วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

SWEET LABYRINTH - 02 เทวดาของผม #หยางเฟิง

SWEET LABYRINTH Chapter 02 เทวดาของผม
#หยางเฟิง
คำเตือน: เรื่องทั้งหมดเกิดจากจินตนาการของผู้แต่งเอง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


ความเดิมตอนที่แล้ว  >> 

SWEET LABYRINTH – INTRO 

SWEET LABYRINTH – Chapter 01 ไอ้ตัวแสบ!

ผมกำลังหนี…
แฟนคลับของหลี่อี้เฟิงกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะเดินตามผมมาตั้งออกมาจากกองถ่าย ผมมีธุระในตัวเมืองนิดหน่อยจึงไม่ได้กลับโรงแรมพร้อมรถตู้ของบริษัท นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมถูกตามโดยแฟนคลับของอี้เฟิง ผมไม่เข้าใจนักว่าพวกเขาตามผมมาด้วยสาเหตุอะไร แต่การพยายามไม่เผชิญหน้ากันตรง ๆ หรือไม่อยู่เฉย ๆ เป็นเป้านิ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
ผมเดินไปตามตรอกซอกซอยในเซี่ยงไฮ้ที่ไม่คุ้นเคย เมื่อคิดว่าไม่มีใครตามมาแน่แล้วจึงแวะหลบแดดหน้าร้านกาแฟแห่งหนึ่งเปิดโปรแกรมแผนที่ในโทรศัพท์มือถือเพื่อหาตำแหน่งของตัวเอง เมื่อหาสถานที่ที่จะไปพบก็ไม่รอช้าที่จะไปยังจุดหมาย แต่ไม่ทันที่จะสาวเท้าเดินออกจากบริเวณหน้าร้าน เสียงกรุ๊งกริ๊งของโมบายหน้าประตูร้านก็ดังขึ้นเสียก่อนเป็นสัญญาณบอกว่าคนด้านในกำลังเปิดประตูออกมา ผมจะไม่สนใจเลยหากไม่มองผ่านกระจกร้านเข้าไปแล้วพบว่าคนคนนั้นคือคนที่ผมรู้จักดี จิ่งป๋อหรัน หรือพี่จิ๋งเป่ารุ่นพี่ร่วมวงการของผมนั่นเอง ผมหยุดยืนรอจนกระทั่งเขาเดินออกมาหน้าร้าน
“อ้าว ไอ้ลูกแกะ มายังไงวะเนี่ย” พี่จิ๋งเป่าทักผมทันทีที่เห็นผมยืนอยู่หน้าร้านกาแฟที่เขาเพิ่งเดินออกมา
“พอดีเดินผ่านมาแถวนี้ครับ เพิ่งเลิกกองแวะมาทำธุระนิดหน่อย พี่ล่ะมาทำอะไรแถวนี้ ช่วงนี้ไม่ได้มีงานที่เซี่ยงไฮ้ไม่ใช่เหรอ” จริง ๆ ผมคิดว่าผมรู้ว่าเขามาทำอะไรที่นี่ แต่ผมอยากรู้ว่าเขาจะตอบว่ายังไงมากกกว่า
“ก็หลี่อี้เฟิงอยู่ที่นี่ ฉันว่างงานพอดีเลยอยากมาเห็นหน้าสักหน่อย” พี่จิงเป่าแสดงออกชัดเจนว่าสนใจเทวดาแสนซนของผม และพยายามเอาตัวเองมาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ อี้เฟิงตลอดเวลา ผมจึงต้องขอวิสาสะพิจารณาคนที่เข้ามาใกล้เทวดาของผมสักหน่อย ผมไม่ได้กีดกันหรอกนะครับหากสองคนนี้จะสานสัมพันธ์กัน แต่ผมไม่อยากให้ใครมาทำให้อี้เฟิงต้องเสียใจ เพราะฉะนั้นถ้าพี่จิ๋งเป่าจะเดินหน้าจีบอี้เฟิงจริง ๆ ก็คงต้องผ่านด่านผมไปก่อน
“อยากมาเจอหน้าอี้เฟิงอย่างเดียวจริง ๆ เหรอ ไม่ใช่ว่าแวะนัดสาวที่ไหนไว้ด้วยหรอกนะครับ” ผมดักทาง กิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของพี่จิ๋งเป่าก็โด่งดังไม่ใช่เล่น แม้ระยะนี้จะไม่มีข่าวในทำนองนั้นมาสักพักแล้ว
“โหย ไอ้ลูกแกะ ทำเป็นวางท่าหวงพี่ชาย ฉันน่ะเลิกเจ้าชู้แล้วเว่ย ตอนนี้จริงจังกับอี้เฟิงคนเดียว” เขาพาดแขนมาตบบ่าผมเบา ๆ “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้าอี้เฟิงเห็นใจฉันเมื่อไหร่ รับรองฉันจะไม่ทำให้ทั้งเขาและนายผิดหวังเลย”
“ผมก็หวังอย่างนั้นเหมือนกันครับ” ทั้ง ๆ ที่ตอบออกไปแบบนั้น แต่ทำไม่รู้ผมกลับไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้เลย ผมคุยเรื่องงานกับเขาอีกเล็กน้อยก่อนขอตัวไปทำธุระของตัวเองโดยที่ยังมีความรู้สึกบางอย่างติดค้างในใจอยู่แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ผมกลับเข้ามาในโรงแรมช่วงกลางดึกในเวลาที่ล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว โดยต้องแอบเดินอ้อมไปเข้าประตูทางด้านหลังของโรงแรมเพราะมีแฟนคลับบางส่วนอยู่ที่ประตูด้านหน้า ซึ่งแน่นอนว่าสาเหตุที่ผมต้องหลบเพราะพวกเขาเป็นแฟนคลับของหลี่อี้เฟิง การเผชิญหน้ากันอาจนำมาซึ่งสถานการณ์ที่น่าลำบากใจ
ผมพอจะเข้าใจแฟนคลับบางส่วนของอี้เฟิงที่ไม่ค่อยจะชอบหน้าผมนัก ด้วยการแข่งขันที่เข้มข้นของวงการบันเทิงจีนในยุคนี้ด้วยทั้งตัวผมและอี้เฟิงนั้นเป็นแนวหน้าของวงการทั้งคู่ ทั้งแฟนคลับของเขาและของผมเองต่างก็มองเห็นอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งซึ่งผมไม่อาจไปห้ามอะไรพวกเขาได้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราสองคนไม่อาจพบปะกันในที่สาธารณะได้เหมือนเมื่อก่อนเพราะแฟนคลับบางส่วนจะไม่พอใจและอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งจะเป็นผลเสียต่อทั้งผมและเขา ผมอยากบอกแฟนคลับเหล่านั้นเหลือเกินว่าผมไม่ต้องการเป็นที่หนึ่งในวงการนี้ ไม่ได้อยากแย่งชิงความเป็นหนึ่งหรือชื่อเสียงใด ๆ จากเทพบุตรหลี่อี้เฟิงที่พวกเขารัก ผมอยู่ตรงไหนก็ได้ขอแค่ได้อยู่ข้าง ๆ เทวดาของผมเท่านั้น มีตำนานปรัมปราเล่าขานว่าคนทุกคนมีเทวดาประจำตัว หากวันใดที่มีความทุกข์สาหัสเกินจะรับไหวเทวดาผู้ใจดีจะคอยปัดเป่าความทุกข์นั้นให้หายไปและคอยปลอบโยนมนุษย์ผู้อ่อนแรง และหลี่อี้เฟิงคือเทวดาตนนั้นของผม ได้โปรด...อย่าพรากเขาไปจากผมเลย
ก๊อก ๆ ๆ
ก๊อก ๆ ๆ …
ก๊อก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ผมเคาะประตูจนเจ็บข้อนิ้วไปหมดแต่เจ้าของห้องก็ยังไม่มาเปิดประตู ผมรู้ว่าหลี่อี้เฟิงกลับมาแล้วและอยู่ในห้องไม่ไปไหนแน่นอน เขาอาจจะกำลังแกล้งให้ผมรอหรือไม่ก็คงกำลังทำภารกิจสำคัญอยู่เช่น การรับประทานอาหารเย็น เมื่อวานผมได้รับสายตาเชือดเฉือนราวกับจะฆ่ากันให้ตายจากเทวดาที่ปกติแสนจะใจดีเพียงเพราะผมไปขัดจังหวะการกินบะหมี่ถ้วยของเขา ถ้าผมอยากจะเป็นที่หนึ่งในชีวิตหลี่อี้เฟิงล่ะก็ บรรดาอาหารอันโอชะทั้งหลายนี่แหละคือศัตรูอันดับหนึ่งของผม
แต่ผมเป็นคนไม่ชอบการรอคอยจึงพยายามต่อสายเข้าเบอร์ส่วนตัวของเจ้าของห้อง ผมฟังเสียงรอสายยาวนานจนมันตัดไปเสียเองอยู่หลายรอบจนชักรำคาญใจ จึงยกมือขึ้นมาอีกครั้งหวังเคาะประตูหนัก ๆ  แต่ยังไม่ทันได้เคาะประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมคนที่มาเปิดประตูให้ต้อนรับด้วยใบหน้ากวน ๆ ในชุดคลุมอาบน้ำ หยดน้ำวาววับที่ปลายเส้นผมบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงกำลังอาบน้ำอยู่ในระหว่างที่ผมกำลังร้อนรนรอเขาอยู่ที่หน้าห้องนั่นเอง
“ห้องตัวเองไม่มีเหรอ” เสียงเรียบติดจะกวนนิด ๆ ของหลี่อี้เฟิงถามขึ้นเมื่อพบว่าผมคือคนที่มารบกวนเวลาส่วนตัวของเขา พลางมองกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่อยู่ข้างตัวผมก่อนเลิกคิ้วส่งมาเป็นคำถาม


“ขอนอนด้วยนะครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าน่าสงสารที่สุดแบบที่มั่นใจว่าเทวดาหลี่อี้เฟิงจะต้องไม่ตอบปฏิเสธอย่างแน่นอน  ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปเอาความมั่นใจในตัวเองขนาดนี้มาจากไหนแต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าเขาต้องตามใจผมแน่นอน ซึ่งผมก็ไม่ผิดหวัง เทวดาหน้าหวานของผมเพียงปรายตาและถอนหายใจเบา ๆ ก่อนหลีกทางให้ผมเข้าไปในห้อง เสียงโทรทัศน์ดังแว่วมาให้ได้ยินจากด้านในห้องนอน ผมถือวิสาสะเปิดเข้าไปตามความเคยชิน

“มีอะไรหรือเปล่า นายดูแปลก ๆ นะวันนี้” อี้เฟิงนั่งลงที่ปลายเตียงลดเสียงโทรทัศน์ลงก่อนเปรยขึ้น


“หืม? ไม่มีอะไรนี่ครับ ทำไมเหรอ”


“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว แค่สงสัยเฉย ๆ แล้วนี่จะย้ายมาอยู่ห้องนี้เลยหรือไงถึงขนกระเป๋ามาด้วยขนาดนั้น”

“ได้ไหมล่ะครับ” ผมถามทีเล่นทีจริง อยากลองใจเขาดูเหมือนกัน


หลี่อี้เฟิงถอนหายใจก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงนัยจริงจัง


“ปกตินายทำอะไรฉันก็ไม่เคยห้ามอยู่แล้ว ถึงห้ามก็ห้ามไม่ได้ แต่มาคราวนี้ฉันต้องพักที่นี่ระยะยาวจนกว่าจะถ่ายทำละครกองนี้เสร็จ นายเองก็คงเหมือนกัน แล้วเวลาทำงานก็กำหนดอะไรแน่นอนไม่ได้…” หลี่อี้เฟิงเว้นจังหวะ ราวกับไม่สามารถหาคำพูดมาอธิบายต่อได้ ผมเข้าใจเขาดี พี่ชายของผมคนนี้ด้านหนึ่งเป็นเทพบุตรแห่งวงการบันเทิงผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศในวงสังคม แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นผู้ชายที่มีโลกส่วนตัวสูงยากจะเข้าถึง เขาคงลำบากใจหากจะมีผมเข้ามารบกวนในชีวิตเขาบ่อยครั้งเกินไป แม้ผมจะอยากอยู่ใกล้เขาแค่ไหนแต่ระหว่างเรายังมีช่องว่างอยู่


“ผมเข้าใจครับ ผมมารบกวนพี่ไม่นานหรอก นาน ๆ เราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้สักที” ผมบอกเขาพลางลดตัวลงนั่งข้างเอาคางเกยไหล่คนหน้าหวานแหงนเงยมองดวงหน้าที่งดงามราวกับเทวดานั้นด้วยสายตาเว้าวอน ดวงตากลมโตหันมาสบมองผมด้วยสายตาอบอุ่นและรอยยิ้มเอ็นดูเช่นเคย “น่านะ ผมเหงาน่ะ ผมคิดถึงพี่”


เทวดาของผมก้มลงมาเพียงนิดให้หน้าผากของเราสองคนแตะกัน สายตาสองคู่ประสานกันอยู่นานนับนาทีโดยไม่มีถ้อยคำใด ๆ ผมรู้ว่าหลี่อี้เฟิงไม่เคยปฏิเสธคำขอจากผม มันอาจเป็นเพราะความเอ็นดู ความสงสารหรืออะไรก็ตาม แต่มันคงไม่ผิดหรอกใช่ไหมถ้าผมจะฉกฉวยความรู้สึกนั้นทำให้ผมได้อยู่ใกล้ ๆ เขา


“ขี้อ้อนจังนะ ไอ้ตัวแสบ ! ” หลี่อี้เฟิงขยับตัวเล็กน้อยใช้หน้าผากโขกผมเบา ๆ และผละตัวออกไปก่อนใช้มือนิ่มยีหัวผมอย่างเอ็นดูไม่ต่างจากที่เคยเป็นมา


“ก็คิดถึงจริง ๆ นี่นา ถ้ารู้ว่าดังแล้วจะมีโอกาสได้อยู่กับพี่น้อยแบบนี้ผมจะไม่เข้าวงการเลย คิดผิดจริง ๆ ” ผมบ่นโดยที่ยังวางคางไว้บนไหล่ของคนเป็นพี่ หลี่อี้เฟิงเพียงหัวเราะเบา ๆ ขยับตัวให้นั่งสบายขึ้นแต่ไม่ได้ผลักไสผมออกไป ผมสวมกอดเขาจากด้านหลังจับมือนิ่มขึ้นมาบีบนวดเล่นระหว่างที่เราคุยกัน “วันนี้ผมเจอพี่จิงเป่า เขาบอกว่ามาหาพี่ พี่ได้เจอเขาบ้างหรือเปล่า” หลี่อี้เฟิงอมยิ้มกับตัวเอง ผมสังเกตเห็นริ้วสีชมพูบาง ๆ ที่ข้างแก้มใส มันอาจมองดูน่ารักในสายตาใคร ๆ แต่ตอนนี้ผมไม่ชอบมันเอาเสียเลย


“ถามทำไม เชียร์เหรอ ให้ตกลงเลยไหมล่ะ” คนหน้าหวานยอกย้อนจนผมต้องยู่หน้า


“ผมมีสิทธิ์ตัดสินใจหรือไงล่ะ”


“หึหึ แล้วนายคิดว่าไงล่ะ”


“แล้วแต่พี่เถอะ อะไรที่พี่มีความสุขผมโอเคทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเขาทำพี่เสียใจผมเอาเขาตายแน่”


“ทำเป็นพูดดี เวลาตัวเองมีแฟนนี่ไม่เคยนึกถึงฉันหรอก” เสียงหวานค่อนขอด


“พี่ก็ไม่สนใจผมเหมือนกันแหละน่า คนอะไรเย็นชาชะมัด”


“ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรในชีวิตนายนี่ อยากทำอะไรก็ทำ ฉันไม่เห็นจำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวเลย” หลังจากประโยคนี้ผมเงียบไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าหากคำพูดนี้สะท้อนกลับกันมันหมายความว่าผมเองก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเขาเหมือนกัน


“ถ้าพี่มีแฟนแล้วจะทิ้งผมไปหรือเปล่า” ผมเปรยถามสิ่งที่กังวลในใจมาตลอด เทวดาของผมไม่เคยสนใจใครเกินกว่าฐานะเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงาน แต่ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ผมถึงกังวลแปลก ๆ เราโตมาด้วยกัน รู้จักกันมานาน ความสัมพันธ์ของเราสองคนมันอธิบายยากเกินกว่าใครจะเข้าใจ ผมไม่เคยคิดเป็นเจ้าของเขาเพราะตัวผมเองก็มีใคร ๆ อาจเป็นเพราะหลี่อี้เฟิงอยู่ตรงนี้เหมือนรอผมกลับมาเสมอ ถ้าวันหนึ่งเขาไม่รอผมแล้วผมจะทำยังไง


“นายเป็นน้องชายฉันเสมอ อย่าคิดมากน่า ขี้อ้อนขี้เหงาแบบนี้ใครจะทิ้งลง” ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นราวกับจะรั้งเจ้าของร่างนุ่มไว้ไม่ยอมให้ไปไหน ไล้แก้มของตัวเองกับแก้มนิ่มของคนในอ้อมกอดยิ่งรู้สึกหวงแหน ผมรู้สึกได้ว่าหลี่อี้เฟิงเกร็งตัวกับสัมผัสนี้


ผมกลัว...กลัวใจตัวเอง



To be continue


TALK: สองตอนแรกพยายามนำเสนอคาแรกเตอร์ของหยางหยางและอี้เฟิงออกมาว่าแต่ละคนเป็นคนยังไง แต่สองคนนี้ก็ยังมีอีกหลายด้านซึ่งคงจะได้เขียนด้านอื่น ๆ ออกมาให้เห็นในตอนต่อ ๆ ไป ถ้าใครหลงเข้ามาอ่านก็ฝากแนะนำติชมด้วยนะคะ ฝากคอมเมนท์ไว้ที่บล็อกนี้ หรือแวะมาทักทายกันทางทวิตเตอร์ @ConiCat_ ก็ได้นะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^__^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น