองต้องเดินทางบ่อย ๆ จึงไหว้วานให้เขาที่ทั้งสองเอ็นดูและไว้วางใจไม่ต่างจากลูกคนหนึ่งให้มาช่วยดูแลลูกชายคนเดียวนั่นคือ อี้หยางเชียนซี ในยามที่ท่านทั้งสองไม่อยู่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาอี้เฟิงทำหน้าที่พี่เลี้ยงของเชียนซีอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง เขารู้จักเพื่อนสนิททุกคนของเชียนซี แต่เขากลับไม่เคยเห็นผู้ชายที่เขาเจอในวันนี้มาก่อน
ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน เขาจะต้องถามเชียนซีให้รู้เรื่อง
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาหอมกรุ่น หลี่อี้เฟิงก็อารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนแรกมาก แต่เขาก็ยังต้องการรู้ความจริงเกี่ยวกับผู้ชายที่เขาเจอในวันนี้จึงตัดสินใจจะคุยกับเชียนซีให้รู้เรื่อง เขาเดินมาหยุดอยู่หน้าบานประตูห้องของเจ้าตัวเล็ก เคาะประตูสามที ไม่มีสัญญาณใดตอบรับ เจ้าของห้องคงจะหลับอยู่ มือขาวลองบิดลูกบิดประตูพบว่ามันไม่ได้ถูกล็อกไว้ ลังเลใจเพียงเสี้ยววินาทีจึงผลักประตูเปิดเข้าไป
หลี่อี้เฟิงคิดถูกครึ่งหนึ่ง เชียนซีหลับอยู่
แต่อีกครึ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้คาดไว้คือชายหนุ่มที่เขากำลังสงสัยกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงของเชียนซี มือแกร่งกำลังลูบเบา ๆ บนผมดกดำของคนหลับ จมูกคมสันรับกับดวงหน้าคมคายที่ชวนให้ดูเย่อหยิ่งในยามแรก ตอนนี้กลับทำให้เขาเหมือนรูปสลักของเทวดาที่ไหนสักตนที่กำลังปลอบประโลมมวลมนุษย์อยู่
ดวงตาเรียวรีเงยขึ้นมาสบโดยที่คนมองอยู่ก่อนไม่ทันตั้งตัว ระหว่างที่หลี่อี้เฟิงกำลังคิดหาข้อแก้ตัวที่ทำให้เขามายืนอยู่ตรงนี้ได้เจ้าตัวเล็กก็ตื่นขึ้นเสียก่อน
“หยางเกอ...”
“ครับ เกออยู่นี่แล้ว จะเอาอะไร หือ”
“กอด กอดหน่อย” คนตัวเล็กขยับเข้าซุกอกแกร่ง หลี่อี้เฟิงมองภาพนั้นอย่างตื่นตะลึง
อย่าบอกนะว่า...
ผู้ชายคนนี้...เป็นแฟนของเชียนซี...
ไอ้พวกโชตะค่อนเอ๊ยยย ! ! !



หลี่อี้เฟิงรีบปลีกตัวออกมาจากห้องนอนของเชียนซี เมื่อคิดว่าถ้ายังยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปอาจได้เป็นพยานในเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ พลังจินตนาการในสมองของไปอี้เฟิงตอนนี้ทำงานไปไกลจนหยุดไม่อยู่ ก่อนหน้านี้เชียนซีเคยเปรย ๆ อยู่เหมือนกันเกี่ยวกับปัญหาหัวใจ แต่อี้เฟิงไม่ได้เก็บมาใส่ใจเพราะคิดว่าเชียนซียังเด็ก การจะมีความรักแบบเด็ก ๆ ในวัยเรียนคงเป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่มัน....
ท่าทางสนิทสนมถึงเนื้อถึงตัวแบบนั้น แถมนายนั่นก็ไม่ใช่เพื่อนนักเรียนอย่างที่อี้เฟิงคิดไว้แต่แรก
ไม่น่า...
 ไม่ ๆ ๆ
“นั่นคุณกำลังทำอะไร”
“เหวอออออออออออออออออ”
ระหว่างที่นำอาหารเย็นออกมาอุ่น อี้เฟิงดันเผลอจมอยู่ในความคิดของตัวเองจนอาหารไหม้ติดกระทะ แถมพอมีคนมาทักเสียใกล้เขายิ่งตกใจรีบคว้ากระทะออกจากเตาโดยไม่ได้ใช้อุปกรณ์กันความร้อนช่วยจับ อารามตกใจเขาจึงปล่อยกระทะหลุดมือ ของในกระทะหล่นเปื้อนกระจัดกระจายเต็มครัวไปหมด
“ไม่คิดว่าคุณจะขวัญอ่อนขนาดนี้” มุมปากที่เพิ่งกล่าวประโยคนั้นยกสูงขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังเยาะเย้ย
“เอ่อออ...”
หลี่อี้เฟิงละล้าละลัง
“เชียนซีบอกว่าคุณเป็นพี่เลี้ยง”
“เอ่อ ใช่” เขาเป็นพี่เลี้ยงของเชียนซีตั้งแต่เรียนมัธยม พอจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ทำงานให้กับริษัทของครอบครัวของเชียนซี เขาก็เลยยังช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้เชียนซีเหมือนเดิมแม้จะไม่มีความจำเป็นต้องทำงานพิเศษแล้วก็ตาม
“มีพี่เลี้ยงแบบคุณ เชียนซีจะเป็นเด็กขาดสารอาหารหรือเปล่าเนี่ย มีแต่อาหารสำเร็จรูป” พูดพลางปรายตามองภาชนะย่อยสลายได้ที่มีตราของซูเปอร์มาร์เก็ตติดอยู่
“นี่นาย เอ่อ คุณ...” หลี่อี้เฟิงไม่รู้จะเรียกผู้ชายตรงหน้าว่าอะไรดี
“ผมชื่อ หยางหยาง เรียก หยางหยาง เฉย ๆ ก็ได้” นัยน์ตาสีดำของคนพูดทอประกายกึ่งล้อเลียนจนอี้เฟิงรู้สึกอึดอัด ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะรับมือกับคนคนนี้อย่างไรดี
ระหว่างที่หลี่อี้เฟิงมัวแต่อึกอัก หยางหยางก็ก้มลงเก็บกวาด ทำความสะอาดเศษอาหารที่หล่นเปื้อนอยู่บนพื้น พี่เลี้ยงหน้าหวานจึงได้แต่ต้องช่วยอีกฝ่ายจัดการอย่างเสียไม่ได้ หลังจากทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้วหยางหยางจึงหันไปเปิดตู้เย็น เมื่อชายหนุ่มเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในก็ถึงกลับหันขวับมามองหน้าหลี่อี้เฟิงทันที
“ในนี้มันคืออะไร” คิ้วเข้ม ๆ ยกขึ้นพร้อมกับคำถามชวนปวดหัว
“ก็... อาหารน่ะสิ”
“คุณเรียกของพวกนี้ว่าอาหารได้ด้วยเหรอ”
“มันกินได้ ทำไมจะไม่ใช่อาหารล่ะ” อี้เฟิงยังคงเถียง
หยางหยางปรายตามองบรรดา ข้าวผัดสำเร็จรูป ซุปหัวหอมสำเร็จรูป บะหมี่สำเร็จรูป และสารพัดอาหารสำเร็จรูปในตู้เย็นด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
“ที่นี่ไม่มีแม่บ้านเหรอครับ” เสียงทุ้มถามอย่างใจเย็น
“มี แต่ป้าแกลากลับบ้านสองอาทิตย์”
“หมายความว่าตลอดสองอาทิตย์ที่ป้าแม่บ้านไม่อยู่ เชียนซีจะต้องกินแต่ของพวกนี้” ท้ายเสียงสูงขึ้นเป็นคำถามพร้อมกับคิ้วดกหนาที่ยกขึ้นนั่นด้วย
“ก็ใช่ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย ฉันดูแล้วนะว่าของพวกนี้สะอาด ปลอดภัย ไม่ต้องห่วงน่า”
“คุณทำอาหารไม่เป็น?” หยางหยางถามกลับแฝงความคาดคั้นเล็ก ๆ
“ก็...ใช่ ทำไมล่ะ ไม่เห็นจะเสียหายอะไรสักหน่อย”
“เสียแรงที่จ้างมาเป็นพี่เลี้ยงจริง ๆ”
“นี่นาย ให้มันน้อย ๆ หน่อย ฉันเลี้ยงเชียนซีมาตั้งหลายปีนะ...” หลี่อี้เฟิงเถียงยาวฉอด ๆ แต่อีกฝ่ายดูจะไม่สนใจฟังนัก เขารื้อค้นของที่มีอยู่ในครัวเท่าที่หาได้แล้วเริ่มทำเมนูอาหารแบบง่าย ๆ
พี่เลี้ยงตัวจริงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางเม้มริมฝีปากบางมองดูอีกฝ่ายใช้อุปกรณ์ภายในครัวอย่างคล่องแคล่ว ตอนนี้เขารู้แค่ชายหนุ่มชื่อ หยางหยาง ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ความสัมพันธ์กับเจ้าตัวเล็กเชียนซีก็ยังคลุมเครือ แต่ดูจากภายนอกแล้วชายหนุ่มน่าจะเป็นคนวัยทำงาน เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบกริบ กางเกงสแล็กทีเทาด้าน รูปร่างภูมิฐานสมส่วน ดูยังไงก็เหมือนหนุ่มพนักงานบริษัท ไม่ก็นักธุรกิจ เชียนซีไปรู้จักคนแบบนี้ได้ยังไงกันนะ
ไม่นานอาหารสำเร็จรูปในตู้เย็นก็ถูกนำมาแปรรูป ข้าวผัดหน้าตาจืดชืดถูกนำมาปรุงใหม่เติมคุณค่าด้วยผักสามสีจากสลัดกระป๋อง แล้วถูกห่อด้วยไข่เจียวเนื้อนุ่มจากไข่สดที่เหลืออยู่ในตู้เย็น ราดหน้าด้วยซอสมะเขือเทศปรุงรสเข้มข้นที่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงซอสธรรมดาในซองสปาเก็ตตีกึ่งสำเร็จรูป ทุกอย่างถูกจัดใส่จานและวางบนโต๊ะเรียบร้อย
“หือออ หอมจัง อี้เฟิงเกอไม่ใช่คนทำใช่ไหมเนี่ย” เจ้าตัวเล็กที่อาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้วเข้ามาในครัวพอดี
“รู้แล้วไม่พูดก็ไม่มีใครว่านะ” หน้าหวาน ๆ ยู่ไปด้วยความเง้างอน
เหอะ ใช้ข้าวของตั้งเยอะ กว่าจะทำอาหารได้มื้อหนึ่ง มันเปลืองน่ะรู้ไหม มันเปลือง!
หลี่อี้เฟิงได้แต่ค่อนขอดในใจ แต่อาหารทุกอย่างในจานก็หมดเกลี้ยงไม่มีเหลืออยู่ดี...



“จริง ๆ หยางเกอค้างที่นี่ก็ได้นะ นอนห้องผมก็ได้” เชียนซีเดินออกมาส่งหยางหยางที่หน้าประตูรั้ว มือเล็กเกาะแขนแกร่งอย่างออดอ้อนเพราะยังไม่อยากให้หยางหยางต้องกลับบ้านไปในตอนนี้
“เดี๋ยวเกอจะมาหาบ่อย ๆ นะครับ”
“มาทุกวันเลยได้ไหม ผมคิดถึง”
ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มเอ็นดูให้เด็กขี้อ้อนพลางยีหัวทุย ๆ อย่างเบามือ
“คิดถึงเกอ หรือคิดถึงอาหารที่เกอทำกันแน่ฮึ กินจนแก้มออกแล้วเนี่ย”
“โธ่ กินยังไงผมก็แก้มไม่ออกเท่าเฟิงเกอหรอกน่า”
“หึหึ”
“ทำเป็นหัวเราะ ผมเห็นนะ หยางเกอชอบแอบมองเฟิงเกอตลอดเลย คิดอะไรเปล่าเนี่ย”
“อยากให้คิดหรือเปล่าล่ะ”
เชียนซีทำท่าทางลังเลใจนิดหนึ่งก่อนตอบอย่างใสซื่อ
“ถ้าคิดแล้วหยางเกอจะมาหาผมบ่อย ๆ ก็คิดเยอะ ๆ ก็ได้”
“ฮ่า ๆ ๆ ได้สิ เกอจะมาหาทุกวันเลย”
“เย้ รักหยางเกอที่สุดในโลกเลย” เจ้าตัวเล็กร้องไชโยโผเข้ากอดหยางหยางอย่างดีใจ หัวทุย ๆ ซุกอกแกร่งถูไปมาอย่างรักใคร่
“ขอให้จริงอย่างที่ว่าเถอะ” หยางหยางลูบผมนุ่มของคนในอ้อมกอดก่อนผละออกมาและโบกมือลาเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ลืมกำชับให้เชียนซีล็อกบ้านให้แน่นหนาก่อนตัวเองจะกลับไป
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิท แต่ยังได้กลิ่นไอดินเพราะฝนที่ตกไปเมื่อช่วงเย็น หลี่อี้เฟิงยืนอยู่หน้าบ้านมองหน้าเจ้าตัวเล็กที่เดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเบิกบานใจ เชียนซีดูติดหยางหยางมาก อย่างที่อี้เฟิงไม่เคยเห็นเชียนซีเป็นแบบนี้กับใครมาก่อน
เจ้าตัวเล็กคงกำลังมีความรักจริง ๆ สินะ


*******************************

“อี้เฟิงเกออออออออออออ” เจ้าตัวเล็กเชียนซีที่วันนี้ตื่นแต่เช้าได้โดยไม่มีใครปลุก เดินเข้ามาก็ร้องเรียกหลี่อี้เฟิงเสียงยาว แขนเล็ก ๆ สวมกอดพี่เลี้ยงคนโปรดจากทางด้านหลังพลางซบหน้าลงบนแผ่นหลังคนที่กำลังอุ่นอาหารเช้าให้อย่างงัวเงีย
“อะไร ฮึ เจ้าตัวเล็ก อ้อนแต่เช้าเลยนะเรา” ข้าวต้มที่อุ่นไว้เสร็จพอดี หลี่อี้เฟิงยกลงจากเตาและปิดเตาแก๊สอย่างเรียบร้อยก่อนหันมาจัดการกับเชียนซีที่กำลังเกาะเอวเขาเป็นลูกลิง
“ผมอยากกินกุ้งผัดผงกะหรี่”
“เช้านี้มีแต่ข้าวต้มเท่านั้นแหละ เกอออกไปซื้อที่ตลาดมาให้เมื่อเช้า” เพราะช่วงนี้พ่อแม่ของเชียนซีไปทำงานต่างจังหวัด และป้าแม่บ้านก็ลาหยุด อี้เฟิงเลยต้องรับผิดชอบดูแลเจ้าตัวเล็กแทบทุกเรื่อง แต่สำหรับเรื่องอาหาร เขาก็ทำได้แค่อุ่นอาหารสำเร็จรูปให้ได้เท่านั้น
“ผมอยากกินนี่นา ตอนกลางวันก็ได้”
“โอเค ๆ เดี๋ยวเกอโทรไปสั่งที่ร้านอาหารมาให้นะ ตอนเช้ากินข้าวต้มก่อน เกออุตส่าห์อุ่นให้แล้ว”
“ไม่เอาอ่า ไม่กินที่ร้านทำ อยากกินที่หยางเกอทำ”
หลี่อี้เฟิงถอนหายใจกับความเอาแต่ใจของเจ้าตัวเล็ก บทอยากจะได้ ก็จะไม่ยอมท่าเดียว
“ถ้าอยากกินที่หยางเกอทำ ก็ต้องบอกหยางเกอนะครับ เฟิงเกอทำให้ไม่ได้หรอกนะ”
แล้วเจ้าตัวเล็กก็ยื่นโทรศัพท์ในมือที่ถือมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ให้พี่เลี้ยงหน้าหวาน ส่งสายตาเว้าวอนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“เฟิงเกอโทรหาหยางเกอให้หน่อยสิ”
“ห้ะ ทำไมเราไม่โทรเองล่ะ”
“ก็เมื่อคืนผมทะเลาะกับหยางเกอนิดหน่อย หยางเกองอนผมไปแล้วน่ะสิ”
“อ่าว แล้วทำไมถึงให้เกอโทรล่ะ”
“น่า นะ นะครับ ถ้าเฟิงเกอโทร หยางเกอต้องใจอ่อนยอมมาทำกับข้าวให้แน่ ๆ เลย นะ น้า”
หลี่อี้เฟิงไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเชียนซีกับหยางหยางเลย แต่เห็นสายตาออดอ้อนของเจ้าตัวเล็กแล้วเขาก็ใจอ่อนทุกทีสิน่า



ไม่รู้เป็นเวรกรรมอะไร หลี่อี้เฟิงถึงต้องมาเดินตามนายหยางหยางต้อย ๆ เพื่อเลือกซื้อของสดสำหรับทำอาหารให้เจ้าตัวเล็กเชียนซี
เลือกไปเลือกมา ของก็เริ่มเต็มตะกร้า มากเกินกว่าจะซื้อไว้สำหรับทำอาหารมื้อหนึ่งแล้ว
“ถ้าจะซื้อเยอะขนาดนี้ กะทำทั้งอาทิตย์เลยหรือไง”
“ก็ใช่น่ะสิครับ ป้าแม่บ้านไม่อยู่ตั้งสองอาทิตย์ไม่ใช่หรือครับ”
“ก็เชิญไปทำเองเถอะนะ ฉันไม่ทำหรอก” เสียงพึมพำไม่ดังนัก แต่หยางหยางก็ได้ยินอยู่ดี
“เชียนซีเป็นเด็กกำลังโตนะครับ ต้องให้กินอาหารที่มีประโยชน์ ถ้าทำอาหารให้แกกินบ่อย ๆ แกจะได้รู้สึกได้รับความรักด้วย” หยางหยางเลือกของสดไปก็พูดไปด้วยรอยยิ้มที่แสดงความรู้สึกต่อคนที่กำลังพูดถึงออกมาอย่างชัดเจน
“หึ พวกโชตะค่อน หลงเด็กไม่ลืมหูลืมตา” เชียนซีน่ะซนจะตาย กว่าหลี่อี้เฟิงจะเอาเด็กคนนี้อยู่ก็ใช้เวลาเกือบปีเลยทีเดียว สองคนนี้อาจจะเพิ่งคบกันช่วงแรก ๆ ล่ะสิ อะไร ๆ ถึงได้ดูดีไปหมด ถ้าเจ้าตัวเล็กแผลงฤทธิ์เมื่อไหร่ล่ะก็ หยางหยางคงรู้ซึ้งเลยเชียว
“เด็ก ๆ ก็ยังดีกว่าผู้ใหญ่ชอบวางมาดบางคนน่ะครับ” หยางหยางหันกลับมาตอบพร้อมคิ้วที่เลิกขึ้นข้างหนึ่ง จุดอารมณ์โมโหให้หลี่อี้เฟิงได้ไม่ยาก
“นี่นาย ถ้าไม่ติดว่าแก่กว่านะ ฉันไม่ปล่อยให้นายพูดจาแบบนี้กับฉันได้ง่าย ๆ หรอกนะ”
“หืม คุณว่าอะไรนะ”
“ก็นายมันกวนประสาท ถ้าไม่ติดว่าแก่กว่าฉันนี่อาจจะโดนซักหมัดสองหมัดไปแล้วก็ได้ ได้ยินชัดไหม”
ดวงตาเรียวรีหรี่ลงอย่างใช้ความคิด ก่อนขยับกว้างขึ้นพร้อมประกายบางอย่าง ใบหน้ารูปสลักโน้มลงมาใกล้ดวงหน้าหวานก่อนพูดเสียงเบา แต่หลี่อี้เฟิงได้ยินชัดทุกคำ
“ถ้าอย่างนั้น... ก็เรียกผมว่าคุณหยางหยางสิครับ จะได้ดูมีสัมมาคารวะหน่อย”
“ฝันไปเถอะ แค่นี้ฉันก็สุภาพมากพอละ” หลี่อี้เฟิงเสหน้าหันไปทางอืนด้วยความหมั่นไส้
คุณหยางหยาง เหรอ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
“แล้วถ้าไม่สุภาพจะเป็นยังไงหรือครับ”
“ก็...” ใบหน้าหวานหันกลับมาโดยไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าของอีกฝ่ายโน้มลงมาต่ำกว่าเดิม จังหวะที่ปลายจมูกเฉียดกันเพียงเสี้ยววินาทีเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นปลาบผ่านไปทั่วใบหน้า หลี่อี้ฟิงรีบขยับตัวออกห่างทันที
“ว่ายังไงล่ะครับ”
“ก็ไม่ยังไงนี่” ในสมองของหลี่อี้เฟิงเหมือนมีแต่เสียงวิ้ง ๆ เต็มไปหมดจนเจ้าตัวทำอะไรไม่ถูก เดินผ่านชั้นมะเขือเทศก็หยิบใส่ตะกร้ารถเข็นเสียยกใหญ่
“คุณชอบกินมะเขือเทศเหรอ”
“ใช่ มันดีต่อสุขภาพ ไม่รู้หรือไง”
“ไม่ต้องกินเยอะขนาดนั้นก็ได้มั้งครับ แค่นี้หน้าคุณก็แดงเป็นลูกมะเขือเทศแล้ว”
ไอ้....
รอยยิ้มขำประดับอยู่เต็มหน้าหล่อเหลาของหยางหยาง หลี่อี้เฟิงได้แต่ถลึงตามองแต่ก็ไม่รู้จะตอบโต้ยังไง
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” เสียงหวานได้แต่พึมพำก่อนรีบเข็นรถใส่ของไปให้ไกลจากคนชอบกวนประสาทมากที่สุด

********************************************

สงครามประสาทระหว่างหลี่อี้เฟิงกับหยางหยางยังไม่จบ เพราะหลังจากวันนั้นหยางหยางก็บังคับให้อี้เฟิงมาหัดทำอาหารกับเขา โดยอ้างว่าเป็นห่วงเชียนซี พี่เลี้ยงอย่างหลี่อี้เฟิงควรจะทำอาหารให้เป็นไว้บ้าง
“โอ๊ยยย” หลี่อี้เฟิงร้องเสียงหลงเมื่อเผลอเอามือที่เพิ่งหั่นพริกไปป้ายตา
“อยู่เฉย ๆ นะคุณ มาล้างตาก่อน อย่าเพิ่งเอามือไปขยี้สิ เดี๋ยวก็แสบมากกว่าเดิมหรอก”
“ฮือออ ฉันบอกแล้วไง ว่าไม่ทำ ไม่ทำ นายก็ยังให้ฉันทำอีก ฮึก” เพราะความแสบร้อนทำให้หยดน้ำใสไหลรินออกจากดวงตาคู่หวานที่ตอนนี้ปิดแน่นสนิท
“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะครับ นิ่งนะ มา ๆ ล้างตาก่อนนะครับ” หยางหยางปลอบโยนคนขวัญเสียเหมือนกำลังเลี้ยงเด็กก็ไม่ปาน เขาพาอี้เฟิงมาล้างตาที่อ่างน้ำจนอาการแสบร้อนทุเลาลง มือแกร่งหยิบกระดาษทิชชูมาบรรจงซับหยดน้ำออกจากใบหน้าหวาน
หลี่อี้เฟิงมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาแดงช้ำ หยางหยางค่อยเช็ดหน้าให้เขาอย่างเบามือ และเกลี่ยเส้นผมที่ปรกระหน้าผากออกให้
“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ใกล้...เสียจนหลี่อี้เฟิงต้องเกร็งตัว ไม่เพียงแต่คำพูดที่ชัดเจนในโสตประสาท แต่ใบหน้าของหยางหยางก็อยู่ใกล้มากด้วยเช่นกัน
เหมือนภาพซ้อนของเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พวกเขาได้มองกันในระยะใกล้ขนาดนี้ แต่อี้เฟิงไม่ได้ขยับตัวหนีเหมือนครั้งก่อน
ดวงตาสองคู่ประสานกันนิ่งนาน ไม่มีคำพูดอะไรนอกจากนั้น ทุกอย่างเงียบลงจนเหมือนได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจ
“เฟิงเกอ วันนี้มีอะไรกินบ้าง” เจ้าตัวเล็กเชียนซีเข้ามาในห้องครัว หยางหยางและหลี่อี้เฟิงถึงได้ผละออกจากกัน
“อะ เอ่อ...” หลี่อี้เฟิงอึกอัก
“วันนี้มีไก่ผัดขิง กับปลานึ่งลุยสวน อยากกินไหมเรา” หยางหยางเป็นฝ่ายตอบ
เชียนเดินเข้ามาเกาะเอวหยางหยางหยางพลางชะโงกดูวัตถุดิบที่กำลังจะถูกนำไปปรุงอาหารบนโต๊ะ
“หยางเกออยู่ด้วยนี่สบายจริง ๆ เลย ได้กินของอร่อยทุกวัน อ๊ะ เฟิงเกอเป็นอะไรอ่า ทำไมตาแดง ๆ ร้องไห้เหรอ นี่หยางเกอแกล้งเฟิงเกอเหรอ”
“เฮ้ย เปล่าสักหน่อย” หยางหยางรีบปฏิเสธ
“พอดีพริกมันเข้าตาน่ะ” หลี่อี้เฟิงตอบ มองตามวงแขนของเชียนซีที่โอบรอบเอวของหยางหยางอยู่ จนถึงตอนนี้แม้อี้เฟิงจะยังไม่ได้คำยืนยันที่แน่ชัดถึงความสัมพันธ์ของหยางหยางและเชียนซีจากปากเจ้าตัว
แต่เห็นแบบนี้แล้ว มันก็เดาได้ไม่ยาก
“เกอขอขึ้นไปพักบนห้องก่อนนะ แสบตาน่ะ”
“หายไว ๆ นะครับเฟิงเกอ”
“อื้อ”
แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่ตอนที่เดินออกมาจากห้องครัว สายตาของหลี่อี้เฟิงก็มองแต่วงแขนเล็กที่กอดหยางหยางอยู่ แล้วเขาก็เลือกที่จะหลับตาลง
เขาก็แค่...แสบตาเท่านั้นเอง

*****************************************

วันนี้หลี่อี้เฟิงตื่นสายกว่าทุกวัน พอตื่นขึ้นมาก็เลยคิดว่าจะไปดูเจ้าตัวเล็กสักหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง
“อ๊า ไม่เอานะหยางเกอ อย่าแกล้งผมแบบนี้สิ” เสียงของเชียนซีแว่วดังมาจากห้องนั่งเล่น ทั้งหยางหยางและเชียนซีคงกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน
หลี่อี้เฟิงควรจะดีใจที่เชียนซีมีความสุข
แต่เขาไม่สามารถยิ้มได้อย่างที่ควรจะเป็น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขาและหยางหยางเริ่มใกล้กันมากขึ้น แค่เวลาไม่กี่วันที่ได้รู้จักกัน ความรู้สึกบางอย่างก็ค่อย ๆ ก่อตัว
เขาควรจะห้ามมันไว้
“อ๊ะ เฟิงเกอตื่นแล้ว มาเล่นด้วยสิครับ”
“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวเกอไปเตรียมอาหารเช้าให้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเตรียมไว้ให้หมดแล้ว” หยางหยางแทรกขึ้น
“อ่อ งั้นฉันไปรดน้ำต้นไม้ข้างนอกก็แล้วกัน” หลี่อี้เฟิงเดินออกจากตัวบ้านไปโดยไม่ได้รอฟังคำทักท้วงใด ๆ
ช่วงนี้ฝนตกบ่อย ดอกไม้รอบ ๆ บ้านเลยแข่งกันอวดดอกบานสะพรั่งช่วยเยียวยาจิตใจของหลี่อี้เฟิงที่ดูจะเหงาหงอยไปบ้างในช่วงนี้
ถ้าอยากจะยิ้มเบิกบานได้อย่างดอกไม้ หัวใจของเขาก็คงต้องการฝนเย็น ๆ ให้ชื่นใจเหมือนกันล่ะมั้ง
แต่วันนี้ฟ้าเปิดเหลือเกิน จะยังพอมีฝนอยู่บ้างไหมนะ

ออด...

เสียงออดหน้าบ้านเรียกให้หลี่อี้เฟิงต้องหันไปมอง เด็กหนุ่มหน้าตาดีใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนเอกชนไม่ไกลจากแถวนี้เท่าไหร่นักยืนรออยู่หน้าบ้าน
“มาหาใครครับ”
“มาหาเชียนซีน่ะครับ”
“อ่อ อยู่ใน้บ้านน่ะ เดี๋ยวไปเรียกให้นะ”
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนครับ ผมขอเข้าไปหาเชียนซีเองได้ไหมครับ”
“หืม?” หลี่อี้เฟิงเลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม
“เรามีเรื่องต้องปรับความเข้าใจกันน่ะครับ แต่เชียนซีอาจจะไม่อยากเจอหน้าผมเท่าไหร่...”
“แต่ว่า...” พี่เลี้ยงอย่างหลี่อี้เฟิงลังเล ถึงเด้กคนนี้จะดูไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่การจะให้คนแปลกหน้าเข้าบ้านโดยที่ยังไม่ได้รับการยืนยันจากเชียนก็ดูเป็นเรื่องไม่สมควรนัก
“ให้เขาเข้ามาเถอะครับ” เป็นเสียงของเชียนซี ที่คงจะได้ยินเสียงออดในตอนแรกแล้วออกมาดูนั่นเอง ริมฝีปากเล็กเม้มบางมองคนที่อยู่นอกประตูรั้วด้วยแววตาที่หลี่อี้เฟิงไม่เข้าใจ ด้านหลังคือหยางหยางที่กำลังบีบบ่าเล็กเบา ๆ
เมื่อหลี่อี้เฟิงงเดินนำเด็กหนุ่มเข้าถึงหน้าบ้าน เชียนซีก็เดินอ้อมไปหลังบ้านเสียอย่างนั้น
“ตามไปสิ จุนไค” หยางหยางเอ่ยกับเด็กหนุ่ม เขาดูเหมือนจะรู้ว่าเรื่องราวเบื้องหลังของสองคนนี้คืออะไร หลี่อี้เฟิงมองตามเด็กที่ชื่อจุนไคเดินตามเชียนซีออกไปหลังบ้านก่อนหันมามองหยางหยางด้วยสีหน้าสื่อคำถาม
“จุนไคกับเชียนซีทะเลาะกันน่ะ ให้เขาไปปรับความเข้าใจกันเถอะ”
“เพื่อนคนนี้ของเชียนซีฉันไม่เห็นเคยรู้จักเลย นายรู้จักได้ยังไง”
“นี่คุณไม่รู้จริง ๆ เหรอ”
“รู้เรื่องอะไร?”
“จุนไคกับเชียนซีเป็นแฟนกันยังไงล่ะ”
“เด็กจุนไคนั่นเป็นแฟนเชียนซี?”
“ใช่”
“แล้ว... แล้วนายล่ะ นายไม่ใช่แฟนเชียนซีหรอกเหรอ”
“อะไรกัน นี่คุณคิดว่าผมเป็นแฟนเชียนซีหรือไง บ้าไปแล้ว”
“บ้าอะไรเล่า ก็นาย...” หลี่อี้เฟิงอึกอัก ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี แต่ให้ตายเถอะ ทำไมเหมือนว่าเขากำลังจะกลั้นยิ้มไม่อยู่กันนะ
“หึหึ คุณนี่ชอบคิดเองเออเองนะ ผมเป็นลูกบ้านสกุลหยางที่เชียนซีไปอยู่ตอนหน้าร้อนทุกปียังไงล่ะ คุณก็เคยเจอผมไม่ใช่เหรอ”
หยางหยาง...
บ้านสกุลหยางเหรอ นั่นสิ หลี่อี้เฟิงลืมไปเลย
“อะไรเล่า แค่เข้าใจผิดเรื่องเดียวเอง...”
แล้วหยางหยางก็หยิบเสื้อสูทที่คล้องแขนอยู่แต่แรกขึ้นมาสวม ทำให้หลี่อี้เฟิงต้องมองตาค้าง บนเสื้อสูทมีตราของมหาวิทยาลัยใกล้ในเมืองที่เขาอยู่นี่เอง
“วันนี้มีปฐมนิเทศ ผมคงต้องไปแล้ว หวังว่าวันนี้ที่มหาลัยคงไม่มีใครมักว่าผมเป็นพี่ปีสี่หรอกนะ ผมว่าผมก็ไม่ได้หน้าแก่ขนาดนั้น แต่คนบางคนน่ะสิ คิดว่าผมแก่กว่าทั้งที่ตัวเองก็แก่กว่าผมตั้งหลายปี เสียเซลฟ์ชะมัดเลย”
“ก็นาย...”
“แถมยังใส่ร้ายว่าผมเป็นโชตะค่อน ชอบกินเด็กอีกต่างหาก”
หลี่อี้เฟิงได้แต่อ้าปากค้าง เถียงต่อไม่ถูก
ฝนเม็ดเล็ก ๆ ตกเปาะแปะลงมาทั้งที่ฟ้าใสอยู่อย่างนั้น
หยางหยางเงยหน้ามองฟ้า แล้วมองนาฬิกาที่ข้อมือ พลางหันไปหยิบร่มที่แขวนไว้อยู่หน้าบ้าน
“ผมคงต้องไปแล้ว...”
“อื้อ รีบไปสิ เดี๋ยวก็สายหรอก” ดวงตากลมโตสบตากับหยางหยางเพียงนิดหนึ่งก็ต้องรีบเสมองไปทางอื่น อยู่ดี ๆ อี้เฟิงก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
หยางหยางกางร่มออกก่อนโน้มตัวลงมาใกล้พี่เลี้ยงคนเก่ง จมูกโด่งเป็นสันแตะแก้มใสเบา ๆ โดยที่อีกคนไม่ทันได้ตั้งตัว
ยังไม่ทันที่คนโดยขโมยหอมแก้มจะต่อว่าอะไร เสียงทุ้มต่ำก็กระซิบข้างใบหูบาง
“ว่าแต่คนอื่นกินเด็ก... ระวังจะโดนเด็กกินซะเองนะครับ อี้เฟิงเกอ”

END

โอ้ยยย จบแล้วล่ะค่ากับฟิครีเควสท์ตามแท็ก #จะเขียนฟิคสั้นคู่หยางเฟิงตามคาร์แรกเตอร์ที่เมนชั่นมาสองเมนชั่นแรก ขอบคุณทุกคนที่เมนชั่นเข้ามานะคะ ไว้คราวหลังมาเล่นกันใหม่เน้อ
ขอโทษด้วยนะคะที่มาต่อตอนจบช้าไปหน่อย ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะยาวขนาดนี้เลย พล็อตก็ไม่มี แต่งตามน้ำไปเรื่อย ๆ 555
อ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงก็แนะนำ ติชม กันได้นะคะ ขอบคุณมากค่า ^__^

 @ConiCat_

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น