วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[Special Fic] INSIDE ME backstage #เบื้องหลังคอนเสิร์ตของเฉินเหว่ยถิง Part 7

[Special Fic] INSIDE ME backstage #เบื้องหลังคอนเสิร์ตของเฉินเหว่ยถิง Part 7

พบกันอีกครั้งกับฟิค #เบื้องหลังคอนเสิร์ตของเฉินเหว่ยถิง
ซึ่งคราวนี้มาในธีมคอนเสิร์ต INSIDE ME ของเฮียถิงค่ะ
โดยเราจะเขียนต่อกัน 6 คนคนละ 2 หน้าถ้วน ไม่มีการบอกพล็อต ต่อแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้
อยากรู้ไหมคะ ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป มาลุ้นด้วยกันสิคะ :D

Part 1 by @ConiCat
Part 2 by @cmart138
Part 3 by @kakujo59
Part 4 @Essorhino
Part 5 @en_gen95
Part 6 by @zpctxv


Part 7

หลี่อี้เฟิงทำตัวมีลับลมคมใน
แปลก...แปลกจริง ๆ
ปกติเวลาที่อี้เฟิงมาหาเหว่ยถิง พระเอกหุ่นจ้ำม่ำมักจะพูดจ้อไม่หยุด เม้ามอยแบบไม่เหลือช่องว่างให้เขาแทรก แต่คราวนี้ดูแปลกไป ดวงหน้าหวานเรียบนิ่ง คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นระยะ บางครั้งก็มีประกายแวววาวดีใจเหมือนมีบางอย่างบรรลุวัตถุประสงค์
“อี้เฟิง ไม่ไปอาบน้ำเหรอ ดึกแล้วนะ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
“นายนอนก่อนเลย เดี๋ยวฉันง่วงจะตามไปเอง”
“อะไรกัน อุตส่าห์มาค้างห้องฉันทั้งที จะต่างคนต่างนอนเหรอเนี่ย”
“เออน่า เดี๋ยวตามไป” หลี่อี้เฟิงตอบแต่ตายังคงจ้องโทรศัพท์มือถือไม่กระพริบ เฉินเหว่ยถิงได้แต่ถอนหายใจก่อนเดินเข้าห้องนอนไป

เวลาล่วงเข้าวันใหม่มากว่าสามชั่วโมง แต่ที่ว่างด้านข้างบนเตียงเดียวกันยังคงว่างเปล่าและเย็นชืด
หลี่อี้เฟิงไปไหน
เฉินเหว่ยถิงค่อยเปิดประตูห้องนอนออกมา ในห้องนั่งเล่นส่วนกลางของห้องภายในคอนโด มีแสงไฟสีส้มอ่อนพอให้ความสว่างจากโคมไฟดวงย่อม
หลี่อี้เฟิงยังไม่หลับ แขกของห้องยังคงนั่งมองโทรศัพท์ด้วยท่าทีสุขุม ยังไม่ทันที่เฉินเหว่ยถิงจะได้เอ่ยทักอะไร ก็เหมือนจะมีสายเข้ามายังโทรศัพท์ของอี้เฟิงเสียก่อน
“ฮัลโหล อืม ถ้าเร็วกว่านี้สักสองวิ นายโดนฉันด่าแน่”
“...”
“อือ มีของที่ต้องการพอดี ถ้าครบภายในคืนนี้ก็มิชชั่นคอมพลีท”
“...”
“โอเค ฉันจะเป็นเจ้าภาพเอง เชิญพวกนายมารับส่วนบุญได้เลย”
“...”
“อะไร นี่ใคร นี่ป๋าหลี่อี้เฟิง ไม่รู้จักเหรอ เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อยน่า”
“...”
“พรุ่งนี้นัดสำคัญ อย่าให้เสียเที่ยวล่ะ ถ้าสำเร็จล่ะก็ พวกเราก็รวยกันเละ อยากซื้ออะไรก็ซื้อได้เลยล่ะทีนี้”
“....”
“อย่าลืมล่ะ ซากุระบานตอนสามทุ่ม หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงเราจะบุกกัน”
หลี่อี้เฟิงยิ้มกริ่มให้กับสายโทรศัพท์ที่เพิ่งวางไป ใบหน้าหวานฉายรอยความพึงพอใจ
นี่มันอะไรกัน...
วันนี้มีหลายคนบุกมาหาเขาที่ห้อง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเขาจริงจัง แถมคนพวกนี้ก็ดูเหมือนมีความลับบางอยู่ที่รู้กัน โดยที่เขาไม่อาจล่วงรู้
เหมือนเป็นขบวนการ...อะไรสักอย่าง
ของที่ต้องการ
มิชชั่นคอมพลีท
รวยเละ
ซากุระบาน...
และ... บุก!
หรือว่า...!?!?
เฉินเหว่ยถิงสับสนถึงขีดสุดกับความคิดของตัวเอง คนพวกนี้อาจอยู่ในขบวนการอะไรบางอย่าง และอาจกำลังใช้ห้องของเขาเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังพล
ให้ตายเถอะ คนพวกนี้กำลังทำอะไรกัน
หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายหรอกนะ
แล้วถ้าใช่ล่ะ... เขาควรแจ้งตำรวจหรือเปล่า
คนพวกนี้เป็นเพื่อนในวงการที่รู้จักสนิทสนมกันมาหลายปี และทุกคนก็กำลังไปได้สวยในอาชีพของตัวเอง เขาไม่อยากให้ทุกคนต้องมาพัวพันเรื่องอื้อฉาว
เขาควรจะทำทำยังไงดี เข้าไปห้ามดีไหมนะ

แกร๊ก...

เพราะไม่ทันระวังตัว เหว่ยถิงเผลอเตะขาเก้าอี้โต๊ะกินข้าวบริเวณที่ตนเองแอบอยู่ หลี่อี้เฟิงชะงักก่อนลุกขึ้นยืนและหันมามองทางเจ้าของห้อง สายตาหวานคมมองเฉินเหว่ยถิงตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเอ่ยคำพูดที่ทำให้ร่างสูงชาวาบ
“อ่า...ไม่คิดว่าของจริงจะเล็กแบบนี้นะ”

TBC

ทวงตอนต่อไปได้ที่ @cmart138 ค่า

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[Special Fic] INSIDE ME backstage #เบื้องหลังคอนเสิร์ตของเฉินเหว่ยถิง Part 1

[Special Fic] INSIDE ME backstage #เบื้องหลังคอนเสิร์ตของเฉินเหว่ยถิง Part 1

พบกันอีกครั้งกับฟิค #เบื้องหลังคอนเสิร์ตของเฉินเหว่ยถิง
ซึ่งคราวนี้มาในธีมคอนเสิร์ต INSIDE ME ของเฮียถิงค่ะ
โดยเราจะเขียนต่อกัน 6 คนคนละ 2 หน้าถ้วน ไม่มีการบอกพล็อต ต่อแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้
อยากรู้ไหมคะ ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป มาลุ้นด้วยกันสิคะ :D




Part 1
เสียงเพลง และเสียงขยับร่างกายดังก้องกังวานในสเตเดียมที่โอบล้อมด้วยที่นั่งว่างเปล่า ผู้ชายร่างสูงสมส่วนกำลังขยับร่างกายอย่างพลิ้วไหวเป็นหนึ่งเดียวกับจังหวะดนตรี เสื้อกล้ามสีขาวไม่อาจปิดบังกล้ามเนื้อที่ดูจะแข่งขันกันอวดตัวเองผ่านผ้าเนื้อบาง รอยชื้นเหงื่อทำให้ผ้าสีขาวแนบไปกับกล้ามเนื้อหนั่นแน่น หยดน้ำเกาะพราวบนใบหน้าหล่อเหลา เพิ่มเสน่ห์ให้คนที่ยืนอยู่ใจกลางเวทีจนทำให้คนมองไม่อาจละสายตา
ทั้งหมดอยู่ในสายตาที่อยู่หลังกรอบแว่นสีดำ
“ทำดีมาก เหว่ยถิง วันนี้พอแค่นี้ก่อน” สต๊าฟคนหนึ่งกล่าวขึ้นหลังจากการซ้อมการแสดงชุดสุดท้ายจบลง
อีกไม่กี่วันทัวร์คอนเสิร์ต INSIDE ME ของ เฉินเหว่ยถิงก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น สองปีที่ผ่านมากับการเข้ามาทำงานในจีนแผ่นดินใหญ่ ความนิยมของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ระหว่งที่เขากำลังเตรียมตัวสำหรับทัวร์คอนเสิร์ต ละครที่เขาได้รับบทเป็นนักแสดงนำก็ถูกฉายผ่านสายตาประชาชนอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะละครที่กำลังฉายอยู่ในตอนนี้ เก้าสกุลซึ่งเป็นเรื่องคาบเกี่ยวกับนิยายดัง ก็กำลังเป็นกระแส และปลุกความนิยมในตัวเขาให้เพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม ใคร ๆ ต่างก็บอกกันว่าปีนี้เป็นปีทองของเฉินเหว่ยถิง
แต่ชื่อเสียง ไม่เคยได้มาโดยง่าย ยิ่งขึ้นสูง ยิ่งอันตราย
นอกจากความทุ่มเทและพยายามของตัวเฉินเหว่ยถิงเองแล้ว เขายังต้องแลกด้วยความลำบากใจบางอย่าง
บางที โลกนี้อาจมีสิ่งที่เรียกว่า กฎของการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม อยู่จริง ๆ ก็ได้...
ความลำบากใจของเฉินเหว่ยถิงก็คือสายตาหลังกรอบแว่นของผู้ชายร่างอวบระยะสุดท้าย เจ้าของบทประพันธ์ต้นฉบับของละครที่เขาแสดงเป็นตัวเอกซึ่งกำลังออกอากาศอยู่ในตอนนี้
น่าเบื่อ...
เพราะเป็นคนฮ่องกง การได้รับการยอมรับจากแผ่นดินใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะมีผู้สนับสนุนที่ดีเขาจึงยังยืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากมีปัญหากับใคร


“ไง เหว่ยถิง ซ้อมวันนี้เหนื่อยไหม”
“ก็เหมือนทุกวันครับ ชินแล้ว”
“แหม่ เดี๋ยวนี้ก็แข็งแรงขนาดนี้น่ะนะ” อีกฝ่ายพูดพลางมองไปตามกล้ามเนื้อของร่างสูง “น่าเสียดาย เก้าสกุลน่าจะถ่ายทำหลังเตมูจิน” ประกายตาของคนพูดพราวขึ้นแบบที่เฉินเหว่ยถิงไม่ไว้ใจสักเท่าไหร่
“ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวก่อนนะครับ”
“อ้าว ยังไม่ทันคุยกันสักเท่าไหร่เลย วันนี้ฉันอุตส่าห์ว่างมาดูเธอซ้อม”
“พอดีผมมีนัดน่ะครับ”
“นัดเหรอ... พ่อหนุ่มตรงนั้นหรือเปล่า แนะนำให้ฉันรู้จักบ้างสิ” เฉินเหว่ยถิงไม่เคยพบเจอใครตื๊อเก่งเท่าผู้ชายคนนี้ ปรายตามองผู้ชายผิวขาวร่างสูงตัดผมสั้นเกรียนที่นั่งรออยู่มุมหนึ่งของสเตเดียมแล้วพยายามหาเหตุผลบ่ายเบี่ยง “พอดีฉันมีโปรเจกต์ใหม่น่ะ ว่าจะทาบทามเขาอยู่ รู้จักกันไว้สักหน่อยน่าจะดี” แล้วเฉินเหว่ยถิงก็จนปัญญาจะปฏิเสธ
ด้วยความจำใจ เฉินเหว่ยถิงจึงเดินนำ หนานไพ่ซานซูไปทางผู้ชายอีกคนที่นั่งรออยู่
แล้วก็มีเสียงแว่ว ๆ จากสต๊าฟคอนเสิร์ตที่กำลังเก็บของอยู่ดังมาเข้าหู
“ตาแก่นี่คิดจะงาบผู้ชายหล่อ ๆ ทุกคนเข้าฮาเร็มตัวเองหมดเลยหรือยังไงนะ”


“สวัสดีครับ ผมอู๋อี้ฝาน ได้ยินชื่อเสียงของคุณมานาน ดีใจที่เจอกันครับ” คนอายุน้อยกว่าชิงแนะนำตัวก่อนอย่างมีมารยาท พลางยื่นมือออกมาทักทาย
“ฉันก็อยากเจอเธอมานานแล้วเหมือนกัน” อีกฝ่ายพูดด้วยประกายตาแวววาว กระชับมืออู๋อี้ฝานแน่นเข้าราวกับจะไม่ยอมปล่อย
เฉินเหว่ยถิงหรี่ตามองนักเขียนใหญ่ด้วยความหงุดหงิดใจ แต่ก็พยายามอดกลั้นอาการให้แสดงออกมาน้อยที่สุด
“นิยายของคุณสนุกมากครับ ละครของคุณผมก็ได้ดูด้วย โปรดักชันดีมาก ๆ เลยครับ”
“โปรดักชันของเหล่าจิ่วเหมินหรือเต้ามู่ปี่จี้ล่ะ” เฉินเหว่ยถิงพูดลอย ๆ
นักเขียนร่างท้วมกระแอมเบา ๆ ก่อนหันไปคุยกับเด็กหนุ่มที่เขาอยากรู้จัก
“เธออยากมาร่วมงานกับฉันบ้างไหมล่ะ จริง ๆ ฉันก็สนใจเธออยู่มากทีเดียว”
“เอ่อ เป็นเกียรติมากครับที่นักเขียนใหญ่อย่างคุณชวนผม แต่ช่วงนี้ผมมีงานที่ต้องเดินทางต่างประเทศค่อนข้างมาก หากมีเวลาที่เหมาะสมเราคงมีโอกาสได้คุยกันครับ”
“อ่า อย่างนั้นเหรอ ถ้าฉันอยากจะขอคอนแท็กไว้ติดต่อเธอบ้างล่ะ” มืออวบหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นเตรียมบันทึกข้อมูลติดต่อ แต่อู๋อี้ฝานกลับหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้
บนกระดาษแผ่นนั้นมีชื่อและข้อมูลติดต่อกับบริษัทเอเจนซี่ของอี้ฝาน
เฉินเหว่ยถิงแทบกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่
อู๋อี้ฝานเป็นผู้ชายสุภาพ นอบน้อม ภาพลักษณ์ดูไม่มีพิษภัยต่อคนอื่น แต่ก็มีไหวพริบเท่าทันเล่ห์เหลี่ยมคนในวงการนี้อยู่ไม่ใช่น้อย
มุมปากของชายสูงวัยกระตุกเล็กน้อย
“หึหึ ถ้าอย่างนั้นฉันจะติดต่อไปก็แล้วกัน”
“ยินดีครับ”
“วันนี้ฉันคงต้องขอตัวกลับก่อน รบกวนเธอเสียนาน”
“แล้วพบกันครับ” อู๋อี้ฝานยังคงรักษารอยยิ้มพิมพ์ใจไว้เสมอต้นเสมอปลาย
“เชิญครับ” เป็นเสียงของเฉินเหว่ยถิง

ทันทีที่นักเขียนชื่อดังหันหลังเดินจากไป เฉินเหว่ยถิงก็ปาดเหงื่อ วาดมือเข้าคล้องแขนเจ้าของนัดของเขาในวันนี้ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีความถี่สูงกว่าเดิมเล็กน้อย
“ฝานฝาน เจ่เจ้ไม่ไหวแล้ว พาเจ่เจ้กลับบ้านที” พูดพลางซบหัวทุย ๆ ลงบนบ่ากว้าง คำพูดนั้นทำให้คนที่เพิ่งหันหลังเดินจากไปถึงกับชะงักกึก
คนถูกคล้องแขนอมยิ้มให้คนที่ซบเขาอยู่
“กลับบ้านเลยหรือครับ ผมมีร้านอาหารอร่อยอยากจะชวนไปกินพอดี”
“ถ้าฝานฝานจะพาไป เจ่เจ้ไปก็ได้ เบื่อพวกแมลงหวี่แมลงวัน เมื่อไหร่จะเลิกตอแยก็ไม่รู้ ผีไม่เห็นผีหรือยังไงกันนะ เจ่เจ้เบื๊อเบื่ออออออ” เฉินเหว่ยถิงทอดเสียงยาว และไม่คิดจะลดระดับเสียงลง
ใครจะได้ยิน ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย

TBC

 ติดตามตอนต่อไปได้ที่ @cmart138 นะคะ

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

[Request SF] พี่เลี้ยงตัวร้ายกับนายโชตะค่อน

ฟิคจากแท็ก #จะเขียนฟิคสั้นคู่หยางเฟิงตามคาร์แรกเตอร์ที่เมนชั่นมาสองเมนชั่นแรก ค่ะ
หยาง: โชตะ เสนอโดย แนท @Essorhino
เฟิง: พี่เลี้ยง เสนอโดย คุณหมีชุน @SsnpNN
[SF] พี่เลี้ยงตัวร้ายกับนายโชตะค่อน
แสงอาทิตย์ที่กระจ่างทั่วฟ้าทำให้ไม่มีใครได้ทันระวังว่าฝนเจ้ากรรมจะเทลงมาราวกับฟ้ารั่วเช่นนี้ หลี่อี้เฟิงกอดกระเป๋าหนังใบเก่งวิ่งฝ่าสายฝนมาจนถึงบ้านขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กหลังหนึ่งในหมู่บ้านที่ถูกตกแต่งไว้อย่างน่ารัก ประตูรั้วถูกคล้องโซ่ไว้โดยไม่ได้ล็อกกุญแจ เขาจึงเปิดเข้ามาในทันที ในทีแรกเข้าตัดสินใจจะรีบวิ่งเข้าบ้านแต่ก็หันกลับมาล็อกกุญแจประตูรั้วด้วยความรอบคอบ
หลี่อี้เฟิงที่เปียกโชกไปทั้งตัวเข้ามายืนหลบใต้ชายคาของบ้านก่อนส่งเสียงเรียกเจ้าของบ้าน
“เชียนซี เปิดประตูให้เกอหน่อย”
รอสักพัก แต่ก็ไม่มีการตอบรับใด ๆ จากภายในบ้าน
“เชียนซี อี้หยางเชียนซี นายอยู่ในบ้านหรือเปล่า มาเปิดประตูให้เกอหน่อย หนาวจะตายอยู่แล้ว”
เสียงกลอนประตูถูกสับลง บานประตูเปิดแง้มออก อี้เฟิงกำลังจะเอ่ยปากต่อว่าแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อคนที่มาเปิดประตูนั้นไม่ใช่คนที่เขาคาดหมาย ชายหนุ่มแปลกหน้าเปิดประตูออกกว้างขึ้นพร้อมกับส่งสายตาเป็นคำถามมายังหลี่อี้เฟิง
“นายเป็นใคร” อี้เฟิงโพล่งคำถามออกไปทันทีที่ตั้งสติได้
“นายคือหลี่อี้เฟิงใช่ไหม” ชายหนุ่มแปลกหน้าไม่ตอบคำถามแต่ถามเขากลับเสียอย่างนั้น
“ฉันไม่รู้จักนาย นายรู้จักฉันได้ยังไง”
“เชียนซีบอกไว้”
“แล้วนี่เชียนซีไปไหน ทำไมไม่อยู่บ้าน”
“เชียนซีหลับอยู่ จะเข้าบ้านก็เข้ามา อย่าเพิ่งเดินไปไหนไกลล่ะ เดี๋ยวบ้านเลอะ ผมจะไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้” เสียงทุ้มใหญ่บอกเป็นเชิงสั่งติดจะรำคาญนิด ๆ ทำให้หัวคิ้วของอี้เฟิงขมวดเข้าหากันจากความไม่พอใจที่ก่อตัวขึ้น
หลังจากเช็ดตัวจนหมาดแล้วหลี่อี้เฟิงก็เริ่มลังเลว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ทั้ง ๆ ที่เขาก็คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างดีแต่กลับรู้สึกอึดอัดใจแม้เพียงจะขยับตัวเพียงเพราะชายหนุ่มแปลกหน้าที่อยู่ในบ้านตอนนี้ กลับกันอีกฝ่ายดูไม่สนใจสักนิดว่ามีหลี่อี้เฟิงอยู่ในบ้าน ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งไขว่ห้างบนโซฟาตัวใหญ่เปิดโทรทัศน์ดูข่าวประจำวันอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะเริ่มรู้ตัวว่าหลี่อี้เฟิงมองเขาอยู่จึงได้หันมองมายังคนที่ยืนเก้กังมาได้ระยะหนึ่ง
“จะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”
“...”
“...”
เมื่ออี้เฟิงไม่ตอบ อีกฝ่ายก็ไม่ต่อบทสนทนาใด ๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะละความสนใจไปเขาจึงชิงพูดขึ้นมา
“ฉันอยากอาบน้ำ”
คิ้วหนาเลิกสูงขึ้นเล็กน้อย
“ก็ไปสิ ผมไม่ได้ล่ามคุณไว้นี่”
ไอ้....
ดวงตากลมโตถลึงมองคนพูดอย่างเอาเรื่อง หลี่อี้เฟิงได้แต่สบถในใจกับท่าทีน่าหมั่นไส้ของชายแปลกหน้า เขารีบรุดขึ้นมายังชั้นสองของบ้านตรงเข้าห้องนอนขนาดเล็กห้องหนึ่งซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ให้เขาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน พ่อและแม่ของของเชียนซีเป็นเจ้านายของหลี่อี้เฟิงเมื่อครั้งยังทำงานพาร์ทไทม์สมัยเรียนมัธยม และเพราะท่านทั้งสองต้องเดินทางบ่อย ๆ จึงไหว้วานให้เขาที่ทั้งสองเอ็นดูและไว้วางใจไม่ต่างจากลูกคนหนึ่งให้มาช่วยดูแลลูกชายคนเดียวนั่นคือ อี้หยางเชียนซี ในยามที่ท่านทั้งสองไม่อยู่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาอี้เฟิงทำหน้าที่พี่เลี้ยงของเชียนซีอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง เขารู้จักเพื่อนสนิททุกคนของเชียนซี แต่เขากลับไม่เคยเห็นผู้ชายที่เขาเจอในวันนี้มาก่อน
ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน เขาจะต้องถามเชียนซีให้รู้เรื่อง
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาหอมกรุ่น หลี่อี้เฟิงก็อารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนแรกมาก แต่เขาก็ยังต้องการรู้ความจริงเกี่ยวกับผู้ชายที่เขาเจอในวันนี้จึงตัดสินใจจะคุยกับเชียนซีให้รู้เรื่อง เขาเดินมาหยุดอยู่หน้าบานประตูห้องของเจ้าตัวเล็ก เคาะประตูสามที ไม่มีสัญญาณใดตอบรับ เจ้าของห้องคงจะหลับอยู่ มือขาวลองบิดลูกบิดประตูพบว่ามันไม่ได้ถูกล็อกไว้ ลังเลใจเพียงเสี้ยววินาทีจึงผลักประตูเปิดเข้าไป
หลี่อี้เฟิงคิดถูกครึ่งหนึ่ง เชียนซีหลับอยู่
แต่อีกครึ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้คาดไว้คือชายหนุ่มที่เขากำลังสงสัยกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงของเชียนซี มือแกร่งกำลังลูบเบา ๆ บนผมดกดำของคนหลับ จมูกคมสันรับกับดวงหน้าคมคายที่ชวนให้ดูเย่อหยิ่งในยามแรก ตอนนี้กลับทำให้เขาเหมือนรูปสลักของเทวดาที่ไหนสักตนที่กำลังปลอบประโลมมวลมนุษย์อยู่
ดวงตาเรียวรีเงยขึ้นมาสบโดยที่คนมองอยู่ก่อนไม่ทันตั้งตัว ระหว่างที่หลี่อี้เฟิงกำลังคิดหาข้อแก้ตัวที่ทำให้เขามายืนอยู่ตรงนี้ได้เจ้าตัวเล็กก็ตื่นขึ้นเสียก่อน
“หยางเกอ...”
“ครับ เกออยู่นี่แล้ว จะเอาอะไร หือ”
“กอด กอดหน่อย” คนตัวเล็กขยับเข้าซุกอกแกร่ง หลี่อี้เฟิงมองภาพนั้นอย่างตื่นตะลึง
อย่าบอกนะว่า...
ผู้ชายคนนี้...เป็นแฟนของเชียนซี...
ไอ้พวกโชตะค่อนเอ๊ยยย ! ! !



หลี่อี้เฟิงรีบปลีกตัวออกมาจากห้องนอนของเชียนซี เมื่อคิดว่าถ้ายังยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปอาจได้เป็นพยานในเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ พลังจินตนาการในสมองของไปอี้เฟิงตอนนี้ทำงานไปไกลจนหยุดไม่อยู่ ก่อนหน้านี้เชียนซีเคยเปรย ๆ อยู่เหมือนกันเกี่ยวกับปัญหาหัวใจ แต่อี้เฟิงไม่ได้เก็บมาใส่ใจเพราะคิดว่าเชียนซียังเด็ก การจะมีความรักแบบเด็ก ๆ ในวัยเรียนคงเป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่มัน....
ท่าทางสนิทสนมถึงเนื้อถึงตัวแบบนั้น แถมนายนั่นก็ไม่ใช่เพื่อนนักเรียนอย่างที่อี้เฟิงคิดไว้แต่แรก
ไม่น่า...
 ไม่ ๆ ๆ
“นั่นคุณกำลังทำอะไร”
“เหวอออออออออออออออออ”
ระหว่างที่นำอาหารเย็นออกมาอุ่น อี้เฟิงดันเผลอจมอยู่ในความคิดของตัวเองจนอาหารไหม้ติดกระทะ แถมพอมีคนมาทักเสียใกล้เขายิ่งตกใจรีบคว้ากระทะออกจากเตาโดยไม่ได้ใช้อุปกรณ์กันความร้อนช่วยจับ อารามตกใจเขาจึงปล่อยกระทะหลุดมือ ของในกระทะหล่นเปื้อนกระจัดกระจายเต็มครัวไปหมด
“ไม่คิดว่าคุณจะขวัญอ่อนขนาดนี้” มุมปากที่เพิ่งกล่าวประโยคนั้นยกสูงขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังเยาะเย้ย
“เอ่อออ...”
หลี่อี้เฟิงละล้าละลัง
“เชียนซีบอกว่าคุณเป็นพี่เลี้ยง”
“เอ่อ ใช่” เขาเป็นพี่เลี้ยงของเชียนซีตั้งแต่เรียนมัธยม พอจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ทำงานให้กับริษัทของครอบครัวของเชียนซี เขาก็เลยยังช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้เชียนซีเหมือนเดิมแม้จะไม่มีความจำเป็นต้องทำงานพิเศษแล้วก็ตาม
“มีพี่เลี้ยงแบบคุณ เชียนซีจะเป็นเด็กขาดสารอาหารหรือเปล่าเนี่ย มีแต่อาหารสำเร็จรูป” พูดพลางปรายตามองภาชนะย่อยสลายได้ที่มีตราของซูเปอร์มาร์เก็ตติดอยู่
“นี่นาย เอ่อ คุณ...” หลี่อี้เฟิงไม่รู้จะเรียกผู้ชายตรงหน้าว่าอะไรดี
“ผมชื่อ หยางหยาง เรียก หยางหยาง เฉย ๆ ก็ได้” นัยน์ตาสีดำของคนพูดทอประกายกึ่งล้อเลียนจนอี้เฟิงรู้สึกอึดอัด ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะรับมือกับคนคนนี้อย่างไรดี
ระหว่างที่หลี่อี้เฟิงมัวแต่อึกอัก หยางหยางก็ก้มลงเก็บกวาด ทำความสะอาดเศษอาหารที่หล่นเปื้อนอยู่บนพื้น พี่เลี้ยงหน้าหวานจึงได้แต่ต้องช่วยอีกฝ่ายจัดการอย่างเสียไม่ได้ หลังจากทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้วหยางหยางจึงหันไปเปิดตู้เย็น เมื่อชายหนุ่มเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในก็ถึงกลับหันขวับมามองหน้าหลี่อี้เฟิงทันที
“ในนี้มันคืออะไร” คิ้วเข้ม ๆ ยกขึ้นพร้อมกับคำถามชวนปวดหัว
“ก็... อาหารน่ะสิ”
“คุณเรียกของพวกนี้ว่าอาหารได้ด้วยเหรอ”
“มันกินได้ ทำไมจะไม่ใช่อาหารล่ะ” อี้เฟิงยังคงเถียง
หยางหยางปรายตามองบรรดา ข้าวผัดสำเร็จรูป ซุปหัวหอมสำเร็จรูป บะหมี่สำเร็จรูป และสารพัดอาหารสำเร็จรูปในตู้เย็นด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
“ที่นี่ไม่มีแม่บ้านเหรอครับ” เสียงทุ้มถามอย่างใจเย็น
“มี แต่ป้าแกลากลับบ้านสองอาทิตย์”
“หมายความว่าตลอดสองอาทิตย์ที่ป้าแม่บ้านไม่อยู่ เชียนซีจะต้องกินแต่ของพวกนี้” ท้ายเสียงสูงขึ้นเป็นคำถามพร้อมกับคิ้วดกหนาที่ยกขึ้นนั่นด้วย
“ก็ใช่ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย ฉันดูแล้วนะว่าของพวกนี้สะอาด ปลอดภัย ไม่ต้องห่วงน่า”
“คุณทำอาหารไม่เป็น?” หยางหยางถามกลับแฝงความคาดคั้นเล็ก ๆ
“ก็...ใช่ ทำไมล่ะ ไม่เห็นจะเสียหายอะไรสักหน่อย”
“เสียแรงที่จ้างมาเป็นพี่เลี้ยงจริง ๆ”
“นี่นาย ให้มันน้อย ๆ หน่อย ฉันเลี้ยงเชียนซีมาตั้งหลายปีนะ...” หลี่อี้เฟิงเถียงยาวฉอด ๆ แต่อีกฝ่ายดูจะไม่สนใจฟังนัก เขารื้อค้นของที่มีอยู่ในครัวเท่าที่หาได้แล้วเริ่มทำเมนูอาหารแบบง่าย ๆ
พี่เลี้ยงตัวจริงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางเม้มริมฝีปากบางมองดูอีกฝ่ายใช้อุปกรณ์ภายในครัวอย่างคล่องแคล่ว ตอนนี้เขารู้แค่ชายหนุ่มชื่อ หยางหยาง ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ความสัมพันธ์กับเจ้าตัวเล็กเชียนซีก็ยังคลุมเครือ แต่ดูจากภายนอกแล้วชายหนุ่มน่าจะเป็นคนวัยทำงาน เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบกริบ กางเกงสแล็กทีเทาด้าน รูปร่างภูมิฐานสมส่วน ดูยังไงก็เหมือนหนุ่มพนักงานบริษัท ไม่ก็นักธุรกิจ เชียนซีไปรู้จักคนแบบนี้ได้ยังไงกันนะ
ไม่นานอาหารสำเร็จรูปในตู้เย็นก็ถูกนำมาแปรรูป ข้าวผัดหน้าตาจืดชืดถูกนำมาปรุงใหม่เติมคุณค่าด้วยผักสามสีจากสลัดกระป๋อง แล้วถูกห่อด้วยไข่เจียวเนื้อนุ่มจากไข่สดที่เหลืออยู่ในตู้เย็น ราดหน้าด้วยซอสมะเขือเทศปรุงรสเข้มข้นที่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงซอสธรรมดาในซองสปาเก็ตตีกึ่งสำเร็จรูป ทุกอย่างถูกจัดใส่จานและวางบนโต๊ะเรียบร้อย
“หือออ หอมจัง อี้เฟิงเกอไม่ใช่คนทำใช่ไหมเนี่ย” เจ้าตัวเล็กที่อาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้วเข้ามาในครัวพอดี
“รู้แล้วไม่พูดก็ไม่มีใครว่านะ” หน้าหวาน ๆ ยู่ไปด้วยความเง้างอน
เหอะ ใช้ข้าวของตั้งเยอะ กว่าจะทำอาหารได้มื้อหนึ่ง มันเปลืองน่ะรู้ไหม มันเปลือง!
หลี่อี้เฟิงได้แต่ค่อนขอดในใจ แต่อาหารทุกอย่างในจานก็หมดเกลี้ยงไม่มีเหลืออยู่ดี...



“จริง ๆ หยางเกอค้างที่นี่ก็ได้นะ นอนห้องผมก็ได้” เชียนซีเดินออกมาส่งหยางหยางที่หน้าประตูรั้ว มือเล็กเกาะแขนแกร่งอย่างออดอ้อนเพราะยังไม่อยากให้หยางหยางต้องกลับบ้านไปในตอนนี้
“เดี๋ยวเกอจะมาหาบ่อย ๆ นะครับ”
“มาทุกวันเลยได้ไหม ผมคิดถึง”
ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มเอ็นดูให้เด็กขี้อ้อนพลางยีหัวทุย ๆ อย่างเบามือ
“คิดถึงเกอ หรือคิดถึงอาหารที่เกอทำกันแน่ฮึ กินจนแก้มออกแล้วเนี่ย”
“โธ่ กินยังไงผมก็แก้มไม่ออกเท่าเฟิงเกอหรอกน่า”
“หึหึ”
“ทำเป็นหัวเราะ ผมเห็นนะ หยางเกอชอบแอบมองเฟิงเกอตลอดเลย คิดอะไรเปล่าเนี่ย”
“อยากให้คิดหรือเปล่าล่ะ”
เชียนซีทำท่าทางลังเลใจนิดหนึ่งก่อนตอบอย่างใสซื่อ
“ถ้าคิดแล้วหยางเกอจะมาหาผมบ่อย ๆ ก็คิดเยอะ ๆ ก็ได้”
“ฮ่า ๆ ๆ ได้สิ เกอจะมาหาทุกวันเลย”
“เย้ รักหยางเกอที่สุดในโลกเลย” เจ้าตัวเล็กร้องไชโยโผเข้ากอดหยางหยางอย่างดีใจ หัวทุย ๆ ซุกอกแกร่งถูไปมาอย่างรักใคร่
“ขอให้จริงอย่างที่ว่าเถอะ” หยางหยางลูบผมนุ่มของคนในอ้อมกอดก่อนผละออกมาและโบกมือลาเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ลืมกำชับให้เชียนซีล็อกบ้านให้แน่นหนาก่อนตัวเองจะกลับไป
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิท แต่ยังได้กลิ่นไอดินเพราะฝนที่ตกไปเมื่อช่วงเย็น หลี่อี้เฟิงยืนอยู่หน้าบ้านมองหน้าเจ้าตัวเล็กที่เดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเบิกบานใจ เชียนซีดูติดหยางหยางมาก อย่างที่อี้เฟิงไม่เคยเห็นเชียนซีเป็นแบบนี้กับใครมาก่อน
เจ้าตัวเล็กคงกำลังมีความรักจริง ๆ สินะ


*******************************

“อี้เฟิงเกออออออออออออ” เจ้าตัวเล็กเชียนซีที่วันนี้ตื่นแต่เช้าได้โดยไม่มีใครปลุก เดินเข้ามาก็ร้องเรียกหลี่อี้เฟิงเสียงยาว แขนเล็ก ๆ สวมกอดพี่เลี้ยงคนโปรดจากทางด้านหลังพลางซบหน้าลงบนแผ่นหลังคนที่กำลังอุ่นอาหารเช้าให้อย่างงัวเงีย
“อะไร ฮึ เจ้าตัวเล็ก อ้อนแต่เช้าเลยนะเรา” ข้าวต้มที่อุ่นไว้เสร็จพอดี หลี่อี้เฟิงยกลงจากเตาและปิดเตาแก๊สอย่างเรียบร้อยก่อนหันมาจัดการกับเชียนซีที่กำลังเกาะเอวเขาเป็นลูกลิง
“ผมอยากกินกุ้งผัดผงกะหรี่”
“เช้านี้มีแต่ข้าวต้มเท่านั้นแหละ เกอออกไปซื้อที่ตลาดมาให้เมื่อเช้า” เพราะช่วงนี้พ่อแม่ของเชียนซีไปทำงานต่างจังหวัด และป้าแม่บ้านก็ลาหยุด อี้เฟิงเลยต้องรับผิดชอบดูแลเจ้าตัวเล็กแทบทุกเรื่อง แต่สำหรับเรื่องอาหาร เขาก็ทำได้แค่อุ่นอาหารสำเร็จรูปให้ได้เท่านั้น
“ผมอยากกินนี่นา ตอนกลางวันก็ได้”
“โอเค ๆ เดี๋ยวเกอโทรไปสั่งที่ร้านอาหารมาให้นะ ตอนเช้ากินข้าวต้มก่อน เกออุตส่าห์อุ่นให้แล้ว”
“ไม่เอาอ่า ไม่กินที่ร้านทำ อยากกินที่หยางเกอทำ”
หลี่อี้เฟิงถอนหายใจกับความเอาแต่ใจของเจ้าตัวเล็ก บทอยากจะได้ ก็จะไม่ยอมท่าเดียว
“ถ้าอยากกินที่หยางเกอทำ ก็ต้องบอกหยางเกอนะครับ เฟิงเกอทำให้ไม่ได้หรอกนะ”
แล้วเจ้าตัวเล็กก็ยื่นโทรศัพท์ในมือที่ถือมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ให้พี่เลี้ยงหน้าหวาน ส่งสายตาเว้าวอนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“เฟิงเกอโทรหาหยางเกอให้หน่อยสิ”
“ห้ะ ทำไมเราไม่โทรเองล่ะ”
“ก็เมื่อคืนผมทะเลาะกับหยางเกอนิดหน่อย หยางเกองอนผมไปแล้วน่ะสิ”
“อ่าว แล้วทำไมถึงให้เกอโทรล่ะ”
“น่า นะ นะครับ ถ้าเฟิงเกอโทร หยางเกอต้องใจอ่อนยอมมาทำกับข้าวให้แน่ ๆ เลย นะ น้า”
หลี่อี้เฟิงไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเชียนซีกับหยางหยางเลย แต่เห็นสายตาออดอ้อนของเจ้าตัวเล็กแล้วเขาก็ใจอ่อนทุกทีสิน่า



ไม่รู้เป็นเวรกรรมอะไร หลี่อี้เฟิงถึงต้องมาเดินตามนายหยางหยางต้อย ๆ เพื่อเลือกซื้อของสดสำหรับทำอาหารให้เจ้าตัวเล็กเชียนซี
เลือกไปเลือกมา ของก็เริ่มเต็มตะกร้า มากเกินกว่าจะซื้อไว้สำหรับทำอาหารมื้อหนึ่งแล้ว
“ถ้าจะซื้อเยอะขนาดนี้ กะทำทั้งอาทิตย์เลยหรือไง”
“ก็ใช่น่ะสิครับ ป้าแม่บ้านไม่อยู่ตั้งสองอาทิตย์ไม่ใช่หรือครับ”
“ก็เชิญไปทำเองเถอะนะ ฉันไม่ทำหรอก” เสียงพึมพำไม่ดังนัก แต่หยางหยางก็ได้ยินอยู่ดี
“เชียนซีเป็นเด็กกำลังโตนะครับ ต้องให้กินอาหารที่มีประโยชน์ ถ้าทำอาหารให้แกกินบ่อย ๆ แกจะได้รู้สึกได้รับความรักด้วย” หยางหยางเลือกของสดไปก็พูดไปด้วยรอยยิ้มที่แสดงความรู้สึกต่อคนที่กำลังพูดถึงออกมาอย่างชัดเจน
“หึ พวกโชตะค่อน หลงเด็กไม่ลืมหูลืมตา” เชียนซีน่ะซนจะตาย กว่าหลี่อี้เฟิงจะเอาเด็กคนนี้อยู่ก็ใช้เวลาเกือบปีเลยทีเดียว สองคนนี้อาจจะเพิ่งคบกันช่วงแรก ๆ ล่ะสิ อะไร ๆ ถึงได้ดูดีไปหมด ถ้าเจ้าตัวเล็กแผลงฤทธิ์เมื่อไหร่ล่ะก็ หยางหยางคงรู้ซึ้งเลยเชียว
“เด็ก ๆ ก็ยังดีกว่าผู้ใหญ่ชอบวางมาดบางคนน่ะครับ” หยางหยางหันกลับมาตอบพร้อมคิ้วที่เลิกขึ้นข้างหนึ่ง จุดอารมณ์โมโหให้หลี่อี้เฟิงได้ไม่ยาก
“นี่นาย ถ้าไม่ติดว่าแก่กว่านะ ฉันไม่ปล่อยให้นายพูดจาแบบนี้กับฉันได้ง่าย ๆ หรอกนะ”
“หืม คุณว่าอะไรนะ”
“ก็นายมันกวนประสาท ถ้าไม่ติดว่าแก่กว่าฉันนี่อาจจะโดนซักหมัดสองหมัดไปแล้วก็ได้ ได้ยินชัดไหม”
ดวงตาเรียวรีหรี่ลงอย่างใช้ความคิด ก่อนขยับกว้างขึ้นพร้อมประกายบางอย่าง ใบหน้ารูปสลักโน้มลงมาใกล้ดวงหน้าหวานก่อนพูดเสียงเบา แต่หลี่อี้เฟิงได้ยินชัดทุกคำ
“ถ้าอย่างนั้น... ก็เรียกผมว่าคุณหยางหยางสิครับ จะได้ดูมีสัมมาคารวะหน่อย”
“ฝันไปเถอะ แค่นี้ฉันก็สุภาพมากพอละ” หลี่อี้เฟิงเสหน้าหันไปทางอืนด้วยความหมั่นไส้
คุณหยางหยาง เหรอ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
“แล้วถ้าไม่สุภาพจะเป็นยังไงหรือครับ”
“ก็...” ใบหน้าหวานหันกลับมาโดยไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าของอีกฝ่ายโน้มลงมาต่ำกว่าเดิม จังหวะที่ปลายจมูกเฉียดกันเพียงเสี้ยววินาทีเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นปลาบผ่านไปทั่วใบหน้า หลี่อี้ฟิงรีบขยับตัวออกห่างทันที
“ว่ายังไงล่ะครับ”
“ก็ไม่ยังไงนี่” ในสมองของหลี่อี้เฟิงเหมือนมีแต่เสียงวิ้ง ๆ เต็มไปหมดจนเจ้าตัวทำอะไรไม่ถูก เดินผ่านชั้นมะเขือเทศก็หยิบใส่ตะกร้ารถเข็นเสียยกใหญ่
“คุณชอบกินมะเขือเทศเหรอ”
“ใช่ มันดีต่อสุขภาพ ไม่รู้หรือไง”
“ไม่ต้องกินเยอะขนาดนั้นก็ได้มั้งครับ แค่นี้หน้าคุณก็แดงเป็นลูกมะเขือเทศแล้ว”
ไอ้....
รอยยิ้มขำประดับอยู่เต็มหน้าหล่อเหลาของหยางหยาง หลี่อี้เฟิงได้แต่ถลึงตามองแต่ก็ไม่รู้จะตอบโต้ยังไง
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” เสียงหวานได้แต่พึมพำก่อนรีบเข็นรถใส่ของไปให้ไกลจากคนชอบกวนประสาทมากที่สุด

********************************************

สงครามประสาทระหว่างหลี่อี้เฟิงกับหยางหยางยังไม่จบ เพราะหลังจากวันนั้นหยางหยางก็บังคับให้อี้เฟิงมาหัดทำอาหารกับเขา โดยอ้างว่าเป็นห่วงเชียนซี พี่เลี้ยงอย่างหลี่อี้เฟิงควรจะทำอาหารให้เป็นไว้บ้าง
“โอ๊ยยย” หลี่อี้เฟิงร้องเสียงหลงเมื่อเผลอเอามือที่เพิ่งหั่นพริกไปป้ายตา
“อยู่เฉย ๆ นะคุณ มาล้างตาก่อน อย่าเพิ่งเอามือไปขยี้สิ เดี๋ยวก็แสบมากกว่าเดิมหรอก”
“ฮือออ ฉันบอกแล้วไง ว่าไม่ทำ ไม่ทำ นายก็ยังให้ฉันทำอีก ฮึก” เพราะความแสบร้อนทำให้หยดน้ำใสไหลรินออกจากดวงตาคู่หวานที่ตอนนี้ปิดแน่นสนิท
“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะครับ นิ่งนะ มา ๆ ล้างตาก่อนนะครับ” หยางหยางปลอบโยนคนขวัญเสียเหมือนกำลังเลี้ยงเด็กก็ไม่ปาน เขาพาอี้เฟิงมาล้างตาที่อ่างน้ำจนอาการแสบร้อนทุเลาลง มือแกร่งหยิบกระดาษทิชชูมาบรรจงซับหยดน้ำออกจากใบหน้าหวาน
หลี่อี้เฟิงมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาแดงช้ำ หยางหยางค่อยเช็ดหน้าให้เขาอย่างเบามือ และเกลี่ยเส้นผมที่ปรกระหน้าผากออกให้
“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ใกล้...เสียจนหลี่อี้เฟิงต้องเกร็งตัว ไม่เพียงแต่คำพูดที่ชัดเจนในโสตประสาท แต่ใบหน้าของหยางหยางก็อยู่ใกล้มากด้วยเช่นกัน
เหมือนภาพซ้อนของเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พวกเขาได้มองกันในระยะใกล้ขนาดนี้ แต่อี้เฟิงไม่ได้ขยับตัวหนีเหมือนครั้งก่อน
ดวงตาสองคู่ประสานกันนิ่งนาน ไม่มีคำพูดอะไรนอกจากนั้น ทุกอย่างเงียบลงจนเหมือนได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจ
“เฟิงเกอ วันนี้มีอะไรกินบ้าง” เจ้าตัวเล็กเชียนซีเข้ามาในห้องครัว หยางหยางและหลี่อี้เฟิงถึงได้ผละออกจากกัน
“อะ เอ่อ...” หลี่อี้เฟิงอึกอัก
“วันนี้มีไก่ผัดขิง กับปลานึ่งลุยสวน อยากกินไหมเรา” หยางหยางเป็นฝ่ายตอบ
เชียนเดินเข้ามาเกาะเอวหยางหยางหยางพลางชะโงกดูวัตถุดิบที่กำลังจะถูกนำไปปรุงอาหารบนโต๊ะ
“หยางเกออยู่ด้วยนี่สบายจริง ๆ เลย ได้กินของอร่อยทุกวัน อ๊ะ เฟิงเกอเป็นอะไรอ่า ทำไมตาแดง ๆ ร้องไห้เหรอ นี่หยางเกอแกล้งเฟิงเกอเหรอ”
“เฮ้ย เปล่าสักหน่อย” หยางหยางรีบปฏิเสธ
“พอดีพริกมันเข้าตาน่ะ” หลี่อี้เฟิงตอบ มองตามวงแขนของเชียนซีที่โอบรอบเอวของหยางหยางอยู่ จนถึงตอนนี้แม้อี้เฟิงจะยังไม่ได้คำยืนยันที่แน่ชัดถึงความสัมพันธ์ของหยางหยางและเชียนซีจากปากเจ้าตัว
แต่เห็นแบบนี้แล้ว มันก็เดาได้ไม่ยาก
“เกอขอขึ้นไปพักบนห้องก่อนนะ แสบตาน่ะ”
“หายไว ๆ นะครับเฟิงเกอ”
“อื้อ”
แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่ตอนที่เดินออกมาจากห้องครัว สายตาของหลี่อี้เฟิงก็มองแต่วงแขนเล็กที่กอดหยางหยางอยู่ แล้วเขาก็เลือกที่จะหลับตาลง
เขาก็แค่...แสบตาเท่านั้นเอง

*****************************************

วันนี้หลี่อี้เฟิงตื่นสายกว่าทุกวัน พอตื่นขึ้นมาก็เลยคิดว่าจะไปดูเจ้าตัวเล็กสักหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง
“อ๊า ไม่เอานะหยางเกอ อย่าแกล้งผมแบบนี้สิ” เสียงของเชียนซีแว่วดังมาจากห้องนั่งเล่น ทั้งหยางหยางและเชียนซีคงกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน
หลี่อี้เฟิงควรจะดีใจที่เชียนซีมีความสุข
แต่เขาไม่สามารถยิ้มได้อย่างที่ควรจะเป็น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขาและหยางหยางเริ่มใกล้กันมากขึ้น แค่เวลาไม่กี่วันที่ได้รู้จักกัน ความรู้สึกบางอย่างก็ค่อย ๆ ก่อตัว
เขาควรจะห้ามมันไว้
“อ๊ะ เฟิงเกอตื่นแล้ว มาเล่นด้วยสิครับ”
“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวเกอไปเตรียมอาหารเช้าให้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเตรียมไว้ให้หมดแล้ว” หยางหยางแทรกขึ้น
“อ่อ งั้นฉันไปรดน้ำต้นไม้ข้างนอกก็แล้วกัน” หลี่อี้เฟิงเดินออกจากตัวบ้านไปโดยไม่ได้รอฟังคำทักท้วงใด ๆ
ช่วงนี้ฝนตกบ่อย ดอกไม้รอบ ๆ บ้านเลยแข่งกันอวดดอกบานสะพรั่งช่วยเยียวยาจิตใจของหลี่อี้เฟิงที่ดูจะเหงาหงอยไปบ้างในช่วงนี้
ถ้าอยากจะยิ้มเบิกบานได้อย่างดอกไม้ หัวใจของเขาก็คงต้องการฝนเย็น ๆ ให้ชื่นใจเหมือนกันล่ะมั้ง
แต่วันนี้ฟ้าเปิดเหลือเกิน จะยังพอมีฝนอยู่บ้างไหมนะ

ออด...

เสียงออดหน้าบ้านเรียกให้หลี่อี้เฟิงต้องหันไปมอง เด็กหนุ่มหน้าตาดีใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนเอกชนไม่ไกลจากแถวนี้เท่าไหร่นักยืนรออยู่หน้าบ้าน
“มาหาใครครับ”
“มาหาเชียนซีน่ะครับ”
“อ่อ อยู่ใน้บ้านน่ะ เดี๋ยวไปเรียกให้นะ”
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนครับ ผมขอเข้าไปหาเชียนซีเองได้ไหมครับ”
“หืม?” หลี่อี้เฟิงเลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม
“เรามีเรื่องต้องปรับความเข้าใจกันน่ะครับ แต่เชียนซีอาจจะไม่อยากเจอหน้าผมเท่าไหร่...”
“แต่ว่า...” พี่เลี้ยงอย่างหลี่อี้เฟิงลังเล ถึงเด้กคนนี้จะดูไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่การจะให้คนแปลกหน้าเข้าบ้านโดยที่ยังไม่ได้รับการยืนยันจากเชียนก็ดูเป็นเรื่องไม่สมควรนัก
“ให้เขาเข้ามาเถอะครับ” เป็นเสียงของเชียนซี ที่คงจะได้ยินเสียงออดในตอนแรกแล้วออกมาดูนั่นเอง ริมฝีปากเล็กเม้มบางมองคนที่อยู่นอกประตูรั้วด้วยแววตาที่หลี่อี้เฟิงไม่เข้าใจ ด้านหลังคือหยางหยางที่กำลังบีบบ่าเล็กเบา ๆ
เมื่อหลี่อี้เฟิงงเดินนำเด็กหนุ่มเข้าถึงหน้าบ้าน เชียนซีก็เดินอ้อมไปหลังบ้านเสียอย่างนั้น
“ตามไปสิ จุนไค” หยางหยางเอ่ยกับเด็กหนุ่ม เขาดูเหมือนจะรู้ว่าเรื่องราวเบื้องหลังของสองคนนี้คืออะไร หลี่อี้เฟิงมองตามเด็กที่ชื่อจุนไคเดินตามเชียนซีออกไปหลังบ้านก่อนหันมามองหยางหยางด้วยสีหน้าสื่อคำถาม
“จุนไคกับเชียนซีทะเลาะกันน่ะ ให้เขาไปปรับความเข้าใจกันเถอะ”
“เพื่อนคนนี้ของเชียนซีฉันไม่เห็นเคยรู้จักเลย นายรู้จักได้ยังไง”
“นี่คุณไม่รู้จริง ๆ เหรอ”
“รู้เรื่องอะไร?”
“จุนไคกับเชียนซีเป็นแฟนกันยังไงล่ะ”
“เด็กจุนไคนั่นเป็นแฟนเชียนซี?”
“ใช่”
“แล้ว... แล้วนายล่ะ นายไม่ใช่แฟนเชียนซีหรอกเหรอ”
“อะไรกัน นี่คุณคิดว่าผมเป็นแฟนเชียนซีหรือไง บ้าไปแล้ว”
“บ้าอะไรเล่า ก็นาย...” หลี่อี้เฟิงอึกอัก ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี แต่ให้ตายเถอะ ทำไมเหมือนว่าเขากำลังจะกลั้นยิ้มไม่อยู่กันนะ
“หึหึ คุณนี่ชอบคิดเองเออเองนะ ผมเป็นลูกบ้านสกุลหยางที่เชียนซีไปอยู่ตอนหน้าร้อนทุกปียังไงล่ะ คุณก็เคยเจอผมไม่ใช่เหรอ”
หยางหยาง...
บ้านสกุลหยางเหรอ นั่นสิ หลี่อี้เฟิงลืมไปเลย
“อะไรเล่า แค่เข้าใจผิดเรื่องเดียวเอง...”
แล้วหยางหยางก็หยิบเสื้อสูทที่คล้องแขนอยู่แต่แรกขึ้นมาสวม ทำให้หลี่อี้เฟิงต้องมองตาค้าง บนเสื้อสูทมีตราของมหาวิทยาลัยใกล้ในเมืองที่เขาอยู่นี่เอง
“วันนี้มีปฐมนิเทศ ผมคงต้องไปแล้ว หวังว่าวันนี้ที่มหาลัยคงไม่มีใครมักว่าผมเป็นพี่ปีสี่หรอกนะ ผมว่าผมก็ไม่ได้หน้าแก่ขนาดนั้น แต่คนบางคนน่ะสิ คิดว่าผมแก่กว่าทั้งที่ตัวเองก็แก่กว่าผมตั้งหลายปี เสียเซลฟ์ชะมัดเลย”
“ก็นาย...”
“แถมยังใส่ร้ายว่าผมเป็นโชตะค่อน ชอบกินเด็กอีกต่างหาก”
หลี่อี้เฟิงได้แต่อ้าปากค้าง เถียงต่อไม่ถูก
ฝนเม็ดเล็ก ๆ ตกเปาะแปะลงมาทั้งที่ฟ้าใสอยู่อย่างนั้น
หยางหยางเงยหน้ามองฟ้า แล้วมองนาฬิกาที่ข้อมือ พลางหันไปหยิบร่มที่แขวนไว้อยู่หน้าบ้าน
“ผมคงต้องไปแล้ว...”
“อื้อ รีบไปสิ เดี๋ยวก็สายหรอก” ดวงตากลมโตสบตากับหยางหยางเพียงนิดหนึ่งก็ต้องรีบเสมองไปทางอื่น อยู่ดี ๆ อี้เฟิงก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
หยางหยางกางร่มออกก่อนโน้มตัวลงมาใกล้พี่เลี้ยงคนเก่ง จมูกโด่งเป็นสันแตะแก้มใสเบา ๆ โดยที่อีกคนไม่ทันได้ตั้งตัว
ยังไม่ทันที่คนโดยขโมยหอมแก้มจะต่อว่าอะไร เสียงทุ้มต่ำก็กระซิบข้างใบหูบาง
“ว่าแต่คนอื่นกินเด็ก... ระวังจะโดนเด็กกินซะเองนะครับ อี้เฟิงเกอ”

END

โอ้ยยย จบแล้วล่ะค่ากับฟิครีเควสท์ตามแท็ก #จะเขียนฟิคสั้นคู่หยางเฟิงตามคาร์แรกเตอร์ที่เมนชั่นมาสองเมนชั่นแรก ขอบคุณทุกคนที่เมนชั่นเข้ามานะคะ ไว้คราวหลังมาเล่นกันใหม่เน้อ
ขอโทษด้วยนะคะที่มาต่อตอนจบช้าไปหน่อย ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะยาวขนาดนี้เลย พล็อตก็ไม่มี แต่งตามน้ำไปเรื่อย ๆ 555
อ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงก็แนะนำ ติชม กันได้นะคะ ขอบคุณมากค่า ^__^

 @ConiCat_