ฟิคจากแท็ก #จะเขียนฟิคสั้นคู่หยางเฟิงตามคาร์แรกเตอร์ที่เมนชั่นมาสองเมนชั่นแรก
ค่ะ
หยาง: โชตะ เสนอโดย
แนท @Essorhino
เฟิง: พี่เลี้ยง
เสนอโดย คุณหมีชุน @SsnpNN
[SF] พี่เลี้ยงตัวร้ายกับนายโชตะค่อน
แสงอาทิตย์ที่กระจ่างทั่วฟ้าทำให้ไม่มีใครได้ทันระวังว่าฝนเจ้ากรรมจะเทลงมาราวกับฟ้ารั่วเช่นนี้
หลี่อี้เฟิงกอดกระเป๋าหนังใบเก่งวิ่งฝ่าสายฝนมาจนถึงบ้านขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กหลังหนึ่งในหมู่บ้านที่ถูกตกแต่งไว้อย่างน่ารัก
ประตูรั้วถูกคล้องโซ่ไว้โดยไม่ได้ล็อกกุญแจ เขาจึงเปิดเข้ามาในทันที
ในทีแรกเข้าตัดสินใจจะรีบวิ่งเข้าบ้านแต่ก็หันกลับมาล็อกกุญแจประตูรั้วด้วยความรอบคอบ
หลี่อี้เฟิงที่เปียกโชกไปทั้งตัวเข้ามายืนหลบใต้ชายคาของบ้านก่อนส่งเสียงเรียกเจ้าของบ้าน
“เชียนซี
เปิดประตูให้เกอหน่อย”
รอสักพัก
แต่ก็ไม่มีการตอบรับใด ๆ จากภายในบ้าน
“เชียนซี
อี้หยางเชียนซี นายอยู่ในบ้านหรือเปล่า มาเปิดประตูให้เกอหน่อย หนาวจะตายอยู่แล้ว”
เสียงกลอนประตูถูกสับลง
บานประตูเปิดแง้มออก
อี้เฟิงกำลังจะเอ่ยปากต่อว่าแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อคนที่มาเปิดประตูนั้นไม่ใช่คนที่เขาคาดหมาย
ชายหนุ่มแปลกหน้าเปิดประตูออกกว้างขึ้นพร้อมกับส่งสายตาเป็นคำถามมายังหลี่อี้เฟิง
“นายเป็นใคร”
อี้เฟิงโพล่งคำถามออกไปทันทีที่ตั้งสติได้
“นายคือหลี่อี้เฟิงใช่ไหม”
ชายหนุ่มแปลกหน้าไม่ตอบคำถามแต่ถามเขากลับเสียอย่างนั้น
“ฉันไม่รู้จักนาย
นายรู้จักฉันได้ยังไง”
“เชียนซีบอกไว้”
“แล้วนี่เชียนซีไปไหน
ทำไมไม่อยู่บ้าน”
“เชียนซีหลับอยู่
จะเข้าบ้านก็เข้ามา อย่าเพิ่งเดินไปไหนไกลล่ะ เดี๋ยวบ้านเลอะ
ผมจะไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้” เสียงทุ้มใหญ่บอกเป็นเชิงสั่งติดจะรำคาญนิด ๆ
ทำให้หัวคิ้วของอี้เฟิงขมวดเข้าหากันจากความไม่พอใจที่ก่อตัวขึ้น
หลังจากเช็ดตัวจนหมาดแล้วหลี่อี้เฟิงก็เริ่มลังเลว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
ทั้ง ๆ
ที่เขาก็คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างดีแต่กลับรู้สึกอึดอัดใจแม้เพียงจะขยับตัวเพียงเพราะชายหนุ่มแปลกหน้าที่อยู่ในบ้านตอนนี้
กลับกันอีกฝ่ายดูไม่สนใจสักนิดว่ามีหลี่อี้เฟิงอยู่ในบ้าน ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งไขว่ห้างบนโซฟาตัวใหญ่เปิดโทรทัศน์ดูข่าวประจำวันอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร
แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะเริ่มรู้ตัวว่าหลี่อี้เฟิงมองเขาอยู่จึงได้หันมองมายังคนที่ยืนเก้กังมาได้ระยะหนึ่ง
“จะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”
“...”
“...”
เมื่ออี้เฟิงไม่ตอบ อีกฝ่ายก็ไม่ต่อบทสนทนาใด
ๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะละความสนใจไปเขาจึงชิงพูดขึ้นมา
“ฉันอยากอาบน้ำ”
คิ้วหนาเลิกสูงขึ้นเล็กน้อย
“ก็ไปสิ
ผมไม่ได้ล่ามคุณไว้นี่”
ไอ้....
ดวงตากลมโตถลึงมองคนพูดอย่างเอาเรื่อง
หลี่อี้เฟิงได้แต่สบถในใจกับท่าทีน่าหมั่นไส้ของชายแปลกหน้า เขารีบรุดขึ้นมายังชั้นสองของบ้านตรงเข้าห้องนอนขนาดเล็กห้องหนึ่งซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ให้เขาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน
พ่อและแม่ของของเชียนซีเป็นเจ้านายของหลี่อี้เฟิงเมื่อครั้งยังทำงานพาร์ทไทม์สมัยเรียนมัธยม
และเพราะท่านทั้งสองต้องเดินทางบ่อย ๆ จึงไหว้วานให้เขาที่ทั้งสองเอ็นดูและไว้วางใจไม่ต่างจากลูกคนหนึ่งให้มาช่วยดูแลลูกชายคนเดียวนั่นคือ
อี้หยางเชียนซี ในยามที่ท่านทั้งสองไม่อยู่
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาอี้เฟิงทำหน้าที่พี่เลี้ยงของเชียนซีอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
เขารู้จักเพื่อนสนิททุกคนของเชียนซี แต่เขากลับไม่เคยเห็นผู้ชายที่เขาเจอในวันนี้มาก่อน
ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน
เขาจะต้องถามเชียนซีให้รู้เรื่อง
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาหอมกรุ่น
หลี่อี้เฟิงก็อารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนแรกมาก
แต่เขาก็ยังต้องการรู้ความจริงเกี่ยวกับผู้ชายที่เขาเจอในวันนี้จึงตัดสินใจจะคุยกับเชียนซีให้รู้เรื่อง
เขาเดินมาหยุดอยู่หน้าบานประตูห้องของเจ้าตัวเล็ก เคาะประตูสามที
ไม่มีสัญญาณใดตอบรับ เจ้าของห้องคงจะหลับอยู่
มือขาวลองบิดลูกบิดประตูพบว่ามันไม่ได้ถูกล็อกไว้
ลังเลใจเพียงเสี้ยววินาทีจึงผลักประตูเปิดเข้าไป
หลี่อี้เฟิงคิดถูกครึ่งหนึ่ง
เชียนซีหลับอยู่
แต่อีกครึ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้คาดไว้คือชายหนุ่มที่เขากำลังสงสัยกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงของเชียนซี
มือแกร่งกำลังลูบเบา ๆ บนผมดกดำของคนหลับ จมูกคมสันรับกับดวงหน้าคมคายที่ชวนให้ดูเย่อหยิ่งในยามแรก
ตอนนี้กลับทำให้เขาเหมือนรูปสลักของเทวดาที่ไหนสักตนที่กำลังปลอบประโลมมวลมนุษย์อยู่
ดวงตาเรียวรีเงยขึ้นมาสบโดยที่คนมองอยู่ก่อนไม่ทันตั้งตัว
ระหว่างที่หลี่อี้เฟิงกำลังคิดหาข้อแก้ตัวที่ทำให้เขามายืนอยู่ตรงนี้ได้เจ้าตัวเล็กก็ตื่นขึ้นเสียก่อน
“หยางเกอ...”
“ครับ
เกออยู่นี่แล้ว จะเอาอะไร หือ”
“กอด
กอดหน่อย” คนตัวเล็กขยับเข้าซุกอกแกร่ง หลี่อี้เฟิงมองภาพนั้นอย่างตื่นตะลึง
อย่าบอกนะว่า...
ผู้ชายคนนี้...เป็นแฟนของเชียนซี...
ไอ้พวกโชตะค่อนเอ๊ยยย
! ! !
หลี่อี้เฟิงรีบปลีกตัวออกมาจากห้องนอนของเชียนซี
เมื่อคิดว่าถ้ายังยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปอาจได้เป็นพยานในเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้
พลังจินตนาการในสมองของไปอี้เฟิงตอนนี้ทำงานไปไกลจนหยุดไม่อยู่
ก่อนหน้านี้เชียนซีเคยเปรย ๆ อยู่เหมือนกันเกี่ยวกับปัญหาหัวใจ
แต่อี้เฟิงไม่ได้เก็บมาใส่ใจเพราะคิดว่าเชียนซียังเด็ก การจะมีความรักแบบเด็ก ๆ
ในวัยเรียนคงเป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่มัน....
ท่าทางสนิทสนมถึงเนื้อถึงตัวแบบนั้น
แถมนายนั่นก็ไม่ใช่เพื่อนนักเรียนอย่างที่อี้เฟิงคิดไว้แต่แรก
ไม่น่า...
ไม่ ๆ ๆ
“นั่นคุณกำลังทำอะไร”
“เหวอออออออออออออออออ”
ระหว่างที่นำอาหารเย็นออกมาอุ่น
อี้เฟิงดันเผลอจมอยู่ในความคิดของตัวเองจนอาหารไหม้ติดกระทะ
แถมพอมีคนมาทักเสียใกล้เขายิ่งตกใจรีบคว้ากระทะออกจากเตาโดยไม่ได้ใช้อุปกรณ์กันความร้อนช่วยจับ
อารามตกใจเขาจึงปล่อยกระทะหลุดมือ ของในกระทะหล่นเปื้อนกระจัดกระจายเต็มครัวไปหมด
“ไม่คิดว่าคุณจะขวัญอ่อนขนาดนี้”
มุมปากที่เพิ่งกล่าวประโยคนั้นยกสูงขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังเยาะเย้ย
“เอ่อออ...”
หลี่อี้เฟิงละล้าละลัง
“เชียนซีบอกว่าคุณเป็นพี่เลี้ยง”
“เอ่อ
ใช่” เขาเป็นพี่เลี้ยงของเชียนซีตั้งแต่เรียนมัธยม
พอจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ทำงานให้กับริษัทของครอบครัวของเชียนซี เขาก็เลยยังช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้เชียนซีเหมือนเดิมแม้จะไม่มีความจำเป็นต้องทำงานพิเศษแล้วก็ตาม
“มีพี่เลี้ยงแบบคุณ
เชียนซีจะเป็นเด็กขาดสารอาหารหรือเปล่าเนี่ย มีแต่อาหารสำเร็จรูป” พูดพลางปรายตามองภาชนะย่อยสลายได้ที่มีตราของซูเปอร์มาร์เก็ตติดอยู่
“นี่นาย
เอ่อ คุณ...” หลี่อี้เฟิงไม่รู้จะเรียกผู้ชายตรงหน้าว่าอะไรดี
“ผมชื่อ
หยางหยาง เรียก หยางหยาง เฉย ๆ ก็ได้” นัยน์ตาสีดำของคนพูดทอประกายกึ่งล้อเลียนจนอี้เฟิงรู้สึกอึดอัด
ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะรับมือกับคนคนนี้อย่างไรดี
ระหว่างที่หลี่อี้เฟิงมัวแต่อึกอัก
หยางหยางก็ก้มลงเก็บกวาด ทำความสะอาดเศษอาหารที่หล่นเปื้อนอยู่บนพื้น
พี่เลี้ยงหน้าหวานจึงได้แต่ต้องช่วยอีกฝ่ายจัดการอย่างเสียไม่ได้
หลังจากทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้วหยางหยางจึงหันไปเปิดตู้เย็น เมื่อชายหนุ่มเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในก็ถึงกลับหันขวับมามองหน้าหลี่อี้เฟิงทันที
“ในนี้มันคืออะไร”
คิ้วเข้ม ๆ ยกขึ้นพร้อมกับคำถามชวนปวดหัว
“ก็...
อาหารน่ะสิ”
“คุณเรียกของพวกนี้ว่าอาหารได้ด้วยเหรอ”
“มันกินได้
ทำไมจะไม่ใช่อาหารล่ะ” อี้เฟิงยังคงเถียง
หยางหยางปรายตามองบรรดา
ข้าวผัดสำเร็จรูป ซุปหัวหอมสำเร็จรูป บะหมี่สำเร็จรูป
และสารพัดอาหารสำเร็จรูปในตู้เย็นด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
“ที่นี่ไม่มีแม่บ้านเหรอครับ”
เสียงทุ้มถามอย่างใจเย็น
“มี
แต่ป้าแกลากลับบ้านสองอาทิตย์”
“หมายความว่าตลอดสองอาทิตย์ที่ป้าแม่บ้านไม่อยู่
เชียนซีจะต้องกินแต่ของพวกนี้”
ท้ายเสียงสูงขึ้นเป็นคำถามพร้อมกับคิ้วดกหนาที่ยกขึ้นนั่นด้วย
“ก็ใช่
ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย ฉันดูแล้วนะว่าของพวกนี้สะอาด ปลอดภัย ไม่ต้องห่วงน่า”
“คุณทำอาหารไม่เป็น?”
หยางหยางถามกลับแฝงความคาดคั้นเล็ก ๆ
“ก็...ใช่
ทำไมล่ะ ไม่เห็นจะเสียหายอะไรสักหน่อย”
“เสียแรงที่จ้างมาเป็นพี่เลี้ยงจริง
ๆ”
“นี่นาย
ให้มันน้อย ๆ หน่อย ฉันเลี้ยงเชียนซีมาตั้งหลายปีนะ...” หลี่อี้เฟิงเถียงยาวฉอด ๆ
แต่อีกฝ่ายดูจะไม่สนใจฟังนัก เขารื้อค้นของที่มีอยู่ในครัวเท่าที่หาได้แล้วเริ่มทำเมนูอาหารแบบง่าย
ๆ
พี่เลี้ยงตัวจริงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางเม้มริมฝีปากบางมองดูอีกฝ่ายใช้อุปกรณ์ภายในครัวอย่างคล่องแคล่ว
ตอนนี้เขารู้แค่ชายหนุ่มชื่อ หยางหยาง ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ความสัมพันธ์กับเจ้าตัวเล็กเชียนซีก็ยังคลุมเครือ
แต่ดูจากภายนอกแล้วชายหนุ่มน่าจะเป็นคนวัยทำงาน เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบกริบ
กางเกงสแล็กทีเทาด้าน รูปร่างภูมิฐานสมส่วน ดูยังไงก็เหมือนหนุ่มพนักงานบริษัท
ไม่ก็นักธุรกิจ เชียนซีไปรู้จักคนแบบนี้ได้ยังไงกันนะ
ไม่นานอาหารสำเร็จรูปในตู้เย็นก็ถูกนำมาแปรรูป
ข้าวผัดหน้าตาจืดชืดถูกนำมาปรุงใหม่เติมคุณค่าด้วยผักสามสีจากสลัดกระป๋อง แล้วถูกห่อด้วยไข่เจียวเนื้อนุ่มจากไข่สดที่เหลืออยู่ในตู้เย็น
ราดหน้าด้วยซอสมะเขือเทศปรุงรสเข้มข้นที่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงซอสธรรมดาในซองสปาเก็ตตีกึ่งสำเร็จรูป
ทุกอย่างถูกจัดใส่จานและวางบนโต๊ะเรียบร้อย
“หือออ
หอมจัง อี้เฟิงเกอไม่ใช่คนทำใช่ไหมเนี่ย” เจ้าตัวเล็กที่อาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้วเข้ามาในครัวพอดี
“รู้แล้วไม่พูดก็ไม่มีใครว่านะ”
หน้าหวาน ๆ ยู่ไปด้วยความเง้างอน
เหอะ ใช้ข้าวของตั้งเยอะ กว่าจะทำอาหารได้มื้อหนึ่ง
มันเปลืองน่ะรู้ไหม มันเปลือง!
หลี่อี้เฟิงได้แต่ค่อนขอดในใจ
แต่อาหารทุกอย่างในจานก็หมดเกลี้ยงไม่มีเหลืออยู่ดี...
“จริง ๆ
หยางเกอค้างที่นี่ก็ได้นะ นอนห้องผมก็ได้” เชียนซีเดินออกมาส่งหยางหยางที่หน้าประตูรั้ว
มือเล็กเกาะแขนแกร่งอย่างออดอ้อนเพราะยังไม่อยากให้หยางหยางต้องกลับบ้านไปในตอนนี้
“เดี๋ยวเกอจะมาหาบ่อย
ๆ นะครับ”
“มาทุกวันเลยได้ไหม
ผมคิดถึง”
ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มเอ็นดูให้เด็กขี้อ้อนพลางยีหัวทุย
ๆ อย่างเบามือ
“คิดถึงเกอ
หรือคิดถึงอาหารที่เกอทำกันแน่ฮึ กินจนแก้มออกแล้วเนี่ย”
“โธ่
กินยังไงผมก็แก้มไม่ออกเท่าเฟิงเกอหรอกน่า”
“หึหึ”
“ทำเป็นหัวเราะ
ผมเห็นนะ หยางเกอชอบแอบมองเฟิงเกอตลอดเลย คิดอะไรเปล่าเนี่ย”
“อยากให้คิดหรือเปล่าล่ะ”
เชียนซีทำท่าทางลังเลใจนิดหนึ่งก่อนตอบอย่างใสซื่อ
“ถ้าคิดแล้วหยางเกอจะมาหาผมบ่อย
ๆ ก็คิดเยอะ ๆ ก็ได้”
“ฮ่า ๆ ๆ ได้สิ
เกอจะมาหาทุกวันเลย”
“เย้
รักหยางเกอที่สุดในโลกเลย” เจ้าตัวเล็กร้องไชโยโผเข้ากอดหยางหยางอย่างดีใจ หัวทุย
ๆ ซุกอกแกร่งถูไปมาอย่างรักใคร่
“ขอให้จริงอย่างที่ว่าเถอะ”
หยางหยางลูบผมนุ่มของคนในอ้อมกอดก่อนผละออกมาและโบกมือลาเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่ลืมกำชับให้เชียนซีล็อกบ้านให้แน่นหนาก่อนตัวเองจะกลับไป
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิท
แต่ยังได้กลิ่นไอดินเพราะฝนที่ตกไปเมื่อช่วงเย็น หลี่อี้เฟิงยืนอยู่หน้าบ้านมองหน้าเจ้าตัวเล็กที่เดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเบิกบานใจ
เชียนซีดูติดหยางหยางมาก อย่างที่อี้เฟิงไม่เคยเห็นเชียนซีเป็นแบบนี้กับใครมาก่อน
เจ้าตัวเล็กคงกำลังมีความรักจริง
ๆ สินะ
*******************************
“อี้เฟิงเกออออออออออออ”
เจ้าตัวเล็กเชียนซีที่วันนี้ตื่นแต่เช้าได้โดยไม่มีใครปลุก
เดินเข้ามาก็ร้องเรียกหลี่อี้เฟิงเสียงยาว แขนเล็ก ๆ
สวมกอดพี่เลี้ยงคนโปรดจากทางด้านหลังพลางซบหน้าลงบนแผ่นหลังคนที่กำลังอุ่นอาหารเช้าให้อย่างงัวเงีย
“อะไร
ฮึ เจ้าตัวเล็ก อ้อนแต่เช้าเลยนะเรา” ข้าวต้มที่อุ่นไว้เสร็จพอดี
หลี่อี้เฟิงยกลงจากเตาและปิดเตาแก๊สอย่างเรียบร้อยก่อนหันมาจัดการกับเชียนซีที่กำลังเกาะเอวเขาเป็นลูกลิง
“ผมอยากกินกุ้งผัดผงกะหรี่”
“เช้านี้มีแต่ข้าวต้มเท่านั้นแหละ
เกอออกไปซื้อที่ตลาดมาให้เมื่อเช้า”
เพราะช่วงนี้พ่อแม่ของเชียนซีไปทำงานต่างจังหวัด และป้าแม่บ้านก็ลาหยุด
อี้เฟิงเลยต้องรับผิดชอบดูแลเจ้าตัวเล็กแทบทุกเรื่อง แต่สำหรับเรื่องอาหาร
เขาก็ทำได้แค่อุ่นอาหารสำเร็จรูปให้ได้เท่านั้น
“ผมอยากกินนี่นา
ตอนกลางวันก็ได้”
“โอเค
ๆ เดี๋ยวเกอโทรไปสั่งที่ร้านอาหารมาให้นะ ตอนเช้ากินข้าวต้มก่อน
เกออุตส่าห์อุ่นให้แล้ว”
“ไม่เอาอ่า
ไม่กินที่ร้านทำ อยากกินที่หยางเกอทำ”
หลี่อี้เฟิงถอนหายใจกับความเอาแต่ใจของเจ้าตัวเล็ก
บทอยากจะได้ ก็จะไม่ยอมท่าเดียว
“ถ้าอยากกินที่หยางเกอทำ
ก็ต้องบอกหยางเกอนะครับ เฟิงเกอทำให้ไม่ได้หรอกนะ”
แล้วเจ้าตัวเล็กก็ยื่นโทรศัพท์ในมือที่ถือมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ให้พี่เลี้ยงหน้าหวาน
ส่งสายตาเว้าวอนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“เฟิงเกอโทรหาหยางเกอให้หน่อยสิ”
“ห้ะ
ทำไมเราไม่โทรเองล่ะ”
“ก็เมื่อคืนผมทะเลาะกับหยางเกอนิดหน่อย
หยางเกองอนผมไปแล้วน่ะสิ”
“อ่าว
แล้วทำไมถึงให้เกอโทรล่ะ”
“น่า
นะ นะครับ ถ้าเฟิงเกอโทร หยางเกอต้องใจอ่อนยอมมาทำกับข้าวให้แน่ ๆ เลย นะ น้า”
หลี่อี้เฟิงไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเชียนซีกับหยางหยางเลย
แต่เห็นสายตาออดอ้อนของเจ้าตัวเล็กแล้วเขาก็ใจอ่อนทุกทีสิน่า
ไม่รู้เป็นเวรกรรมอะไร
หลี่อี้เฟิงถึงต้องมาเดินตามนายหยางหยางต้อย ๆ เพื่อเลือกซื้อของสดสำหรับทำอาหารให้เจ้าตัวเล็กเชียนซี
เลือกไปเลือกมา
ของก็เริ่มเต็มตะกร้า มากเกินกว่าจะซื้อไว้สำหรับทำอาหารมื้อหนึ่งแล้ว
“ถ้าจะซื้อเยอะขนาดนี้
กะทำทั้งอาทิตย์เลยหรือไง”
“ก็ใช่น่ะสิครับ
ป้าแม่บ้านไม่อยู่ตั้งสองอาทิตย์ไม่ใช่หรือครับ”
“ก็เชิญไปทำเองเถอะนะ
ฉันไม่ทำหรอก” เสียงพึมพำไม่ดังนัก แต่หยางหยางก็ได้ยินอยู่ดี
“เชียนซีเป็นเด็กกำลังโตนะครับ
ต้องให้กินอาหารที่มีประโยชน์ ถ้าทำอาหารให้แกกินบ่อย ๆ
แกจะได้รู้สึกได้รับความรักด้วย”
หยางหยางเลือกของสดไปก็พูดไปด้วยรอยยิ้มที่แสดงความรู้สึกต่อคนที่กำลังพูดถึงออกมาอย่างชัดเจน
“หึ พวกโชตะค่อน
หลงเด็กไม่ลืมหูลืมตา” เชียนซีน่ะซนจะตาย
กว่าหลี่อี้เฟิงจะเอาเด็กคนนี้อยู่ก็ใช้เวลาเกือบปีเลยทีเดียว
สองคนนี้อาจจะเพิ่งคบกันช่วงแรก ๆ ล่ะสิ อะไร ๆ ถึงได้ดูดีไปหมด
ถ้าเจ้าตัวเล็กแผลงฤทธิ์เมื่อไหร่ล่ะก็ หยางหยางคงรู้ซึ้งเลยเชียว
“เด็ก ๆ
ก็ยังดีกว่าผู้ใหญ่ชอบวางมาดบางคนน่ะครับ” หยางหยางหันกลับมาตอบพร้อมคิ้วที่เลิกขึ้นข้างหนึ่ง
จุดอารมณ์โมโหให้หลี่อี้เฟิงได้ไม่ยาก
“นี่นาย
ถ้าไม่ติดว่าแก่กว่านะ ฉันไม่ปล่อยให้นายพูดจาแบบนี้กับฉันได้ง่าย ๆ หรอกนะ”
“หืม คุณว่าอะไรนะ”
“ก็นายมันกวนประสาท
ถ้าไม่ติดว่าแก่กว่าฉันนี่อาจจะโดนซักหมัดสองหมัดไปแล้วก็ได้ ได้ยินชัดไหม”
ดวงตาเรียวรีหรี่ลงอย่างใช้ความคิด
ก่อนขยับกว้างขึ้นพร้อมประกายบางอย่าง
ใบหน้ารูปสลักโน้มลงมาใกล้ดวงหน้าหวานก่อนพูดเสียงเบา
แต่หลี่อี้เฟิงได้ยินชัดทุกคำ
“ถ้าอย่างนั้น...
ก็เรียกผมว่าคุณหยางหยางสิครับ จะได้ดูมีสัมมาคารวะหน่อย”
“ฝันไปเถอะ
แค่นี้ฉันก็สุภาพมากพอละ” หลี่อี้เฟิงเสหน้าหันไปทางอืนด้วยความหมั่นไส้
คุณหยางหยาง
เหรอ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
“แล้วถ้าไม่สุภาพจะเป็นยังไงหรือครับ”
“ก็...”
ใบหน้าหวานหันกลับมาโดยไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าของอีกฝ่ายโน้มลงมาต่ำกว่าเดิม
จังหวะที่ปลายจมูกเฉียดกันเพียงเสี้ยววินาทีเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นปลาบผ่านไปทั่วใบหน้า
หลี่อี้ฟิงรีบขยับตัวออกห่างทันที
“ว่ายังไงล่ะครับ”
“ก็ไม่ยังไงนี่”
ในสมองของหลี่อี้เฟิงเหมือนมีแต่เสียงวิ้ง ๆ เต็มไปหมดจนเจ้าตัวทำอะไรไม่ถูก เดินผ่านชั้นมะเขือเทศก็หยิบใส่ตะกร้ารถเข็นเสียยกใหญ่
“คุณชอบกินมะเขือเทศเหรอ”
“ใช่ มันดีต่อสุขภาพ
ไม่รู้หรือไง”
“ไม่ต้องกินเยอะขนาดนั้นก็ได้มั้งครับ
แค่นี้หน้าคุณก็แดงเป็นลูกมะเขือเทศแล้ว”
ไอ้....
รอยยิ้มขำประดับอยู่เต็มหน้าหล่อเหลาของหยางหยาง
หลี่อี้เฟิงได้แต่ถลึงตามองแต่ก็ไม่รู้จะตอบโต้ยังไง
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
เสียงหวานได้แต่พึมพำก่อนรีบเข็นรถใส่ของไปให้ไกลจากคนชอบกวนประสาทมากที่สุด
********************************************
สงครามประสาทระหว่างหลี่อี้เฟิงกับหยางหยางยังไม่จบ
เพราะหลังจากวันนั้นหยางหยางก็บังคับให้อี้เฟิงมาหัดทำอาหารกับเขา
โดยอ้างว่าเป็นห่วงเชียนซี พี่เลี้ยงอย่างหลี่อี้เฟิงควรจะทำอาหารให้เป็นไว้บ้าง
“โอ๊ยยย”
หลี่อี้เฟิงร้องเสียงหลงเมื่อเผลอเอามือที่เพิ่งหั่นพริกไปป้ายตา
“อยู่เฉย ๆ นะคุณ มาล้างตาก่อน
อย่าเพิ่งเอามือไปขยี้สิ เดี๋ยวก็แสบมากกว่าเดิมหรอก”
“ฮือออ ฉันบอกแล้วไง
ว่าไม่ทำ ไม่ทำ นายก็ยังให้ฉันทำอีก ฮึก” เพราะความแสบร้อนทำให้หยดน้ำใสไหลรินออกจากดวงตาคู่หวานที่ตอนนี้ปิดแน่นสนิท
“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะครับ
นิ่งนะ มา ๆ ล้างตาก่อนนะครับ”
หยางหยางปลอบโยนคนขวัญเสียเหมือนกำลังเลี้ยงเด็กก็ไม่ปาน
เขาพาอี้เฟิงมาล้างตาที่อ่างน้ำจนอาการแสบร้อนทุเลาลง
มือแกร่งหยิบกระดาษทิชชูมาบรรจงซับหยดน้ำออกจากใบหน้าหวาน
หลี่อี้เฟิงมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาแดงช้ำ
หยางหยางค่อยเช็ดหน้าให้เขาอย่างเบามือ และเกลี่ยเส้นผมที่ปรกระหน้าผากออกให้
“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ใกล้...เสียจนหลี่อี้เฟิงต้องเกร็งตัว
ไม่เพียงแต่คำพูดที่ชัดเจนในโสตประสาท
แต่ใบหน้าของหยางหยางก็อยู่ใกล้มากด้วยเช่นกัน
เหมือนภาพซ้อนของเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พวกเขาได้มองกันในระยะใกล้ขนาดนี้
แต่อี้เฟิงไม่ได้ขยับตัวหนีเหมือนครั้งก่อน
ดวงตาสองคู่ประสานกันนิ่งนาน
ไม่มีคำพูดอะไรนอกจากนั้น
ทุกอย่างเงียบลงจนเหมือนได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจ
“เฟิงเกอ
วันนี้มีอะไรกินบ้าง” เจ้าตัวเล็กเชียนซีเข้ามาในห้องครัว
หยางหยางและหลี่อี้เฟิงถึงได้ผละออกจากกัน
“อะ เอ่อ...”
หลี่อี้เฟิงอึกอัก
“วันนี้มีไก่ผัดขิง
กับปลานึ่งลุยสวน อยากกินไหมเรา” หยางหยางเป็นฝ่ายตอบ
เชียนเดินเข้ามาเกาะเอวหยางหยางหยางพลางชะโงกดูวัตถุดิบที่กำลังจะถูกนำไปปรุงอาหารบนโต๊ะ
“หยางเกออยู่ด้วยนี่สบายจริง
ๆ เลย ได้กินของอร่อยทุกวัน อ๊ะ เฟิงเกอเป็นอะไรอ่า ทำไมตาแดง ๆ ร้องไห้เหรอ
นี่หยางเกอแกล้งเฟิงเกอเหรอ”
“เฮ้ย เปล่าสักหน่อย”
หยางหยางรีบปฏิเสธ
“พอดีพริกมันเข้าตาน่ะ”
หลี่อี้เฟิงตอบ
มองตามวงแขนของเชียนซีที่โอบรอบเอวของหยางหยางอยู่ จนถึงตอนนี้แม้อี้เฟิงจะยังไม่ได้คำยืนยันที่แน่ชัดถึงความสัมพันธ์ของหยางหยางและเชียนซีจากปากเจ้าตัว
แต่เห็นแบบนี้แล้ว
มันก็เดาได้ไม่ยาก
“เกอขอขึ้นไปพักบนห้องก่อนนะ
แสบตาน่ะ”
“หายไว
ๆ นะครับเฟิงเกอ”
“อื้อ”
แม้ไม่ได้ตั้งใจ
แต่ตอนที่เดินออกมาจากห้องครัว สายตาของหลี่อี้เฟิงก็มองแต่วงแขนเล็กที่กอดหยางหยางอยู่
แล้วเขาก็เลือกที่จะหลับตาลง
เขาก็แค่...แสบตาเท่านั้นเอง
*****************************************
วันนี้หลี่อี้เฟิงตื่นสายกว่าทุกวัน
พอตื่นขึ้นมาก็เลยคิดว่าจะไปดูเจ้าตัวเล็กสักหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง
ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง
“อ๊า
ไม่เอานะหยางเกอ อย่าแกล้งผมแบบนี้สิ” เสียงของเชียนซีแว่วดังมาจากห้องนั่งเล่น
ทั้งหยางหยางและเชียนซีคงกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน
หลี่อี้เฟิงควรจะดีใจที่เชียนซีมีความสุข
แต่เขาไม่สามารถยิ้มได้อย่างที่ควรจะเป็น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ที่เขาและหยางหยางเริ่มใกล้กันมากขึ้น แค่เวลาไม่กี่วันที่ได้รู้จักกัน
ความรู้สึกบางอย่างก็ค่อย ๆ ก่อตัว
เขาควรจะห้ามมันไว้
“อ๊ะ
เฟิงเกอตื่นแล้ว มาเล่นด้วยสิครับ”
“ไม่ดีกว่า
เดี๋ยวเกอไปเตรียมอาหารเช้าให้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ
ผมเตรียมไว้ให้หมดแล้ว” หยางหยางแทรกขึ้น
“อ่อ
งั้นฉันไปรดน้ำต้นไม้ข้างนอกก็แล้วกัน”
หลี่อี้เฟิงเดินออกจากตัวบ้านไปโดยไม่ได้รอฟังคำทักท้วงใด ๆ
ช่วงนี้ฝนตกบ่อย
ดอกไม้รอบ ๆ
บ้านเลยแข่งกันอวดดอกบานสะพรั่งช่วยเยียวยาจิตใจของหลี่อี้เฟิงที่ดูจะเหงาหงอยไปบ้างในช่วงนี้
ถ้าอยากจะยิ้มเบิกบานได้อย่างดอกไม้
หัวใจของเขาก็คงต้องการฝนเย็น ๆ ให้ชื่นใจเหมือนกันล่ะมั้ง
แต่วันนี้ฟ้าเปิดเหลือเกิน
จะยังพอมีฝนอยู่บ้างไหมนะ
ออด...
เสียงออดหน้าบ้านเรียกให้หลี่อี้เฟิงต้องหันไปมอง
เด็กหนุ่มหน้าตาดีใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนเอกชนไม่ไกลจากแถวนี้เท่าไหร่นักยืนรออยู่หน้าบ้าน
“มาหาใครครับ”
“มาหาเชียนซีน่ะครับ”
“อ่อ
อยู่ใน้บ้านน่ะ เดี๋ยวไปเรียกให้นะ”
“เอ่อ
เดี๋ยวก่อนครับ ผมขอเข้าไปหาเชียนซีเองได้ไหมครับ”
“หืม?”
หลี่อี้เฟิงเลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม
“เรามีเรื่องต้องปรับความเข้าใจกันน่ะครับ
แต่เชียนซีอาจจะไม่อยากเจอหน้าผมเท่าไหร่...”
“แต่ว่า...”
พี่เลี้ยงอย่างหลี่อี้เฟิงลังเล ถึงเด้กคนนี้จะดูไม่มีพิษมีภัยอะไร
แต่การจะให้คนแปลกหน้าเข้าบ้านโดยที่ยังไม่ได้รับการยืนยันจากเชียนก็ดูเป็นเรื่องไม่สมควรนัก
“ให้เขาเข้ามาเถอะครับ”
เป็นเสียงของเชียนซี ที่คงจะได้ยินเสียงออดในตอนแรกแล้วออกมาดูนั่นเอง
ริมฝีปากเล็กเม้มบางมองคนที่อยู่นอกประตูรั้วด้วยแววตาที่หลี่อี้เฟิงไม่เข้าใจ
ด้านหลังคือหยางหยางที่กำลังบีบบ่าเล็กเบา ๆ
เมื่อหลี่อี้เฟิงงเดินนำเด็กหนุ่มเข้าถึงหน้าบ้าน
เชียนซีก็เดินอ้อมไปหลังบ้านเสียอย่างนั้น
“ตามไปสิ
จุนไค” หยางหยางเอ่ยกับเด็กหนุ่ม
เขาดูเหมือนจะรู้ว่าเรื่องราวเบื้องหลังของสองคนนี้คืออะไร หลี่อี้เฟิงมองตามเด็กที่ชื่อจุนไคเดินตามเชียนซีออกไปหลังบ้านก่อนหันมามองหยางหยางด้วยสีหน้าสื่อคำถาม
“จุนไคกับเชียนซีทะเลาะกันน่ะ
ให้เขาไปปรับความเข้าใจกันเถอะ”
“เพื่อนคนนี้ของเชียนซีฉันไม่เห็นเคยรู้จักเลย
นายรู้จักได้ยังไง”
“นี่คุณไม่รู้จริง
ๆ เหรอ”
“รู้เรื่องอะไร?”
“จุนไคกับเชียนซีเป็นแฟนกันยังไงล่ะ”
“เด็กจุนไคนั่นเป็นแฟนเชียนซี?”
“ใช่”
“แล้ว...
แล้วนายล่ะ นายไม่ใช่แฟนเชียนซีหรอกเหรอ”
“อะไรกัน
นี่คุณคิดว่าผมเป็นแฟนเชียนซีหรือไง บ้าไปแล้ว”
“บ้าอะไรเล่า
ก็นาย...” หลี่อี้เฟิงอึกอัก ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี แต่ให้ตายเถอะ
ทำไมเหมือนว่าเขากำลังจะกลั้นยิ้มไม่อยู่กันนะ
“หึหึ
คุณนี่ชอบคิดเองเออเองนะ ผมเป็นลูกบ้านสกุลหยางที่เชียนซีไปอยู่ตอนหน้าร้อนทุกปียังไงล่ะ
คุณก็เคยเจอผมไม่ใช่เหรอ”
หยางหยาง...
บ้านสกุลหยางเหรอ
นั่นสิ หลี่อี้เฟิงลืมไปเลย
“อะไรเล่า
แค่เข้าใจผิดเรื่องเดียวเอง...”
แล้วหยางหยางก็หยิบเสื้อสูทที่คล้องแขนอยู่แต่แรกขึ้นมาสวม
ทำให้หลี่อี้เฟิงต้องมองตาค้าง บนเสื้อสูทมีตราของมหาวิทยาลัยใกล้ในเมืองที่เขาอยู่นี่เอง
“วันนี้มีปฐมนิเทศ
ผมคงต้องไปแล้ว หวังว่าวันนี้ที่มหา’ลัยคงไม่มีใครมักว่าผมเป็นพี่ปีสี่หรอกนะ
ผมว่าผมก็ไม่ได้หน้าแก่ขนาดนั้น แต่คนบางคนน่ะสิ คิดว่าผมแก่กว่าทั้งที่ตัวเองก็แก่กว่าผมตั้งหลายปี
เสียเซลฟ์ชะมัดเลย”
“ก็นาย...”
“แถมยังใส่ร้ายว่าผมเป็นโชตะค่อน
ชอบกินเด็กอีกต่างหาก”
หลี่อี้เฟิงได้แต่อ้าปากค้าง
เถียงต่อไม่ถูก
ฝนเม็ดเล็ก
ๆ ตกเปาะแปะลงมาทั้งที่ฟ้าใสอยู่อย่างนั้น
หยางหยางเงยหน้ามองฟ้า
แล้วมองนาฬิกาที่ข้อมือ พลางหันไปหยิบร่มที่แขวนไว้อยู่หน้าบ้าน
“ผมคงต้องไปแล้ว...”
“อื้อ
รีบไปสิ เดี๋ยวก็สายหรอก”
ดวงตากลมโตสบตากับหยางหยางเพียงนิดหนึ่งก็ต้องรีบเสมองไปทางอื่น อยู่ดี ๆ
อี้เฟิงก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
หยางหยางกางร่มออกก่อนโน้มตัวลงมาใกล้พี่เลี้ยงคนเก่ง
จมูกโด่งเป็นสันแตะแก้มใสเบา ๆ โดยที่อีกคนไม่ทันได้ตั้งตัว
ยังไม่ทันที่คนโดยขโมยหอมแก้มจะต่อว่าอะไร
เสียงทุ้มต่ำก็กระซิบข้างใบหูบาง
“ว่าแต่คนอื่นกินเด็ก...
ระวังจะโดนเด็กกินซะเองนะครับ อี้เฟิงเกอ”
END
โอ้ยยย
จบแล้วล่ะค่ากับฟิครีเควสท์ตามแท็ก #จะเขียนฟิคสั้นคู่หยางเฟิงตามคาร์แรกเตอร์ที่เมนชั่นมาสองเมนชั่นแรก ขอบคุณทุกคนที่เมนชั่นเข้ามานะคะ
ไว้คราวหลังมาเล่นกันใหม่เน้อ
ขอโทษด้วยนะคะที่มาต่อตอนจบช้าไปหน่อย
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะยาวขนาดนี้เลย พล็อตก็ไม่มี แต่งตามน้ำไปเรื่อย ๆ 555
อ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงก็แนะนำ
ติชม กันได้นะคะ ขอบคุณมากค่า ^__^
@ConiCat_
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น