วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

[SF] Once Upon A Year #หยางเฟิง #ถิงฝาน

[SF] Once Upon a Year #หนึ่งวันกับหนึ่งปี

Pairing:            หยางหยาง x หลี่อี้เฟิง
เฉินเหว่ยถิง x อู๋อี้ฝาน




“เห่นโล่วววววววววว อี้ฝาน แฮปปี้เบิร์ธเดยยยยย์” เสียงหวานลอยข้ามแผงกั้นคอกทำงานมาก่อนตัวเจ้าของเสียงจะมาปรากฏตัวหน้าคนถูกเรียกพร้อมกล่องสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกยื่นมาตรงหน้า เจ้าของวันเกิดเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มเต็มแก้ม คนตรงหน้าคือ “หลี่อี้เฟิง” รุ่นพี่ที่ทำงานของเขานั่นเอง อู๋อี้ฝานรับของขวัญนั้นมาด้วยความปลื้มใจอย่างที่สุด



“ขอบคุณครับเฟิงเกอ”



“สุขสันต์วันเกิดไอ้น้องชาย ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีอีกปีนะ” รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้ อี้ฝานถึงกับเขินจนทำตัวไม่ถูก ได้แต่เอ่ยขอบคุณซ้ำ ๆ จนหลี่อี้เฟิงต้องหัวเราะอย่างเอ็นดู



ปัง!



เสียงกองเอกสารกระแทกกับโต๊ะดังปังจากโต๊ะทำงานในคอกเดียวกันที่อยู่ห่างไปไม่กี่โต๊ะ



“เดี๋ยวฉันมา จะไปคุยงานกับบก. งานของใครที่ยังไม่ปิดก็เร่งด้วย ใกล้เดดไลน์แล้ว” ผู้ช่วยบรรณาธิการฝ่ายเนื้อหาพูดเสียงเรียบ แต่ท่าทางและสายตาแสดงอาการไม่พอใจอะไรบางอย่างออกมาอย่างชัดเจน ร่างโปร่งเดินออกจากคอกทำงานผ่านผู้ช่วยบรรณาธิการฝ่ายศิลป์ที่มาอวยพรวันเกิดลูกน้องของตนแต่เช้าโดยไม่มีคำทักทายใด ๆ หลี่อี้เฟิงผิวปากหวิวชำเลืองสายตามองตามคนที่เดินผ่านไปพลางทำหน้าตาล้อเลียน



“วันนี้หัวหน้าหยางหยางอารมณ์ไม่ดีแต่เช้าเลยนะครับ” อี้ฝานกล่าวเสียงค่อย สีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด



“ผีเข้ามั้ง อย่าไปสนใจเลย วันนี้วันเกิดนายนะ ยิ้มเข้าไว้สิ” ได้กำลังใจจากรุ่นพี่ที่ตัวเองชื่นชมแล้วอี้ฝานก็เผยรอยยิ้มออกมาได้อีกครั้ง อย่างน้อยวันเกิดวันนี้เขาก็อยากให้มันเป็นวันดี ๆ อีกหนึ่งวัน

















เสียงเปิดประตูไม่เบานัก แถมคนเปิดยังเปิดเข้ามาโดยพละการไม่มีการเคาะประตูก่อนแต่อย่างใด คนที่เข้ามาคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “หยางหยาง” ลูกพี่ลูกน้องของ “เฉินเหว่ยถิง” ผู้เป็นเจ้าของห้อง คนเป็นพี่ไม่ได้ละมือจากงานตรงหน้า เพียงเหลือบสายตาขึ้นมองญาติผู้น้องเล็กน้อยก่อนหันไปสนใจเอกสารในมือและกล่าวเสียงเรียบ



“โมโหอะไรมาอีกล่ะ”



“เปล่า ผมแค่เอางานมาให้เฮียตรวจ” หยางหยางกล่าวปฏิเสธ แต่สีหน้าไม่ได้คล้อยตามคำพูดแม้แต่นิด



“ถ้าคิดว่าโกหกฉันได้ก็อย่านับฉันเป็นพี่นายเลยดีกว่า หยางหยาง คิดว่าฉันรู้จักนายมากี่ปี หงุดหงิดเรื่องอี้เฟิงมาอีกล่ะสิ”



“ก็ถ้าเฮียรู้อยู่แล้วจะถามผมอีกทำไม” หยางหยางวางปึกเอกสารที่ถือเข้ามาด้วยบนโต๊ะทำงานของญาติผู้พี่ก่อนนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามถอนหายใจเสียงไม่เบานัก



“นายมันก็เอาแต่ใจร้อน ขี้หึงไม่เข้าเรื่องทั้งปี ฉันเห็นจนชิน ไม่ได้อยากจะยุ่งหรอกนะ แต่ในที่ทำงานก็เก็บอาการหน่อย เดี๋ยวลูกน้องจะไม่เชื่อถือเอาซะเปล่า ๆ “



“ผมเก็บอาการที่สุดแล้ว”



“แต่เก็บอารมณ์ไม่ได้ เลยต้องมาระบายที่ห้องฉันสินะ คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ” เฉินเหว่ยถิงเอ่ยถามในที่สุด



“จะอะไรอีกล่ะ ก็เรื่องเดิม เฟิงเกอก็หว่านเสน่ห์ไปทั่ว ไม่รู้บ้างหรือไงว่าคนอื่นเขาคิดกับตัวเองยังไง”



“ช่วยไม่ได้นี่หว่า นายอยากไปตกหลุมเสน่ห์เขาเอง”



“เฮีย!



“เออ นั่นแหละ ว่าแต่คราวนี้ใครอีกล่ะ”



“จะใครล่ะ ก็นายอี้ฝานนั่นไง ที่เฮียฝากเข้ามาแผนกผมน่ะ วันนี้วันเกิดหมอนั่น เฟิงเกอก็มาแฮปปี้เบิร์ธเดย์เสียเสียงดังลั่นออฟฟิศ อย่างกับกลัวใครจะไม่รู้ แถมมีของขวัญมาให้ด้วยนะ อะไรวะ ทีวันเกิดผมนะ ไม่เค้ยยยย” พอได้ทีหยางหยางก็ร่ายยาวราวกับอัดอั้นมานาน



พอได้ยินชื่อคู่กรณีของน้องชายแล้วมือเรียวของหัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสารชื่อดังที่กำลังตรวจงานระหว่างที่ฟังคนตรงหน้าพล่ามอยู่ก็ชะงักไปนิดหนึ่งก่อนทำเป็นไม่สนใจและทำงานต่อไป



“สรุปว่างอนสินะ”



“....”



“...”



“เออ” หยางหยางตอบรับเสียงค่อยอย่างไม่เต็มใจนัก หงุดหงิดที่ผู้เป็นพี่รู้ทันเขาไปเสียทุกอย่าง แม้จะไม่อยากยอมรับนัก แต่เขาก็งอนจริง ๆ นั่นแหละ



คนเป็นพี่ได้แต่หัวเราะเบา ๆ ก่อนส่ายหัวอย่างเอือมระอาระคนเอ็นดูน้องชายขี้งอนของเขา



ทันทีที่ได้ยินเสียงปิดประตูลับหลังหยางหยางเดินออกจากห้องไป เฉินเหว่ยถิงก็ถอนหายใจยาว ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้องก่อนรวบรวมสมาธิอีกครั้งเพื่อจัดการงานตรงหน้าให้เสร็จโดยเร็วเพื่อที่จะได้เตรียมตัวสำหรับงานสำคัญในเย็นวันนี้

















ช่วงกลางวันโดยปกติแล้วหยางหยางและหลี่อี้เฟิงจะไปกินข้าวที่โรงอาหารของตึกสำนักงานด้วยกันเสมอ เขาทั้งคู่เป็นคนรักกันแม้ไม่ได้ประกาศบอกใครแต่ก็เหมือนกับทุกคนรับรู้ในความสัมพันธ์นี้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่จังหวะชีวิตของคนสองคนกลับสอดคล้องลงตัวอย่างน่าประหลาด



ทุกวันเวลาเที่ยงสิบนาทีหยางหยางและหลี่อี้เฟิงจะพักงานทุกอย่างไว้ที่โต๊ะและเดินลงมาด้านล่างอีกสามชั้นเพื่อไปกินข้าวที่โรงอาหาร พวกเขาเลือกที่จะเดินลงบันไดราวกับตั้งใจจะยืดเวลาที่อยู่ด้วยกันให้นานขึ้น ต่างคนต่างจัดการซื้ออาหารของตัวเองและเดินมานั่งข้างกันราวกับเป็นเรื่องธรรมดาแสนสามัญ แต่ถ้าวันนี้จะมีบางอย่างที่ต่างออกไปก็คงเป็นบรรยากาศรอบตัวของเขาทั้งสองที่เงียบลงกว่าที่เคย เสียงหัวร่อต่อกระซิกที่คนรอบข้างมักได้ยินเป็นประจำนั้นเงียบหาย



หลี่อี้เฟิงเหลือบมองคนที่นั่งข้างกันอย่างใช้ความคิด เขารู้ว่าหยางหยางเป็นคนขี้หึงคิดเล็กคิดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร แถมตัวเขาก็เองก็เป็นพวกมนุษยสัมพันธ์ดีเกินมนุษย์ทั่วไปเสียด้วย ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะมีเรื่องให้ผิดใจกันอยู่บ่อย ๆ



“หยางหยาง ฉันอยากกินอันนั้น” เสียงหวานเอ่ยขึ้นพลางชี้ไปที่หมูสามชั้นในจานข้าวของอีกฝ่าย หยางหยางไม่พูดอะไร เพียงแต่ตักสิ่งที่คนข้าง ๆ บ่นอยากกินไปใส่ให้ในจานแล้วกินข้าวในจานของตนต่ออย่างเงียบ ๆ



“อันนั้นฉันก็อยากกิ...” ยังไม่ทันจบประโยคหยางหยางก็ตักกับข้าวทุกอย่างในจานไปใส่ในจานของคนรักแล้วนั่งกินข้าวเปล่าในจานของตัวเองต่อไปโดยไม่เอ่ยคำใด ๆ



อี้เฟิงมีสีหน้าสลดลงกับปฏิกิริยาของคนรัก ได้แต่ตักอาหารในจานของตัวเองที่พูนจนแทบล้นเพราะการประชดของคนข้าง ๆ ด้วยสีหน้าง้ำงอ เขาอยากจะชวนคุยให้บรรยากาศระหว่างเขาสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่ดูเหมือนความพยายามครั้งนี้จะไม่ได้ผล



















เวลาเย็นย่ำอี้ฝานมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่าเลยเวลาเลิกงานมามากแล้ว วันนี้เพื่อนในออฟฟิศต่างก็มาอวยพรวันเกิดให้เขากันมากมาย แต่กลับไร้วี่แววปฏิกิริยาจากคนที่เขาเฝ้ารอที่สุด



ดวงหน้าหล่อเหลาติดจะสวยเหม่อมองไปยังห้องทำงานของใครบางคนที่เจ้าของห้องกลับไปตั้งแต่ช่วงบ่าย



ลืมหรือเปล่านะ...



คนหน้าสวยคิดอย่างเหงา ๆ เมื่อคนที่รอคอยไม่มีทีท่าว่าจะกลับเข้ามาที่ออฟฟิศอีก บางทีคนคนนั้นอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขา เพราะทั้งวันก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน พอบ่ายคล้อยก็ออกจากออฟฟิศไปโดยไม่ได้ร่ำลา



อี้ฝานตัดสินใจเก็บข้าวของกลับบ้าน เขาลงลิฟต์มาถึงชั้นล่างสุด ฟ้าข้างนอกมือดสนิทแล้วแม้จะยังไม่ค่ำมากนักเพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว อากาศเริ่มเย็นลงเขากระชับเสื้อโค้ทให้แน่นขึ้นเพื่อป้องกันร่างกายจากอากาศภายนอกก่อนเดินตรงไปยังประตูด้านข้างของตึกสำนักงานที่เขาใช้เป็นประจำเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ



“รอก่อนสิ” เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่ออี้ฝานเดินพ้นประตูเลื่อนอัตโนมัติออกมาด้านนอก



เฉินเหว่ยถิงนั่นเอง



อี้ฝานรู้สึกว่าก้อนเนื้อใต้อกข้างซ้ายของเขากำลังเต้นผิดจังหวะ



“บก.”



“เลิกงานแล้วไม่ต้องเรียกแบบนั้นก็ได้”



“...” อี้ฝานไม่ได้ตอบอะไร อีกฝ่ายจึงเดินเข้ามาหาและฉวยคว้าเอากระเป๋าใบใหญ่ไปช่วยถือให้



“วันนี้ไปด้วยกันได้ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน



“ครับ ถิงเกอ” อี้ฝานตอบรับพลางพยักหน้าและเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกคนตรงหน้ามาเป็นคำที่เขาเคยเรียกเมื่อสมัยยังเป็นรุ่นน้องของเฉินเหว่ยถิงในสมัยมัธยมปลาย




เหว่ยถิงพาอี้ฝานมาที่แมนชั่นส่วนตัวของเขา เมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในมืดสนิท เจ้าของห้องปิดประตูลงและเดินฝ่าความมืดเข้าไปในห้องก่อนทิ้งให้อี้ฝานยืนเคว้งคว้างกับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย



ไม่นานดวงไฟก็ถูกเปิดขึ้น เป็นแสงไฟสลัวสีส้มที่อยู่ในส่วนที่ถูกออกแบบไว้เป็นห้องรับประทานอาหารนั่นเอง เมื่อมีแสงสว่างอี้ฝานจึงเห็นว่าบนโต๊ะกลางห้องมีอาหารถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ทั้งยังมีเชิงเทียนตั้งอยู่ เหว่ยถิงเดินไปหยิบไฟแช็กมาจุดไฟให้เทียนเล่มเล็กสว่างขึ้น



“ไม่คิดว่าเกอจะเป็นคนทำอะไรแบบนี้ได้เลยนะครับ” อี้ฝานเอ่ยขึ้นอดที่จะหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้



เหว่ยถิงยกมือขึ้นเกาแก้มแก้อาการขัดเขิน



“นั่งก่อนสิ”



อี้ฝานนั่งลงบนเก้าอี้ที่อีกฝ่ายยกขยับให้ ระหว่างที่รับประทานอาหารทั้งสองคนก็แลกเปลี่ยนความทรงจำในวันวานเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในรั้วโรงเรียนเดียวกันอย่างสนุกสนาน เมื่อกินอาหารมื้อค่ำแสนพิเศษเสร็จแล้วเจ้าของห้องและอี้ฝานก็ช่วยกันเก็บของล้างจานราวกับเป็นเรื่องราวที่เคยชินในชีวิตประจำวัน จากนั้นทั้งคู่ก็ออกมานั่งเล่นกันที่โซฟาตัวใหญ่หน้าโทรทัศน์เปิดดูรายการวาไรตี้ยอดนิยมพลางหัวเราะกันอย่างเพลิดเพลิน



“ดูสิเกอ โคตรฮาเลย เหมือนพวกเราสมัยเด็ก ๆ เลยอะ” อี้ฝานเอ่ยขึ้นเมื่อกติกาของเกมในรายการที่กำลังดูอยู่นั้นเหมือนกับที่ตัวเองเคยเล่นสมัยเรียน



“นั่นสิ ถ้าไม่ใช่เพราะนายบ้าบออย่างนี้เราก็คงไม่ได้รู้จักกัน” เหว่ยถิงหัวเราะกับรายการโทรทัศน์ก่อนหันมามองคนด้านข้างด้วยสายตาที่มีความหมาย



“...” อี้ฝานเงียบไปพลางหันไปสบตากับคนที่กำลังมองเขาอยู่



“จริง ๆ ตอนนั้นก็ดีนะ” เหว่ยถิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่เกิดความเงียบชั่วอึดใจ



“ครับ ขอบคุณถิงเกอที่ช่วยเหลือผมหลายอย่างเลย ขอบคุณจริง ๆ ” อี้ฝานกล่าวขอบคุณคนตรงหน้าที่ช่วยเหลือเขามาตลอดทั้งตอนที่ยังเป็นนักเรียนอยู่จนกระทั่งตอนนี้ที่เขาต้องมาทำงานโดยมีคนตรงหน้าเป็นเจ้านายก็ยังได้รับความเอ็นดูและความช่วยเหลือไม่ต่างจากเมื่อก่อน



“นายนี่มีแต่คำขอบคุณตลอดเลยนะ”



“ก็ผมไม่รู้จะพูดอะไรนี่ครับ ขอบคุณสำหรับวันนี้ด้วย ขอบคุณมากนะครับ”



“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม”



“...” คนหน้าสวยเสหลบสายตาคนข้าง ๆ เพราะสายตาที่มองมาทำให้เขาเขินจนทำตัวไม่ถูก หัวใจของเขากำลังเต้นกระหน่ำอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เขาอยากจะเอามือทุบอกตัวเองแล้วสั่งให้มันเต้นช้าลงกว่านี้สักหน่อย



“ไม่ได้เหรอ...” เสียงทุ้มนั้นเจือกระแสออดอ้อนจนอี้ฝานแทบจะอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ



“ถิงเกออยากได้อะไรล่ะครับ”



เฉินเหว่ยถิงขยับใบหน้าคมเข้มเข้ามาใกล้ดวงหน้าสวยก่อยเบี่ยงใบหน้าโน้มตัวมากระซิบติดใบหู



“เป็นแฟนกับฉันได้ไหม” พอพูดจบคนฟังก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา



“หัวเราะทำไมเล่า ฉันเขินอยู่นะเนี่ย” เฉินเหว่ยถิงกล่าวอย่างขัดเขิน ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนพูดจาอะไรหวาน ๆ แต่ก็เพราะคนตรงหน้า ทำให้เขาอยากทำอะไรแบบนี้ เขาเฝ้ารอตั้งแต่วันที่อี้ฝานมาสมัครงาน อดทนรอจนอี้ฝานทำงานมาได้ครบหนึ่งปีในวันนี้ วันเดียวกับวันเกิดของอี้ฝานเพื่อให้เขาแน่ใจตัวเอง ว่าความรู้สึกที่มีต่อคนตรงหน้ายังคงชัดเจนเหมือนครั้งอดีต ทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้อี้ฝานเชื่อใจ ว่าเขาจะไม่ทำคนที่เขารักต้องเสียใจอย่างแน่นอน



อี้ฝานยิ้มเต็มหน้าให้กับคนที่เอ่ยคำร้องขอเมื่อครู่



“ผมนึกว่าจะไม่ได้ยินประโยคนี้แล้วซะอีก”



“หมายความว่า...”



“ปล่อยให้ผมรอซะตั้งนานเลยนะครับ”



จบคำพูดนั้น โทรทัศน์ที่ถูกเปิดไว้ก็ไม่ได้รับความสนใจอีกต่อไป คนสองคนที่ตกอยู่ในห้วงความสุขไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากกันและกัน วันเวลาเพราะบ่มความรู้สึก ต้นไม้แห่งความรักก็เฝ้ารอวันที่พร้อมจะออกดอกอย่างสวยงาม เช่นเดียวกับอู๋อี้ฝานและเฉินเหว่ยถิง คำบอกรักกับคนที่ใช่ในเวลาที่ใช่คือบัวรดน้ำให้ต้นไม้นั้นชุ่มฉ่ำ เหว่ยถิงไม่เสียใจเลยที่เขาเพิ่งมาบอกอี้ฝานเอาตอนนี้ หากเขาใจร้อนและขอคบอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อครั้งยังเรียนด้วยกัน วันนี้ทั้งสองคนอาจร้างลากันไปและเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกัน
           


เพราะความอดทนเป็นปุ๋ยชั้นเลิศให้ความรักผลิบานได้อย่างยาวนาน

























บรรยากาศกลางสวนสาธารณะในเวลาหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วนั้นเงียบเหงา ระหว่างที่หยางหยางและหลี่อี้เฟิงทางเดินกลับคอนโดที่แชร์อยู่ด้วยกัน ระหว่างคนสองคนก็ยังไม่มีคำพูดใด ๆ



อี้เฟิงยอมรับว่าบางครั้งก็เป็นเขาเองที่แกล้งให้หยางหยางหึง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ เมื่ออี้ฝานเข้ามาทำงานแรก ๆ เขาเห็นว่าเป็นเด็กใหม่ ทั้งยังไม่คุ้นกับเพื่อนร่วมงานมากนักก็เลยอยากทำอะไรให้เด็กใหม่คุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงานมากขึ้นจึงเข้าไปชวนคุย อี้ฝานเป็นเด็กที่เขาถูกชะตาทั้งยังคุยกันถูกคอจนสนิทสนมกัน แค่ให้ของขวัญวันเกิดไม่ใช่เรื่องที่เขาทำเกินไปสักหน่อย



ระหว่างที่เดินผ่านสระน้ำในสวนสาธารณะของคอนโด เวลานั้นค่ำมากแล้วไม่เหลือผู้คนมาเดินเล่นหรือออกกำลังกายกันอีก มีเพียงดวงไฟไม่กี่ดวงส่องแสงริบหรี่ หลี่อี้เฟิงก็ทอดขาลดความเร็วในการเดินลง เมื่อหยางหยางรู้สึกได้ว่าอีกคนเดินช้าลงก็ปรับจังหวะการเดินของตัวเองลงเช่นกัน มือนุ่มค่อย ๆ ขยับสอดประสานกับมือใหญ่บีบกระชับเบา ๆ บอกว่ากำลังง้องอน



หยางหยางถอนหายใจแผ่วเบาและหยุดเดิน ลดทิฐิในใจก่อนกระชับมือนิ่มและหันไปหาคนยืนอยู่เคียงข้างกัน



“รู้ใช่ไหมว่าผมหึงเรื่องอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ



“อื้อ...” คนหน้าหวานพยักหน้าเม้มปากแน่น



“ทีหลังไม่ทำได้ไหม” หยางหยางเอ่ยเสียงอ่อนเจือกระแสเว้าวอน



“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย อวยพรวันเกิดใคร ๆ เขาก็ทำกัน”



“ทีวันเกิดผมเฟิงเกอไม่เห็นจะสนใจเลย”



“ก็...” คนหน้าหวานหยุดคำก่อนทำหน้ามุ่ยอย่างขัดใจ



“ก็อะไร ผมก็อยากให้แฟนทำอะไรให้ในวันพิเศษเหมือนกันนะ นี่เฟิงเกอเล่นไม่สนใจผมเลย แต่เดินถือของขวัญมาอวยพรคนอื่นเสียเสียงดังลั่นออฟฟิศ จะไม่ให้ผมน้อยใจได้ยังไง”



“ไม่ใช่ไม่สนใจสักหน่อย...”



ไม่สนใจแต่เช้าอีกวันฉันแทบลุกไม่ขึ้น ของขวัญนายมันก็พิเศษกว่าคนอื่นสุด ๆ แล้ว ตาบ้า!



หลี่อี้เฟิงได้แต่คิดแต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปเพราะกลัวจะขัดเขินเสียเอง



“พอเถอะ อย่าพูดอีกเลยถ้าเฟิงเกอจะไม่เข้าใจความรู้สึกของผม” หยางหยางเอ่ยเสียงเรียบเพื่อตัดบทเมื่อเห็นว่าคนรักยังยืนว่าจะยังทำเหมือนกับวันนี้กับคนอื่นต่อไป มือแกร่งขยับมือที่จับกันไว้ให้คลายออกจนอี้เฟิงใจเสีย



“เดี๋ยวสิ...”



“ค่อยคุยกันวันหลังเถอะครับ”



“ในหนึ่งปีฉันอวยพรวันเกิดเขาแค่หนึ่งวัน แต่ทั้ง 365 วันฉันอยู่กับนายนะ” เสียงหวานชิงพูดขึ้นก่อนที่คนรักจะปล่อยมือไปพร้อมกับสัมผัสอุ่นที่แก้มของหยางหยาง



คนที่เพิ่งขโมยหอมแก้มคนอื่นเสมองมองไปทางอื่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หยางหยางยิ้มกว้างกับกิริยาแสนน่ารักของคนรัก ดวงหน้าคมคายโน้มตัวไปจุมพิตแก้มใสให้คนที่กำลังเขินอายไม่ทันตั้งตัว พอเจ้าตัวตกใจจะผละตัวออกแขนแกร่งก็ตวัดโอบเอวคนรักให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดและฝังจมูกจมลึกลงบนแก้มนุ่ม



“แฟนใครก็ไม่รู้ น่ารักจัง” เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบข้างใบหู



“ถ้าไม่รักล่ะก็ จะฆ่าให้ตายเลย” เสียงหวานย้อนกลับอย่างหยอกล้อ



ดวงหน้าหล่อเหลาขยับมาสบตาคนรักตรง ๆ แนบหน้าผากจนปลายจมูกสัมผัสกันก่อนเอ่ยเสียงเบา



“แค่เฟิงเกอไม่สนใจผมก็เหมือนจะตายแล้ว อย่าทรมานกันแบบนี้บ่อย ๆ เลยนะครับ มันเหงานะรู้ไหม”



“รู้แล้วล่ะน่า” คนหน้าหวานขยับตัวเล็กน้อย ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกันแผ่วเบาก่อนอี้เฟิงจะวาดแขนโอบตอบคนรักแล้ววางศีรษะลงบนบ่าหนา “ฉันรักนายนะ”



“ผมก็รักเฟิงเกอ” หยางหยางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นก้มหน้าลงประทับจูบตรงระหว่างรอยต่อของขมับและไรผมของคนหน้าหวานอย่างรักใคร่ ระหว่างเขาทั้งสองไม่มีช่องว่างใด ๆ เหมือนหัวใจสองดวงที่แนบชิดกัน



ความรักของคนสองคนบางครั้งก็เหมือนกับท้องฟ้า บางวันก็มีแสงแดดเจิดจ้า บางวันก็ครึ้มฟ้าครึ้มฝน มันอาจไม่ได้สดใสทุกวัน แต่ท้องฟ้าก็ยังเป็นท้องฟ้าที่ยังคงอยู่ที่เดิมไม่หายไปไหน แค่แหงนหน้ามองขึ้นไป ท้องฟ้าจะยังคงอยู่ที่เดิมเสมอ เหมือนความรักของหยางหยางกับอี้เฟิง พวกเขาอาจจะทะเลาะกันบ้าง งอนกันบ้าง ไม่มีคำรักหวาน ๆ พร่ำบอกกันเหมือนคนรักคู่อื่น ๆ แต่ความรักของเขาทั้งสองก็ยังสัมผัสได้เสมอ



ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าวันไหนในรอบปี



แค่มองไปข้าง ๆ ยังมีคนที่จับมือกันอยู่



เท่านั้น...ก็เพียงพอแล้ว









END



TALK: เรื่องนี้แต่งด้วยความกาวล้วน ๆ ค่ะ แอบหึงเฟิงที่ไปอวยพรวันเกิดฝานในเวยปั๋ว 555 แล้วพอดีอยากเขียนคู่เฮียถิงกับฝานอยู่แล้วด้วย ก็เลยออกมาเป็นฉะนี้แล แหะๆ กาวไปเขียนไปพยายามให้จบในตอนเดียวจะได้ไม่ค้างคา ตอนนี้คนเขียนก็ง่วงมากแล้ว แต่อยากลงฟิคให้ได้อ่านกันกาวไปด้วยกัน ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ

อ้อ ที่สำคัญ สุขสันต์วันเกิดนะฝานฝาน! :)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น