วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

La Rose de l'Enfer 01 มัทนะอเวจี - ตอนที่ ๑ ราตรีสีเลือด


La Rose de l'Enfer มัทนะอเวจี ตอนที่๑ ราตรีสีเลือด

Pairing: หยางหยางXหยางหยาง


สงคราม... แม้ต่างจุดเริ่มต้น สุดท้ายก็เหลือเพียงซากปรักหักพัง


สัญญาณแห่งหายนะเริ่มต้นขึ้นยามท้องนภาย้อมด้วยสีหมึก ทุกอย่างเงียบสงัดราวกับอยู่กลางเมืองร้าง มีเพียงแสงไฟเรืองรองจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งภายในเต็มไปด้วยเทพสวรรค์ผู้กำลังบำเพ็ญสมาธิ จันทราสีเหลืองนวลปรากฏเงาประหลาดเข้ากลืนกินพื้นที่ก่อนค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานดั่งทาทาบด้วยโลหิต เสียงหวีดร้องของนกกาดังขึ้นราวกับระฆังสัญญาณของลางร้าย เทพนักพรตจำต้องละจากการบำเพ็ญภาวนาอย่างเสียมิได้ ดวงจันทร์สีแดงสุกปลั่งกลางราตรีที่มืดมิด ไม่ใช่ลางดีของชาวสวรรค์


เสียงอีการ้องขึ้นอีกครั้งแต่มีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมก่อนฝูงนกยักษ์เจ้าราตรีจะปรากฏตัวทั่วผืนฟ้าส่งเสียงดังระงมไปทั่ว กองทัพทมิฬปรากฏตัวอย่างกะทันหันและบุกทำลายนครแห่งฟากฟ้าพังพินาศเพียงพริบตา ชาวสวรรค์ไม่อาจต้านทานพละกำลังแห่งปิศาจในคืนราตรีสีเลือดที่ทรงพลังที่สุดได้


ผลจากการโรมรันที่เพิ่งจบลง ดินแดนสวรรค์ที่เคยสวยงาม บัดนี้เหลือเพียงฝุ่นผงและเศษซากของความอาดูร เทพสวรรค์หลายตนบาดเจ็บ สูญเสียพลังวิญญาณ และบางตนได้กลับคืนสู่การกำเนิด


ทั้งหมดเป็นฝีมือของ จางฉี่หลิง จ้าวปิศาจแห่งรัตติกาลผู้ฟื้นจากการหลับใหลนับหมื่นราตรี ความลับสวรรค์ถูกแพร่งพราย ความวิบัติจึงมาเยือน เมื่อจ้าวรัตติกาลผู้ครองนครอเวจีรับรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘มังกรสวรรค์’ เทพผู้รักษาแห่งดินแดนสุขาวดี เทพสวรรค์ตามคำทำนายว่าคือผู้ที่สามารถสังหารจ้าวปิศาจผู้เป็นอมตะได้





ดวงตาสีดำสนิทไม่ฉายความรู้สึกใด ๆ ทอดมอง ‘มังกรสวรรค์’ ที่ถูกจับมาเป็นเชลยนรกหลังจากสงครามสิ้นสุด   ร่างสูงกำยำครองอาภรณ์สีรัตติกาล ใบหน้าคมคายไร้ที่ติราวกับรูปวาด ใบหูคล้ายสัตว์ในตำนานบ่งบอกเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดแห่งจ้าวปิศาจ
เทพสวรรค์ผู้ไร้สิ้นกำลังถูกพันธนาการไว้ด้วยตรวนอาคมที่ยึดโยงข้อมือทั้งสองไว้ตรึงให้ร่างถูกยึดอยู่กับผนังด้านหนึ่งของห้องขังแคบ ๆ อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์บัดนี้เปรอะเปื้อนและหม่นหมองตามชะตาชีวิตของผู้เป็นเจ้าของ


"เจ้าเองหรือ มังกรสวรรค์ ตามคำทำนาย" เสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้น


ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นว่าใครคือผู้มาเยือนที่คุมขังมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างสมเพชในโชคชะตาของตน


"กิเลนดำ ไม่ได้พบกันนาน" น้ำเสียงทุ้มแต่แหบแห้งเอ่ยขึ้น


"ข้าไม่เคยพบเจ้า"


"เด็กน้อย..."


เผียะ! ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นฟาดลงบนใบหน้าของมังกรสวรรค์


"อย่าบังอาจพูดจาเช่นนี้กับข้า" น้ำเสียงเย็นเยียบไม่มีเค้าความเปลี่ยนแปลงแม้การกระทำจะแสดงถึงแรงโทสะ


ดวงตาสีดำสนิทพินิจเทพสวรรค์ที่ถูกจับมาเป็นเชลยนรกอย่างสนใจ


มันต้องไม่ใช่ความบังเอิญ


มังกรสรรค์ หรือ เทพหยางหยาง ช่างมีใบหน้าที่ละม้ายกับตนเสียจนแยกแทบไม่ออก ต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับคำทำนาย


“อำนาจยิ่งใหญ่ล้นฟ้า กลับกลัวสิ่งกระจอกไร้ค่าเช่นความตาย น่าสมเพชนัก” หยางหยางเอ่ยอย่างท้าทาย


“ข้าไม่เคยกลัวความตาย”


“แล้วที่จับข้ามา ไม่ใช่เพราะคำทำนายที่ว่าข้าสามารถฆ่าเจ้าได้หรืออย่างไร”


“ฉลาด แต่ปากคอเราะรายเช่นเจ้า ไม่มีใครเคยบอกหรือว่าจะทำให้อายุสั้น”


“ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดาของโลก” เทพสวรรค์กล่าว


จ้าวปิศาจหัวเราะอย่างบ้าคลั่งกับคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน


“นั่นคงเป็นตรรกะของชาวสวรรค์เช่นพวกเจ้า ถึงได้อ่อนแอไร้กำลังเช่นวันนี้ ข้าแทบไม่ต้องลงแรงอะไร สวรรค์ก็พังราบอยู่แทบเท้าข้า”


“พลังของเราไม่ได้มีไว้เพื่อสู้รบ พวกเรามีอยู่เพื่อรักษาสมดุลของโลก และพวกเจ้าก็คือผู้ทำผิดกฎแห่งสมดุล สักวันนครอเวจีจะต้องพบจุดจบ”


“สมดุลของโลก ฮะฮะฮ่า พวกเจ้ายังเชื่อตำนานคร่ำครึแบบนั้นอยู่อีกหรือ หากสมดุลนั่นมีอยู่จริง สวรรค์ที่พินาศลงวันนี้ส่งผลอะไรบ้างล่ะ หรือแค่ตั้งอยู่...แล้วก็ดับไป” น้ำเสียงเย็นฉายแววเย้ยหยัน


“เจ้าช่างอ่อนต่อโลกนัก กิเลนดำ ความโลภในความเป็นอมตะของเจ้าบดบังทุกอย่าง เจ้าไม่เคยเห็นอะไรเลย” หยางหยางกล่าวอย่างไม่เกรงกลัว สวรรค์ไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้น แค่กองทัพปิศาจเพียงหยิบมือ มีหรือจะทำลายนครศักดิ์สิทธิ์แห่งฟากฟ้าให้สิ้นซากได้ เรื่องนี้จางฉี่หลิงไม่จำเป็นต้องรู้ ปิศาจอย่างไรก็คือปิศาจ ลุ่มหลงในอำนาจของตนอย่างมืดบอด


“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อปากต่อคำกับเจ้า” จางฉี่หลิงเงียบไปก่อนขยับตัวเข้าไปใกล้หยางหยางมากขึ้น มือเรียวขาวซีดที่มีเล็บสีนิลอันแหลมคมเอื้อมไปเชยคางอีกฝ่ายก่อนจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีมะฮอกกานีที่ก่อนหน้านี้เคยสดใสและสวยงามที่สุดบนดินแดนสวรรค์ ดวงตาสีนิลพินิจดวงหน้าขาวทั้งรูปหน้า ตา จมูก ปาก ไม่มีส่วนไหนเลยที่แตกต่างจากเขา ช่างเป็นเรื่องน่าพิศวงที่สิ่งมีชีวิตสองเผ่าพันธุ์จะมีใบหน้าที่เหมือนกันถึงเพียงนี้ อาจมีความลับบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้


“เจ้าบอกว่าเจ้าเคยพบข้า...” น้ำเสียงเย็นเปรยขึ้นหลังจากเงียบไปนาน


“เราเคยพบกัน” หยางหยางตอบเพียงเท่านั้น ไม่ได้คลายความสงสัยให้กับจางฉี่หลิงแต่อย่างใด


“เจ้าคงจะรู้ ว่าทำไมข้าและเจ้าถึงได้มีใบหน้าเหมือนกันถึงเพียงนี้”


“ฮะฮะ” หยางหยางหัวเราะแหบแห้ง เวทนาจ้าวปิศาจผู้ยิ่งใหญ่ มีอำนาจล้นฟ้า แต่แม้แต่กำเนิดของตนก็ยังไม่รู้ช่างน่าสมเพชนัก “เจ้าช่างอ่อนเดียงสานัก กิเลนดำ”


เล็บคมกดลงบนใบหน้าของหยางหยางแรงขึ้นบอกถึงแรงโทสะที่เทพสวรรค์ใส่ไฟเข้าไปด้วยคำพูดของตน


“เมื่อเจ้าไม่อยากตอบก็ไม่จำเป็นต้องตอบ วันหนึ่งข้าก็ต้องรู้อยู่ดี ไม่ความลับอะไรปิดบังข้าได้”


“อย่างนั้นหรือ” หยางหยางสวนกลับด้วยน้ำเสียงและแววตาท้าทาย


เล็บคมที่กดอยู่บริเวณข้างแก้มของดวงหน้าขาวค่อย ๆ ขยับแต่ไม่ลดแรงกดลง ใบหน้างดงามที่เคยปราศจากมลทินใด ๆ บัดนี้มีรอยกรีดลึกเป็นทางยาว หยางหยางอดกลั้นความเจ็บปวดไว้ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา จ้าวปิศาจค่อย ๆ กรีดเล็บแหลมคมจากปลายคางยาวไปถึงโหนกแก้ม เลือดสีแดงค่อย ๆ ซึมออกมาตามรอยแผลที่ถูกกรีด จางฉี่หลิงขมวดคิ้วเพียงนิดอย่างแปลกใจก่อนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน


“เลือดมนุษย์...มังกรสวรรค์เป็นมนุษย์หรอกหรือ"


หยางหยางไม่ได้ตอบอะไร เขากำลังพลาดท่า เลือดของเขามีคำตอบของความลับมากมายที่จางฉี่หลิงอยากรู้


ดวงหน้ารูปสลักของจ้าวปิศาจโน้มเข้ามาใกล้หยางหยางมากขึ้น จมูกคมสันจรดลงเหนือบาดแผลยิ่งทำให้จางฉี่หลิงฉงนใจเป็นที่สุด เลือดมนุษย์ที่ไม่มีกลิ่นคาว เป็นไปได้อย่างไร


เพื่อคลายความสงสัย ริมฝีปากหยักลึกจรดลงเหนือโหนกแก้มแผ่วเบา ค่อย ๆ กดแนบสนิท ลิ้นเรียวทำงานตามสัญชาตญาณดูดชิมหยาดโลหิตบนผิวแก้มนวล ยิ่งได้ลิ้มรสราวกับเสพยาเสพติด สัญชาตญาณปิศาจไม่อาจอดกลั้นจากอาหารอันโอชะได้ จางฉี่หลิงลิ้มรสเลือดของหยางหยางอย่างตะกละตะกลามตั้งแต่นวลแก้มจรดปลายคาง


ผลจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ทำให้หยางหยางหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปมาก และพิษบาดแผลจากคมเล็บปิศาจกำลังทำให้หยางหยางมึนงง บริเวณที่ถูกดูดเลือดออกไปนั้นร้อนราวกับไฟจนเทพสวรรค์มิอาจปิดกลั้นเสียงครางไว้ได้


“อ๊าาาาา…”


ราวกับเสียงนั้นเป็นสัญญาณกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของจ้าวปิศาจ ชั่วขณะที่ดวงตาสีมะฮอกกานีที่ฉ่ำน้ำตาแห่งความเจ็บปวดสบเข้ากับดวงตาสีนิลมืดสนิท ราวกับปลดล็อคกงล้อแห่งเวทมนตร์ จ้าวปิศาจผู้เย่อหยิ่งทะนงตนจนหลงลืมไปว่าควรจะระวังตัว โดยเฉพาะผู้ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนตนจนแยกไม่ออก อาจจะไม่ได้เหมือนเพียงรูปกาย แต่รวมถึงพลังบางอย่าง
มนตร์เสน่ห์… พลังลี้ลับแห่งจ้าวปิศาจ พลังที่ทำให้จางฉี่หลิงแตกต่างไปจากจ้าวปิศาจตนก่อน ๆ ที่มีแต่ความน่ากลัวและน่าเกรงขาม ในยุคของจางฉี่หลิง เขาสามารถรวบรวมขุมนรกเป็นปึกแผ่นได้ด้วยความแข็งแกร่งและเสน่ห์ของเขา เสน่ห์ของความเป็นผู้นำ ชวนให้ทั้งศรัทธา...และลุ่มหลง เสน่ห์ล้ำลึกที่ทำให้ปิศาจทั่วทั้งดินแดนรัตติกาลยอมสยบอยู่ใต้อำนาจ พลังที่ทำให้จางฉี่หลิงเป็นจ้าวปิศาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบพันปี บัดนี้จ้าวปิศาจกำลังต้องมนตร์นั้นเสียเองจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเชลย


ความเย้ายวนของใบหน้าที่อ่อนระโหยดวงตารื้นฉ่ำช่างเชิญชวนนักในความคิดของผู้เป็นใหญ่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ริมฝีปากทั้งสองแนบสนิท ผู้ช่ำชองกว่าคุมเกมด้วยการบดเบียดเคล้าคลึงความนุ่มหวานแสนอ่อนประสบการณ์ ริมฝีปากแกร่งขยับเม้มทั้งหลอกล้อและคุกคามอยู่ในที ดูดดึงเร่งเร้าให้ริมฝีปากอ่อนยอมรับตัวตนที่เรียกร้อง ความนุ่มหยุ่นทั้งหวานล้ำและร้อนเร่า เกี่ยวกระหวัดโรมรันดังบทหนึ่งแห่งสงครามในตำนาน ราชามังกรผู้อ่อนหัดจำต้องพ่ายแพ้ปิศาจกิเลนผู้กล้าแกร่ง


จักรพรรดิแห่งรัตติกาลตักตวงความหอมหวานจากริมฝีปากบริสุทธิ์จนบอบช้ำแต่หาได้คลายเพลิงสุมในทรวงที่ปะทุออกมาไม่ เวลานับเหมื่นราตรีที่บำเพ็ญตบะให้แกร่งกล้าหาได้ลดไฟราคะในหฤทัย กอปรกับมนตร์เสน่ห์แห่งสายเลือดไม่เสื่อมคลาย จางฉี่หลิงจึงไม่อาจหยุดความต้องการของตนได้ในยามนี้ มือขาวซีดค่อยๆขยับเค้น ตะโบมนวลเนื้อบริสุทธิ์อย่างหิวกระหาย ลำตัวที่บดเบียดเสียดสีกันเป็นชนวนชั้นดีให้เพลิงพิศวาสโหมกระพือ


อุณหภูมิของลมหายใจของสองร่างขยับสูงขึ้นด้วยไฟสวาท ดวงตาของเทพสวรรค์ปิดปรือด้วยความงุนงงและเผลอไผล เทพผู้บำเพ็ญเพียรไม่เคยต้องรสแห่งราคะจึงไม่อาจต้านทานความล่อลวงแห่งตัณหา กายแกร่งบดเบียดเคียดเค้นกระตุ้นกายอ่อนทั่วสรรพางค์ เป็นความรู้สึกที่หยางหยางไม่เคยได้สัมผัสราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลไปทั่วร่างทุกจุดที่สองกายสัมผัสกัน ความอึดอัดแสนหฤหรรษ์ถั่งโถมเพิ่มพูนจนเกินจะต้านทานไหว ฉับพลันราวกับมีใครมาเปิดรอยรั่วกลางมหาสมุทร มหานทีถูกสูบวืดสู่พื้นพิภพ


“อ๊า......”


ร่างขาวบิดเกร็งกระชากโซ่ตรวนที่พันธนาการข้อมือตนไว้ให้กระทบผนังห้องกังวานก้อง จางฉี่หลิงครางต่ำจิกเล็บบนเอวสอบเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ที่ทะยานสู่จุดสูงสุด


จ้าวนรกฝากรอยอารมณ์สีจางไว้บนลาดไหล่ขาวนวล เทพหยางหยางผู้ที่เพิ่งทำความรู้จักกับอารมณ์สวาทเป็นครั้งแรกหอบตัวโยน เนื้อตัวระเรื่อสีชมพูราวเด็กแรกเกิด จางฉี่หลิงยืนมองร่างที่เขาเพิ่งใช้ระบายอารมณ์ของตนยกยิ้มด้วยท่าทีพอใจ
“อาจไม่ใช่ข้ากระมังที่อ่อนเดียงสา เจ้าว่าไหม มังกรสวรรค์” จ้าวปิศาจเยาะเย้ยก่อนระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจที่กำราบเทพปากดีให้รู้สำนึกเสียบ้าง


ร่างของจางฉี่หลิงค่อย ๆ เลือนหายไปจากห้องขัง แต่เสียงหัวเราะยังก้องกังวานราวกับสะกดจิตให้หยางหยางแทบคลั่งด้วยความเจ็บใจและอับอาย


“เจ้ามันคือซาตาน” เสียงอ่อนแรงตอบโต้กับอากาศธาตุเพียงเท่านั้นก่อนสติสุดท้ายจะดับวูบไป







อีกด้านหนึ่ง ณ ท้องพระโรงแห่งนครอเวจี ห้องโถงยาวคราคร่ำไปด้วยปิศาจหลากเผ่าพันธุ์เพื่อรอรับเสด็จราชาแห่งมวลปิศาจ หลังจากภารกิจบุกสวรรค์สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และนี่เป็นครั้งแรกในรอบหมื่นราตรีหลังจากจ้าวปิศาจบำเพ็ญเพียรเพื่อฝึกวิชาจนเสร็จสิ้น พวกมันกำลังเฝ้ารอข่าวดี


การฉลองอันยิ่งใหญ่ อาหารอันโอชะ...


และอำนาจหอมหวานจากบำเหน็จรางวัลชั้นเลิศที่จ้าวปิศาจจะกรุณาประทานให้


บัลลังก์ยกสูงฉลุลายโบราณประดับอัญมณีสีทึบตั้งอยู่ด้านในสุดของท้องพระโรงที่ก่อนหน้านี้ว่างเปล่า ค่อย ๆ ปรากฏร่างของจ้าวปิศาจประทับมองเหล่าบริวารด้วยสีหน้าพึงใจ เสียงเซ็งแซ่ค่อย ๆ เงียบลง ปิศาจทุกตนถวายความเคารพจางฉี่หลิงอย่านอบน้อม เหล่าปิศาจทั้งหลายรู้สึกแปลกใจที่เห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ประดับอยู่บนดวงพักตร์ของราชาปิศาจผู้มีใบหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจ


นี่อาจจะเป็นลางดี


“ขอบใจพวกเจ้ามาก ที่มารอข้าที่นี่ พวกเจ้าทำหน้าที่ได้ดีอย่างที่เคยเป็นมา”


“บัดนี้สวรรค์สูญเสียพละกำลังไปมาก หากพระองค์มีแผนจะครอบครองสวรรค์ล่ะก็...” ปิศาจบรรดาศักดิ์สูงตนหนึ่งเอ่ยขึ้น


“เรื่องนั้นข้าไม่ได้สนใจ” จ้าวปิศาจกล่าวปัด


“ข้อขอแสดงความยินดีกับท่าน ที่บำเพ็ญเพียรสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ด้วยปรีชา การบุกสวรรค์คราที่ผ่านมาจึงไม่ต่างกับพ่นลมหายใจทิ้งเท่านั้น” ปิศาจดวงหน้าคมคายตนหนึ่งเอ่ยขึ้น ลักษณะภายนอกบ่งบอกว่าเป็นเผ่าพันธุ์กิเลนเช่นเดียวกับราชาปิศาจ


“ขอบใจมาก เฉินเสียง”


“ตามธรรมเนียมแล้ว สำหรับชัยชนะครั้งนี้ ท่านเห็นอย่างไรหากเราจะจัดงานเฉลิมฉลอง”


“เอาสิ ข้ากำลังหาเรื่องบันเทิงใจอยู่พอดี”
“ข้าได้ยินว่าศึกครั้งนี้พวกเรามีเชลย...” จ้าวปิศาจแย้มสรวล ตามธรรมเนียมแล้ว เชลยคืออาหารของเหล่าปิศาจ เสียแต่ว่าเชลยตนล่าสุดนี้ เขาอยากจะเก็บไว้เป็นของเล่นส่วนตัวเสียมากกว่า


“งานฉลองนี้ข้าจะทำพิธี”


“พิธีอะไรหรือท่านจ้าว”


“หลั่งเลือดเซ่นวิญญาณ”


บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบชั่วอึดใจ ความเสียดายในอาหารอันโอชะไม่เทียบเท่ากับความน่ากลัวของพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่จ้าวปิศาจเพิ่งกล่าวถึง เชลยครานี้ช่างน่าสงสารนัก ตายเสียยังดีกว่าต้องเข้าร่วมพิธีนี้ แม้ปิศาจหลายตนยอมสังเวยวิญญาณเพื่อเข้าพิธีนี้เพื่อแลกกับอำนาจอันยิ่งใหญ่ในแดนนรก แต่สิ่งที่สูญเสียนั้นไม่คุ้มเลย แม้จะในสายตาปิศาจด้วยกัน


จางฉี่หลิงแทบเฝ้ารอเวลาสำหรับของเล่นชิ้นใหม่แทบไม่ไหว นิ้วมือขาวซีดไล้มุมปากที่มีรอยช้ำคล้ายขมเขี้ยวให้กระหวัดไปนึกถึงรสจุมพิตแปลกใหม่จากเทพสวรรค์ที่เขาเพิ่งเคยได้สัมผัส หมายมาดที่จะทำลายความถือดีและจิตใจอันบริสุทธิ์นั้นให้แหลกสิ้นคามือ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเองกำลังติดบ่วงมนตร์เสน่ห์ของหยางหยาง มนตร์วิเศษที่เขาใช้กับปิศาจตนอื่นมานักต่อนัก พลังลึกลับที่แม้เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้และเป็นจางฉี่หลิงเองที่ปลุกมันขึ้นมา


เหนือท้องพระโรงที่ไร้ซึ่งเพดานเปิดสู่ท้องนภามืดสนิท ดวงจันทร์ยังคงเป็นสีแดงสุกปลั่งราวกับร้องรับพันธะสัญญาแห่งเลือด โซ่ตรวนที่กักขังวิญญาณสองดวงมานับพันปี บัดนี้กงล้อแห่งโชคชะตาขยับเคลื่อนอีกครั้ง นับจากราตรีนี้...สายเลือดที่ไหลเวียนจะเรียกร้องวิญญาณแห่งตัวตน






To be continue
TALK: เพิ่งเคยแต่งอะไรแบบนี้ครั้งแรก ตื่นเต้นนิดหน่อย สนองนี้ดตัวเองล้วน ๆ ถ้ามีคนชอบก็จะดีใจมากค่ะ แหะ ๆ โค้งงงงง

1 ความคิดเห็น:

  1. สนุกมาก จริง ๆ นะ อยากอ่านต่อจนจบเลย
    กลับมาแต่งต่อหน่อยสิ >,.<

    ตอบลบ