วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

La Rose de l'Enfer 02 มัทนะอเวจี - ตอนที่ ๒ นิมิตพิศวาส


La Rose de l'Enfer มัทนะอเวจี ตอนที่ ๒ นิมิตพิศวาส

Pairing: หยางหยาง X หยางหยาง

ความเดิมตอนที่แล้ว >> มัทนะอเวจี ตอนที่ ๑ ราตรีสีเลือด






แพขนตายาวขยับไหวเปลือกตาสวยค่อย ๆ ขยับกะพริบเปิดปรือขึ้น แสงสีทองจับขอบฟ้ายามรุ่งอรุณนอกหน้าต่างบานเดิมที่คุ้นเคยบ่งบอกว่าเหตุการณ์ประหลาดในคืนที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพฝัน แต่ทุกสิ่งยังกระจ่างชัดในความทรงจำ รสสัมผัสและทุกความรู้สึกถูกบันทึกผ่านผิวกายราวกับทั้งหมดเป็นเรื่องจริงที่เพิ่งเกิดขึ้น ร่องรอยของหวามไหวยังติดตรึงในอกและบางสิ่งที่เปื้อนเปรอะกางเกงผ้าฝ้ายเนื้อดีเป็นหลักฐานที่แสดงให้รู้ว่าความฝันในคืนที่ผ่านมามีอิทธิพลต่อเขามากน้อยเพียงใด
หยางหยางสลัดความง่วงงุนออกจากสมองลุกจากเตียงเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปทำงานเช่นทุกวัน ร่างสูงสมส่วนกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนอย่างไม่เร่งรีบ สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกก่อนคว้าเทคไทสีน้ำตาลมะฮอกกานีเส้นโปรดมาบรรจงผูกอย่างประณีต และไม่ลืมที่จะหยิบขวดแก้วเนื้อดีบรรจุน้ำหอมกลิ่นโปรดขึ้นมาฉีดบางเบาตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย

‘Rose de l’Enfer’

กุหลาบอเวจี

ความหอมเย้ายวนน่าหลงใหลเต็มไปด้วยมนต์ขลังชวนให้ค้นหา เรียกร้อง ล่อลวง และดึงดูดให้ผู้ได้สัมผัสไม่อาจขาดมันได้อีก หากไม่ได้มาครอบครองคงร้อนรุ่มราวกับตกนรกทั้งเป็น

ร่างโปร่งรู้ตัวเองดีว่าตนเป็นที่หมายปองและใฝ่ฝันของผู้คนมากมายและเขาเองก็ยินดีกับความรู้สึกนั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงล้อมกรอบด้วยดวงตาเรียวรี จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากเรียวได้รูป รูปร่างสูงประดับด้วยกล้ามเนื้อสมส่วน ทุกอย่างประกอบกันเป็น “หยางหยาง” ซึ่งเขาแสนภาคภูมิใจในตัวเอง

ระหว่างที่หยางหยางกำลังจะลงบันไดประตูบ้านก็ถูกเปิดออก ร่างสูงโปร่งในชุดกีฬากางเกงขายาวและเสื้อกล้ามตัวหลวมถอดรองเท้าเก็บเข้าชั้นวางก่อนเงยขึ้นมาสบตากับคนที่กำลังจะออกจากบ้าน ใบหน้าหล่อเหลาพิมพ์เดียวกับหยางหยางต่างกันเพียงนัยน์ตาสีดำสนิทที่กำลังมองกลับมาด้วยสายตาเย็นชา “หยางฉี่หลิง" น้องชายฝาแฝดของหยางหยางเพิ่งกลับมาจากการวิ่งออกกำลังกายยามเช้า เพียงสบตาภาพฝันประหลาดยามค่ำคืนก็หวนชัดฉายซ้ำราวกับภาพยนตร์ในหัวของหยางหยางชวนให้วาบไหวในความรู้สึก

เขาไม่ปฏิเสธว่าหากจะมีใครสักคนที่เขาหลงใหลมากที่สุดก็คงไม่พ้นน้องชายฝาแฝดคนนี้ เขาหลงใหลในรูปกายนั้นเช่นเดียวกับที่ชื่นชอบรูปลักษณ์ของตัวเอง แต่ถึงจะชอบมากแค่ไหนเขาก็ไม่เคยคิดเลยเถิดไปไกลถึงความสัมพันธ์ทางกายแม้เพียงนิด แต่เพราะฝันประหลาดนั่นทำให้ความรู้สึกบางอย่างเปลี่ยนไป หากเป็นเวลาปกติพวกเขาคงเดินผ่านเลยกันไปทำราวกับอีกฝ่ายไม่มีตัวตน แต่คราวนี้หยางหยางกลับอยากลองทำอะไรที่ต่างออกไปเช่นเดียวกับความรู้สึกข้างในที่กำลังแปรเปลี่ยนไปจากเหมือนเดิม

ผู้เป็นพี่เดินมาหยุดอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้ายก่อนยืนกอดอกพิงราวบันไดอย่างสบายอารมณ์ สายตาจับจ้องน้องชายฝาแฝดทุกการเคลื่อนไหว หยางฉี่หลิงชะงักจังหวะการเดินเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านผู้เป็นพี่ชาย เขาเพียงปรายหางตาเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชาแฝงความไม่พอใจก่อนเดินผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจนัก

หยางหยางยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เขาอาจจะเป็นมาโซคิสม์หรืออย่างไรกันถึงได้รู้สึกพอใจกับสายตาเย็นชาที่แฝงความไม่พอใจนั้น หยางฉี่หลิงทำตัวเหมือนเขาไม่มีตัวตนมานานแสนนาน แม้เขาจะลอบมองอยู่ห่าง ๆ แต่ก็ไม่เคยแสดงออกเพื่อเรียกร้องความสนใจ ถ้าเกิดเขาทำอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมบ้าง แล้วเฝ้ารอปฏิกิริยาที่น้องชายมีต่อเขามันคงน่าสนุกไม่ใช่น้อย คิดได้ดังนั้นหยางหยางก็ยกยิ้มบางเบาก่อนเดินออกจากบ้านไปอย่างอารมณ์ดี

----------------------------------- La Rose de l'Enfer -----------------------------


อาจารย์หนุ่มโสดวัย 28 ปี ผู้มีพร้อมสรรพทั้งหน้าตา ฐานะ และหน้าที่การงาน อีกทั้งยังทรงเสน่ห์ดึงดูดสะกดใจคนได้อย่างน่าประหลาด คงไม่แปลกหากจะมีคนแวะเวียนเข้ามาเพื่อทอดสะพานความสัมพันธ์ด้วยหวังให้อีกฝ่ายก้าวข้ามมาไม่วันใดก็วันหนึ่ง และนั่นเป็นเหตุให้ดวงหน้าคมคายที่อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจของ “จิ่งป๋อหรัน” นั่งอยู่ตรงหน้าของหยางหยางในตอนนี้

“มาทำไมอีก” อาจารย์หนุ่มกล่าวเสียงเรียบ

“วันนี้ผมมีเรื่องที่อาจารย์จะต้องสนใจแน่นอน ถ้าอาจารย์พอจะมีเวลาจะไปทานข้าวกลางวันกับผมสักหน่อย...” หยางหยางระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “...หรือดื่มกาแฟสักแก้ว”

“นี่ จิ่งป๋อหรัน ผมไม่ได้มีเวลาว่างมากมายขนาดไปกินข้าวดื่มกาแฟกับนักศึกษาทุกคนที่มีเรื่องอยากคุยด้วยได้หรอกนะ มีอะไรก็ว่ามา ถ้ามีอะไรที่ผมช่วยได้ก็จะช่วย” หยางหยางรวบรัดตัดความอย่างไม่ใส่ใจพลางเดินไปยังชั้นหนังสือด้านหลังโต๊ะทำงานเพื่อหาหนังสือที่ต้องการ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จิ่งป๋อหรันชวนเขาออกไปข้างนอกโดยไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน แต่นักศึกษาหนุ่มไม่เคยทำสำเร็จ หยางหยางวางระยะห่างไว้ชัดเจนเสมอ

จิ่งป๋อหรันถอนหายใจเบาก่อนพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อที่ดูออกอย่างง่ายดายว่าเสแสร้งแกล้งทำ

“ผมนึกว่าอาจารย์จะสนใจเรื่องเกี่ยวกับหนังสือเก่าคร่ำคร่าที่เราเจอกันที่หังโจวตอนทริปสำรวจคราวก่อนเสียอีก มันคงเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่แล้วเมื่อเทียบกับงานสำรวจสุสานราชวงศ์โจวที่อาจารย์กำลังทำอยู่”

อาจารย์หนุ่มชะงักมือที่กำลังไล่ไปตามสันหนังสือบนชั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา

“นายหมายถึง...”

มัทนะอเวจี ใช่ ผมพอจะหาคนที่รู้จักภาษาที่เขียนในหนังสือนั่นได้แล้ว”

“ใคร” หยางหยางรีบถามอย่างไม่รอช้า

จิ่งป๋อหรันยกยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่าเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างอารมณ์ดี

“ผมหิวข้าวจังเลยน้า จะกินคนเดียวก็เหงา ไม่รู้จะมีใครใจดียอมไปเป็นเพื่อนไหม” ดวงตาสีมะฮอกกานีหลุบลงอย่างอ่อนใจเมื่อรู้ว่าเขาไม่อาจปฏิเสธคนตรงหน้าได้อีกต่อไป เพราะข้อเสนอของอีกฝ่ายเป็นเหยื่อชั้นดีที่เขาเต็มใจเข้าตะครุบมันอย่างไม่ลังเล

----------------------------------- La Rose de l'Enfer -----------------------------

ท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัดในเดือนสิงหาคม ผู้ใช้แรงงานหาเช้ากินค่ำยังคงทำงานสู้แสงอาทิตย์อย่างไม่ย่อท้อ เสียงอุปกรณ์และเครื่องมือก่อสร้างที่กำลังถูกใช้งานดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ เม็ดเหงื่อผุดพรายทั่วใบหน้าคมสันของสถาปนิกหนุ่มแม้ไม่ได้ออกแรงมากนัก หยางฉี่หลิงมาตรวจแบบอาคารสำนักงานใหม่ที่อยู่ในความดูแลของบริษัทรับเหมาที่เป็นนายจ้างของเขา ทั้งที่การทำงานกลางแจ้งไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับเขาแต่วันนี้หยางฉี่หลิงมีอาการอ่อนเพลียจนเห็นได้ชัด

“คุณหยางครับ สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลย จะไปพักก่อนไหมครับ” หัวคนงานเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสถาปนิกหนุ่มมีสีหน้าซีดเซียวคล้ายคนไม่สบาย

“พักสักหน่อยก็ดีครับ สงสัยช่วงนี้คงนอนน้อยก็เลยเพลีย ๆ ” หยางฉี่หลิงตอบก่อนเดินตามหัวหน้าคนงานไปพักยังห้องพักชั่วคราวที่สร้างขึ้นใกล้กับบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง

ต้องเป็นเพราะฝันประหลาดนั่นแน่ ๆ หยางฉี่หลิงคิด

ความสัมพันธ์ของเขาและพี่ชายฝาแฝดระหองระแหงกันมาตั้งแต่เข้าวัยมัธยม เป็นเขาเองที่ตีตัวออกห่าง หยางหยางเจิดจ้าเกินไป หยางฉี่หลิงกลัวเกินกว่าที่จะเข้าใกล้ กลัวจะเป็นได้เพียงแค่เงา กลัว...ว่าตัวตนของเขาจะหายไป

หยางหยางเป็นที่รักของทุกคนมาตั้งแต่เด็ก เป็นนักเรียนดีเด่น เรียนดี ความประพฤติดี ทั้งยังสุภาพอ่อนน้อม เป็นที่รักใครของผู้คนรอบตัว ได้รับเลือกให้เป็นประธานนักเรียน และยังสอบเข้าเรียนคณะอักษรศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศด้วยคะแนนสูงสุด ช่างแตกต่างจากหยางฉี่หลิงโดยสิ้นเชิง เขาไม่ใช่คนมนุษยสัมพันธ์ดีนัก และเบื่อหน่ายเกินกว่าจะเสแสร้งแกล้งทำเป็นว่าสนุกสนานเวลาต้องพบปะผู้คนมากมาย ผลการเรียนปานกลาง และหากใช้กฎเกณฑ์ของบรรดาอาจารย์ฝ่ายปกครองก็นับได้ว่าเขาเป็นพวกเกเรอยู่สักหน่อย

การเป็นฝาแฝดที่เรียนโรงเรียนเดียวกันนั้นช่วยไม่ได้หากจะถูกเปรียบเทียบตลอดเวลาทั้งจากครูอาจารย์ เพื่อน รวมถึงพ่อแม่ ข้อดีเพียงอย่างเดียวที่หยางฉี่หลิงมีเหนือกว่าหยางหยางคือด้านกีฬา ชมรมบาสเก็ตบอลจึงเป็นที่เดียวที่เขามีตัวตนในฐานะหยางฉี่หลิง นอกจากนั้นแล้วเขาเป็นได้แค่เพียง “น้องชายฝาแฝดของหยางหยาง” เท่านั้น

หยางฉี่หลิงทำได้เพียงเฝ้ามองพี่ชายของตนอยู่ห่าง ๆ แม้จะตกหลุมรักในความงดงามราวแสงอาทิตย์นั้น แต่รอบตัวหยางหยางเจิดจ้าเกินไป เขาไม่อาจฝืนมองตัวเองเป็นเพียงเงาหมอกข้างกายพี่ชายต่อไปได้ แต่ความฝันในคืนที่ผ่านมาช่างแปลกประหลาดนัก พวกเขาทั้งสองต่างหลงใหลในรูปกายของกันและกันอย่างไม่อาจยับยั้งชั่งใจ ปล่อยให้เนื้อกายบดเบียดกระตุ้นความปรารถนา และเป็นเขาเองที่ข่มเหงรังแกกายอ่อนนั้น แม้ส่วนลึกในจิตใจจะลุ่มหลงและต้องการแต่เขาไม่เคยแสดงความรู้สึกออกมาแม้เพียงครั้ง ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน มันเป็นไปไม่ได้...

แต่ฝันนั่นกลับปลุกไฟกิเลสในใจให้ลุกโชน เขาพยายามกำจัดมันออกไป เขาตื่นขึ้นมาในเวลาที่เช้ากว่าปกติจึงออกไปวิ่งออกกำลังกายเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ที่คั่งค้าง หวังว่าจะสลัดภาพจากความฝันนั้นออกไปให้หมด แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะเมื่อเขากลับมาถึงบ้านก็พบกับท่าทีที่แตกต่างไปจากทุกวันของพี่ชายฝาแฝด ในยามปกติหยางหยางอาจจะใส่ใจเขาบ้างตามประสาพี่ชาย แต่วันนี้ต่างออกไป แววตาสีน้ำตาลแดงทรงเสน่ห์นั่นส่งกระแสยั่วยวนออกมาอย่างเปิดเผย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเศษซากอารมณ์จากความฝันหรือไม่ที่ทำให้สถาปนิกหนุ่มรู้สึกเช่นนั้น แต่สายตาของหยางหยางที่มองมาที่เขาในเช้าวันนี้นั้นราวกับจะยั่วยุตัณหาภายในใจของเขา หากไม่ห้ามใจตัวเองเขาคงจะกระชากร่างขาวนั่นมาสนองอารมณ์ให้สมใจเป็นแน่ แต่ก็ทำได้เพียงเสแสร้งแสดงว่าไม่พอใจกลบเกลื่อนไปเท่านั้น

เสียงเตือนสายเรียกเข้าของโทรศัพท์ส่วนตัวดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ที่คุ้นเคยมือแกร่งจึงกดรับสายอย่างไม่ลังเล

“ฮัลโหล ว่าไงอาเสียง” หยางฉี่หลิงเอ่ยทักทายคนปลายสายด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นเล็กน้อย เฉินเสียงเป็นเพื่อนของเขามาตั้งแต่สมัยมัธยม เพราะอยู่ชมรมบาสเก็ตบอลด้วยกันจึงสนิทสนมกันมานับแต่นั้น

“เย็นวันศุกร์นี้ว่างหรือเปล่า ออกมาเจอกันหน่อยไหม” เสียงหวานชักชวน มีหรือที่หยางฉี่หลิงจะปฏิเสธ

“ได้สิ ที่เดิมหรือเปล่า”

“อืม ที่เดิม แล้วเจอกันนะ”

“แล้วเจอกัน” เสียงตัดสัญญาณโทรศัพท์บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายวางสายไปแล้ว บางทีการออกไปพบกับเฉินเสียงคราวนี้อาจทำให้เขาลืมเรื่องราวที่รบกวนจิตใจอยู่ลงได้บ้าง


----------------------------------- La Rose de l'Enfer -----------------------------
เทพสวรรค์ผู้อาภัพหลับไม่สนิทดีนัก เนื้อตัวที่เปรอะเปื้อนและร่างกายที่ถูกยึดโยงไว้ด้วยโซ่ตรวนหนาหนักทำให้ไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างที่ร่างกายต้องการ ดวงตาอ่อนระโหยมองไปรอบ ๆ ห้องขังแคบ  แม้จะอยู่ที่นี่เพียงผู้เดียวแต่หยางหยางกลับรู้สึกถึงสายตาของใครบางคนที่กำลังจ้อมมองตนอยู่ มองไปรอบกายก็พบเพียงผนังอิฐสีทึบอับชื้น

ก่อนที่สติอันอ่อนแรงจะดับวูบลงอีกครั้ง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นแผ่วเบาแต่กังวานไปทั่วห้องขัง

“มองหาข้าอยู่หรือ มังกรสวรรค์”

เทพสวรรค์เกร็งตัวอย่างระแวดระวัง เสียงที่เหมือนกับเสียงของตนแต่เย็นชาและเต็มไปด้วยความกดดันเช่นนี้คงเป็นเสียงของผู้ใดไปไม่ได้นอกจากจอมปิศาจจางฉี่หลิง

“เป็นถึงจ้าวปิศาจเหตุใดจึงขี้ขลาด ลอบมองผู้อื่นแต่ไม่เปิดเผยตัวตนกันเล่า กิเลนดำ” แม้ไร้ซึ่งพลังและอำนาจจะต่อกรแต่เทพสวรรค์จะไม่ขอแสดงความอ่อนแอแม้เพียงนิด กล่าววาจาเย้ยหยันถือดีอย่างไม่เกรงกลัว

“หึหึ ปากกล้านักนะ อยากจะรู้เหลือเกินว่าเจ้าจะเย่อหยิ่งถือดีไปได้อีกสักเพียงไหนกัน”

จ้าวปิศาจประทับบนบัลลังก์ทองฉลุลายโบราณค่อย ๆ  ปรากฏสู่สายตาบนผนังห้องด้านหนึ่งตรงหน้าของเทพสวรรค์ ดวงตาสีนิลวาววับแฝงความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจชวนให้ไม่อาจไว้ใจ ถึงอย่างไรสภาพการณ์ตอนนี้หยางหยางก็ยังเป็นรอง เขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าชะตาชีวิตของเชลยนรกจะเป็นเช่นใด ทุกอย่างอยู่ในกำมือของผู้เป็นเจ้าของดวงตาคู่นั้น แม้ตนจะไม่เคยหวาดกลัวอันตรายใด ๆ จากชายผู้นี้ ขอเพียงเขาทำภารกิจสำคัญแห่งสายเลือดสำเร็จสิ้น แม้แต่วิญญาณหากอยากพรากไปจากร่างนี้ก็จะไม่ขอขัดขืน

“ยอมปรากฏตัวแล้วหรือ ไม่คิดมาก่อนว่าราชาแห่งนครอเวจีจะขลาดเขินเช่นนี้”

“ข้ามองเห็นเจ้าได้ทุกที่ไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ใดในแดนนรกนี้ หากอยากมองพินิจเจ้าให้ละเอียดถี่ถ้วนสักเพียงใด ข้าก็ไม่จำเป็นตรงมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เกรงแต่เพียงเจ้าเท่านั้นจะที่จะขลาดเขิน”

“...”

“หากอยากพบกันซึ่งหน้า ข้าก็จะให้เกียรติเจ้า ปรากฏกายทุกครั้งที่เฝ้ามองไม่ให้เจ้าต้องคอยมองหาอีกต่อไป” จอมปิศาจยิ้มเย็นเอนกายพิงพนักบัลลังก์ทองอย่างผู้เหนือกว่า เรียวขาวางทบซ้อนกันอย่างหยิ่งทะนงดูทรงอำนาจ นิ้วเรียวขาวซีดไล้ริมฝีปากได้รูปอย่างเชื่องช้าชวนให้หวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ยังลอยอ้อยอิ่งอยู่ในห้วงคำนึงชวนให้แก้มขาวซับสีเลือดบางเบา ดวงเนตรงดงามเสมองไปทางอื่นอยากสลัดละอองประหลาดที่ลอยในอกให้ออกไปในยามนี้

“เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะไม่กล้าสู้หน้าข้า...” จางฉี่หลิงเอ่ยต่อเมื่อเห็นวงพักตร์งามแต้มริ้วสีกุหลาบหลบสายตาด้วยความอึดอัดขัดเขิน เทพสวรรค์ผู้อ่อนเดียงสาต่อความใคร่ไหนเลยหาญสู้จ้าวนรกผู้ครองดินแดนโลกีย์

ดวงเนตรสีมะฮอกกานีตวัดกลับมายังจอมปิศาจตรงหน้าด้วยไม่อาจทนต่อคำเยาะราวกับจะท้าทายนั้น นัยน์เนตรมืดสนิทล้ำลึกของจ้าวอเวจีดุจหอกปลายแหลมที่ทิ่มแทงทะลุร่างกายของเทพสวรรค์ ดวงตาคู่นั้นแม้อยู่ห่างไปหลายช่วงตัวแต่หยางหยางกลับรู้สึกว่าแววตาทรงพลังกำลังโลมเลียตนใกล้เสียจนเส้นขนทั่วร่างกายต้องเกร็งตัว ผู้ทรงบัลลังก์ยังคงนั่งอยู่ด้วยกิริยานิ่งสนิทมีเพียงโอษฐ์เรียวที่ยกมุมขึ้นเพียงนิดแสดงความพึงใจ

เทพสวรรค์สัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องร่างกายของตนตั้งแต่แก้มนวลจับสีเลือดเลื่อนมายังลาดไหล่ขาวนวลประดับรอยกุหลาบหลักฐานแห่งห้วงอารมณ์ระหว่างตนกับจางฉี่หลิง ยิ่งคิดยิ่งชวนให้หวามไหว อกแกร่งแน่นตึงใต้อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์รับกับเอวคอดกลมกลึงและสะโพกสอบหนั่นแน่น ร่างกายที่แสนเย้ายวนนักในห้วงคำนึงของราชาปิศาจ ความกระหายในราคะสุมเพลิงในอกแสดงออกทางแววตาร้อนแรงราวกับจะเล้าโลมให้เชลยนรกต้องอ่อนระทวยอยู่แทบเท้า หากกระแสเนตรนั้นคือไฟคงแผดเผาเทพสวรรค์ให้มอดไหม้เป็นจุณ

มนตร์เสน่ห์แห่งจ้าวปิศาจที่เทพสวรรค์ไม่อาจต้านทาน ร่างกายร้อนรุ่มแม้เพียงแค่สายตาที่โลมเล้า จางฉี่หลิงกระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อเห็นเชลยผู้อ่อนเดียงสาหอบระโหยจากแรงอารมณ์ รอยช้ำจาง ๆ บริเวณมุมโอษฐ์ของจอมมารที่เพียงเวทมนตร์รักษาบทเดียวก็ทำให้สลายหายไปได้ แต่ราวกับเจ้าตัวจงใจทิ้งมันไว้เช่นนั้น หยางหยางเห็นแล้วความขัดเขินยิ่งรื้นขึ้นในอก มันคือหลักฐานแห่งกิเลสในตนที่เขาไม่อาจยับยั้งได้ ดวงตาสีน้ำตาลแดงหลุบเสมองไปทางอื่น ร่างขาวสั่นสะท้านบิดเกร็งตัวจากความวาบไหวเพียงแค่การเล้าโลมด้วยสายตาจากจอมปิศาจ

“เจ้าช่างอ่อนเดียงสาเสียจริง มังกรสวรรค์ ดินแดนบนฟากฟ้าที่สูงส่งนั่นคงประคบประหงมเจ้าเสียจนไม่รู้จักความใคร่เลยสินะ”

คำพูดหยอกล้อนั้นราวกับฝ่ามือที่ฟาดลงบนใบหน้ายังให้เทพสวรรค์ได้อับอาย หยางหยางผ่อนหายใจลึกเพื่อนระบายอารมณ์ที่ถูกปลุกปั่น

“เทพสวรรค์บำเพ็ญพรตมิข้องเกี่ยวโลกียะ เหตุใดจะเหมือนปิศาจเช่นพวกเจ้า”

“แต่ก็ระงับอารมณ์ของตนมิได้...”

“...”

“มังกรสวรรค์เอ๋ย ต่อให้เจ้าดูถูกนครอเวจีเพียงใด แต่หากเจ้าไม่อาจระงับกิเลสตัณหาในใจได้ ไหนเลยพวกเราจะควรค่าแก่การถูกดูหมิ่นจากเทพสวรรค์เช่นเจ้า เพียงดินแดนที่สถิตย์ ณ ฟากฟ้าหาได้สูงส่งกว่าผู้ใดในจักรวาล”

“ข้าดูถูกความต่ำช้าเพราะการกระทำ หาได้ยกตนเหนือผู้อื่นไม่” เทพสวรรค์สวนกร้าว

“เจ้าจะตกเป็นทาสของความต่ำช้าในดินแดนของข้าตลอดไป วันหนึ่งเจ้าจะต้องหมอบกราบ ก้มหัวให้ปิศาจที่เจ้าดูหมิ่นนักหนา” น้ำเสียงเย็นส่งกระแสคุกคาม

“เจ้าบังคับข้าได้แต่เพียงร่างกายเท่านั้น ทั้งจิตใจและวิญญาณ ตราบสิ้นลมหายใจในชาตินี้ เจ้าจะไม่มีวันได้รับการศิโรราบจากข้า” เสียงทุ้มแม้โรยแรงแต่หนักแน่น เจ้าของวาจาผู้รักในศักดิ์ศรีประกาศกร้าว

“หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอแฝงความน่ากลัวอย่างน่าประหลาด “ข้าแทบอดใจรอวันที่เจ้ากลืนน้ำคำตนเองไม่ไหวเลยเชียว มังกรสวรรค์” นัยน์ตาสีนิลมืดสนิทจับจ้องร่างตรงหน้าอย่างเยียบเย็นไร้แววของการเยาะหยัน มีเพียงคววามกดดันมหาศาลที่ถาโถมยังผลให้ทั่วร่างของเทพสวรรค์รู้สึกเย็นวาบในบัดดล ชะตาชีวิตที่เฝ้ารออยู่ข้างหน้าอาจน่าหวั่นเกรงเกินจะคาดคิด ผู้ได้ชื่อว่ามังกรสวรรค์ผู้กล้าหาญได้ลิ้มรสของความหวาดกลัวเป็นครั้งแรกนับแต่เหยียบแผ่นดินนรก


----------------------------------- La Rose de l'Enfer -----------------------------







โปรดติดตามตอนต่อไป

มัทนะอเวจี ตอนที่ ๓

“หลั่งเลือดเซ่นวิญญาณ”
TALK: ฝากฟิคเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจคนอ่านด้วยนะคะ ถ้าชอบหรือมีคำแนะนำติชมอย่างไร ก็ฝากคอมเมนท์ไว้ในบล็อกได้เลยเน้อ หรือถ้าใครเล่นทวิตเตอร์ก็เมนชั่นมาคอมเมนท์หรือคุยกันสนุก ๆ ได้ที่ @ConiCat_ ได้เลยนะคะ หรือจะติดแท็ก #มัทนะอเวจี ก็ได้ค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ^__^

3 ความคิดเห็น:

  1. ฮือออออ เราชอบมากเลย เราชอบมากเลย ชอบถึงขนาดว่าต้องมาแสดงความเห็นไว้ในนี้ ยิ่งตอนนี้เรากำลังเมากับหยางหยางร่างน้องแกะกับหมาป่าพอดีเลย และกำลังไถทวิตใน #หยางหยาง เลยเจอเรื่องนี้พอดี พอมาอ่านแล้ว ฮือออ ชอบจัง คนหนึ่งก็แกะน้อย อีกคนก็หมาป่าตัวร้าย โอ๊ย ตรงใจมาก บทบรรยายก็ดี ภาษาอ่านได้ลื่นไหลเห็นภาพ ก็ไม่รู้จะบอกยังไง แต่อยากให้รู้ว่ามีคนที่ชอบ และรออ่านนะคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณมากๆเลยนะคะสำหรับคอมมเมนท์ ดีใจมากๆเลย
      ดีใจที่มีคนชอบฟิคเรื่องนี้นะคะ อยากให้ลองอ่านหยางหยางหลาย ๆ คาร์แร็กเตอร์ในเรื่องเดียวกัน อิอิ :)

      ลบ
  2. ภาษาดีมากเลยค่ะชอบ ขอncหนักๆสักตอนค่ะ /นี่แหละจุดประสงค์ แฮ่ก //โดนตบตี55555555555555555555555

    ตอบลบ