[SF] --- Halloween Silhouette ---
Paring: หยางหยาง x หลี่อี้เฟิง ft.
เฉินเหว่ยถิง x อู๋อี้ฝาน
Warning: NC18 Profanity
ราตรีนี้ไร้ซึ่งแสงดาว...
ท่ามกลางท้องนภามืดสนิทเบื้องล่างคือมหานครที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานบนที่ราบหวาเป่ยซึ่งยามนี้เต็มไปด้วยแสงสีของงานรื่นเริงในค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลอง
ทั่วทุกมุมโลกผู้คนกำลังฉลองวันปลดปล่อยดวงวิญญาณอย่างไม่เกรงกลัวต่ออาถรรพ์ใด
ๆ แต่ใครเลยจะรู้ว่าในคฤหาสน์ใจกลางกรุงปักกิ่งกำลังจัดงานฉลองที่เต็มไปด้วยอมนุษย์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ดวงตากลมโตกวาดสายตาไปรอบงานเลี้ยงเพื่อมองหาใครคนหนึ่งซึ่งเขาเฝ้ารอมาแรมปีเพื่อพบกันอีกครั้ง
“อี้เฟิง พ่อจะไปพบท่านจอมปิศาจ ตามมาสิ”
หัวหน้าสกุลหลี่เอ่ยกับลูกชายของตน
“ครับ ท่านพ่อ”
เสียงนุ่มรับคำก่อนเดินตามผู้เป็นบิดาไปยังส่วนรับรองที่มีแต่คนสำคัญที่ได้รับเชิญเท่านั้นที่จะผ่านไปได้
สายตาของหลี่อี้เฟิงยังคงมองกวาดไปทั่วงานเพื่อหาคนที่ตนเฝ้ารอ
ในส่วนรับรองพิเศษดวงไฟทุกดวงไม่ได้รับการใช้งาน
แสงสว่างเรื่อเรืองเพียงน้อยนิดมีต้นกำเนิดจากเทียนเล่มเล็กบนเชิงเทียนเก่าแก่ที่วางอยู่เพียงบางจุดในห้องรับรองเท่านั้น
ด้านในสุดของห้องโถงมีบันไดทอดยาวขึ้นไปด้านบน
ในวินาทีหนึ่งที่ทุกสรรพเสียงเงียบหาย เงาบางอย่างเคลื่อนไหวจากบันไดนั้น
ร่างลึกลับใต้ผ้าคลุมสีดำปิดมิดชิดจนมองไม่เห็นใบหน้าก้าวลงจากบันไดอย่างเชื่องช้า
ทุกการเคลื่อนไหวนั้นสะกดทุกลมหายใจ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ
เมื่อร่างนั้นเดินลงมาจนสุดบันไดขั้นสุดท้าย มือขาวซีดที่โผล่พ้นใต้ผ้าคลุมค่อย
ๆ ดึงผ้าส่วนที่คลุมศีรษะออกช้า ๆ
เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มแต่ทว่าซีดขาวราวกับไม่ได้พบเจอแสงอาทิตย์มาเป็นเวลานานแสนนาน
ริมฝีปากซีดราวกับศพ
สิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าร่างนี้ยังมีชีวิตอยู่คือแววตาที่กำลังมองกวาดไปทั่วทั้งห้องโถงที่มีเพียงแสงน้อยนิดรำไร
วินาทีที่ดวงตาสีแดงสดหันมาสบเข้ากับดวงตากลมโตที่จับจ้องอยู่
เลือดในกายพลันเย็นเฉียบ เส้นขนตลอดแนวสันหลังลุกฮืออย่างไม่ทราบสาเหตุ
ตอนนั้นเองที่หลี่อี้เฟิงรับรู้ถึงความน่ากลัวของอมนุษย์ผู้ทรงพลังที่สุดบนแผ่นดินใหญ่
จอมปิศาจผู้ถูกขนานนามว่า “ใต้เท้าเฉิน”
ผู้คนด้านหน้าเริ่มขยับตัวเข้าใกล้ใต้เท้าเฉินรวมทั้งหัวหน้าสกุลหลี่
ทุกคนดูเหมือนถูกดูดเข้าไปโดยมีชายผู้นั้นเป็นศูนย์กลาง
เช่นเดียวกับหลี่อี้เฟิงที่รู้สึกว่าเห็นร่างนั้นได้ชัดเจนขึ้นทุกที
ยังไม่ทันที่จอมปิศาจจะหันกลับมามองอีกครั้ง ทุกการรับรู้ของหลี่อี้เฟิงก็ดับหายไป...
ในดินแดนอันห่างไกลผู้คนบนเทือกเขาสูงชันที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี
บางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว บนเส้นทางที่สิ่งนั้นเคลื่อนที่ไป
หิมะสีขาวบริสุทธิ์ก็เปรอะเปื้อนไปด้วยหยดเลือดสีแดงคล้ำ
มันกำลังจะตาย...
สิ่งปริศนาที่ทิ้งรอยเลือดไว้กลางหิมะขาวโพลน
แท้จริงแล้วคือชายหนุ่มรูปงามใต้ผ้าคลุมสีดำสนิทดวงตาเรียวรีอ่อนระโหยจนแทบไม่มีแรงจะเปิดเปลือกตาขึ้น
แต่เขาหยุดอยู่ตรงนี้ไม่ได้ หากหยุดเดินมีเพียงความตายเท่านั้นที่เฝ้ารอเขาอยู่
ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะมีโอกาสรอดชีวิตหรือไม่เขาก็เลือกที่จะเดิมพันกับโชคชะตาดีกว่านอนรอลมหายใจสุดท้าย
ชายหนุ่มปริศนาเดินฝ่าหิมะที่สูงแทบท่วมเข่า ขาแทบไร้แรงยืน
ทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ มือเรียวใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีแหวกฝ่าปุยน้ำแข็งหนาทึบแม้ความเย็นของมันจะเสียดแทงผิวเนื้อจนร่างกายแทบทนไม่ไหว
แต่เขาก็กัดฟันทนดิ้นรนจนกว่าจะไม่มีโอกาสอีกต่อไป
ขณะที่สติห้วงสุดท้ายกำลังจะดับวูบลง
เสียงลมหวีดหวิวก็คำรามก้องมาจากป่าสนไม่ไกลนัก
บางสิ่งที่มีชีวิตกำลังควบทะยานตรงมายังร่างบาดเจ็บที่กำลังอ่อนแรง
ผู้มาเยือนหยุดการเคลื่อนไหวลงตรงหน้าชายปริศนาลมหายใจอุ่นปะทะใบหน้าของเขาจนเกินไอหมอกขาว
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คน... มันคือแมวป่าสีขาวบริสุทธิ์ แต่ขนาดตัวมหึมาเท่าช้างพังเชือกหนึ่งนั้นชวนให้ไม่อาจคิดว่าเป็นแมวที่เกิดตามธรรมชาติได้
“ปิศาจแมวราตรี...” เสียงแหบโหยเอ่ยแผ่วเบา
ดวงตากลมโตของแมวปิศาจจับจ้องร่างตรงหน้าของตนอย่างพิจารณา
ปลายหนวดสีขาวเช่นเดียวกับขนของมันไหวกระดิกราวกับกำลังรับรู้สัญญาณบางอย่าง
“ท่านไม่ใช่มนุษย์”
เสียงหนึ่งดังขึ้นซึ่งไม่อาจเป็นเสียงของใครไปได้นอกจากปิศาจแมวราตรีที่กำลังจับจ้องมาที่เขาอยู่ในตอนนี้
“เจ้า...”
“ทิเบตยามนี้ไม่ปลอดภัย เผ่าพันธุ์ปิศาจกำลังถูกพวกนักบวชกวาดล้าง
หากไม่รีบหนีท่านจะต้องตายอยู่ที่นี่” แมวปิศาจเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ข้า...” ไม่ทันขาดคำชายปริศนาก็หมดสติไป
เสียงโห่ร้องของชาวบ้านและบทสวดขับไล่สิ่งชั่วร้ายของนักบวชทิเบตใกล้เข้ามาทุกที
ไม่มีเวลาแล้ว
กลางราตรีที่ไร้ดาวแสงจันทร์สุกสว่างทอแสงผ่านทิวสนและหมู่แมกไม้ที่ปกคลุมด้วยหิมะอันหนาวเหน็บ
ใต้เชิงผาสูงชันของภูเขาน้ำแข็งที่ตั้งตระหง่านกลางที่ราบสูงทิเบตในยามที่มีแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวจากราชินีแห่งฟากฟ้าปรากฏเงาประหลาดของบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหว
เงานั้นเหมือนสัตว์สี่เท้าขนาดยักษ์กำลังคาบบางอย่างอยู่ในปากของมัน
แต่แล้วเงาประหลาดนั้นก็ค่อย ๆ ลดขนาดลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงเงาเล็ก ๆ ของคนสองคนที่กำลังเดินไปยังสุดผาอีกด้านหนึ่งอย่างทุลักทุเล
ร่างหนึ่งกอดประคองอีกร่างที่ไร้สติอย่างยากลำบาก แมวปิศาจจำต้องกลับสู่ร่างมนุษย์ที่อ่อนพละกำลังลงเพราะหน้าผาที่ทั้งแคบและสูงชันทำให้ร่างเดิมของแมวยักษ์ไม่สามารถผ่านไปได้
เมื่อเดินมาใกล้ซอกผาแห่งหนึ่งซึ่งมีขนาดกว้างพอให้คนสองคนได้พักพิงแมวปิศาจจึงวางร่างที่หลับสนิทลง
“หากผ่านคืนนี้ไปได้ท่านจะมีโอกาสรอด ขอร้องล่ะ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเลย”
เสียงหวานพึมพำ แต่ลมหายใจที่โรยแรงของร่างในอ้อมกอดนั้นทำให้น่าหวั่นใจเหลือเกิน
มือบางเลิกผ้าคลุมสีดำสนิทออกเผยให้เห็นบาดแผลลึกหลายจุดบนร่างแกร่งกำยำ
แมวปิศาจคิดอย่างสับสน หากต้องใช้พลังของตนเพื่อช่วยเหลือชายแปลกหน้าผู้นี้ถ้าพวกนักบวชอำมหิตนั่นตามมาเจอ
เขาคงไม่เหลือพลังเวทใด ๆ ไปต่อกร
แต่จะปล่อยให้เสียงหัวใจของชายผู้นี้อ่อนแรงจนเงียบหายไปต่อหน้าต่อตาเขาก็คงทำไม่ได้
แมวปิศาจตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว หากโชคชะตายังปรานี
คืนนี้เขาคงไม่จำเป็นต้องประมือกับพวกนักบวชกล้าอาคมพวกนั้นอีก
เรียวปากอิ่มแนบประทับลงบนรอยแผลฉกรรจ์ทีละแห่ง ทันทีที่กลีบปากจรดลงบนรอยแผลเหล่านั้นเลือดก็พลันแห้งสนิทปากแผลสมานกันอย่างน่าอัศจรรย์
ร่างกายของชายแปลกหน้าให้กลิ่นหอมประหลาดเหมือนกลิ่นรากไม้ที่ใช้ปรุงยา
กลิ่นหอมหวานชวนให้เคลิบเคลิ้มเมื่อบาดแผลทุกแห่งได้รับการรักษาแต่เรียวปากอิ่มยังไม่หยุดเคลื่อนไหว
ไม่มีคำอธิบายใด ๆ ต่อความรู้สึกที่เอ่อท้นขึ้นมาในอกของแมวปิศาจในยามนี้
กว่าจะรู้ตัวริมฝีปากทั้งสองก็แนบชิด
เรียวปากซีดของคนที่ก่อนหน้านี้หมดสติไปขยับเคลื่อนไหวบดเคล้าขึ้นสู้ริมฝีปากอ่อนของคนที่โอบประคองตนเอาไว้
เรียวลิ้นร้อนชำแรกรุกล้ำฝ่าด่านริมฝีปากสีหวานอย่างเชื่องช้า
“อึก... อื้อ...ท่านจะทำอะไร” แมวปิศาจผละตนออกมาจากจูบรุกเร้า
แม้จะรู้สึกดีแต่ความรู้สึกบางอย่างที่ตีท้นในอกทำให้หัวใจเต้นรัวอย่างน่าตกใจ
“ทำให้ร่างกายของเจ้าอุ่นขึ้น”
เสียงแหบทุ้มทำให้แมวปิศาจเพิ่งรู้ตัวว่าร่างกายของตนเองกำลังสั่นเพราะสภาพอากาศอันโหดร้ายของภูเขาหิมะ
ในร่างมนุษย์แมวปิศาจไร้ซึ่งขนอันหนานุ่มจะป้องกันตัวเองจากความหนาวเย็น
หากต้องอยู่ในร่างนี้ทั้งคืนในสภาพอากาศแบบนี้อาจเป็นแมวปิศาจเองที่จะไม่รอด
ดวงตากลมหันกลับมาสบสายตาคมเข้มอย่างสับสน แต่ชายปริศนาไม่รอคำตอบโน้มตัวประทับจุมพิตร้อนลงบนกลีบปากนุ่ม
จากคนที่เคยเป็นโอบประคองคนอ่อนแรง บัดนี้เปลี่ยนมาเป็นผู้ถูกกอด
อุณหภูมิของร่างบางขยับสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงเรียวปากที่แตะต้องตามจุดต่าง
ๆ ของร่างกายก็ราวกับปัดเป่าความหนาวเย็นไปหมดสิ้น
เพราะใช้พลังเวททั้งที่ร่างกายยังไม่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บชายหนุ่มจึงมีอาการหอบจนเห็นได้ชัด
“ท่าน... “
“...”
“รักษาตัวเองก่อนเถิด ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
“คืนนี้ข้าอาจจะไม่รอดแล้ว เจ้าจงรีบไป อย่าได้ห่วงคนแปลกหน้าเช่นข้า”
“ทำไมล่ะ บาดแผลท่านหายสนิทหมดแล้ว ท่านต้องรอดสิ”
แมวปิศาจร้องขึ้นอย่างตกใจ
“ข้าไม่มีพลังชีวิตเหลือแล้ว ไปเสียเถิด”
“พลังชีวิต?” คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ
เขารู้ดีว่าชายผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ ปิศาจย่อมมีพลังชีวิตเหลือเฟือ
เหตุใดชายผู้นี้จึงพูดเช่นนั้น
“ข้าถูกไล่ล่ามากว่าแรมเดือนแล้ว ไร้อาหาร แทบไม่เหลือกำลังวังชาใด ๆ สวรรค์เท่านั้นที่จะช่วยให้ข้ารอดไปได้
รีบหนีไปเสียเถิด” เสียงแหบอ่อนแรงกล่าวราวกับต้องการตัดเยื่อใย
อะไรกัน ข้าช่วยท่านมาถึงขนาดนี้ จะให้ทิ้งไปได้อย่างไร
แมวปิศาจคิดสะท้อนอารมณ์ตัดพ้อออกมาทางแววตาชัดเจนเสียจนชายปริศนาต้องหลบสายตา
แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมองของแมวปิศาจ
“ท่านบอกว่าถูกไล่ล่ามาเป็นเดือนแล้ว หมายความว่า...”
“ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า รีบหนีไป”
“แต่ว่า...”
เขี้ยวคมกดลึกฝังลงบนลาดไหล่ขาว แมวปิศาจต้องอดกลั้นความเจ็บปวดของตนเพราะเป็นคนยื่นข้อเสนอเองที่จะแบ่งพลังชีวิตให้กับชายแปลกหน้า...
ไม่สิ เขาคือ “คุณชายบ้านสกุลหยาง” ไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นี่จะไม่รู้จักบ้านสกุลหยาง
ตระกูลผีดิบดูดเลือดอันเก่าแก่ของทิเบต แต่บัดนี้กำลังถูกไลล่ากวาดล้างจากตระกูลนักบวชศักดิ์สิทธิ์ที่อพยพมายังดินแดนนี้ได้ไม่นาน
มือเรียวขาวซีดไล้ซับหยาดน้ำตาจากความเจ็บปวดบนใบหน้าหวานอย่างทะนุถนอม
มนุษย์ที่หยามเหยียดปิศาจว่าชั่วร้ายหนักหนา แต่คนตรงหน้านี้เล่า
ทั้งทีไม่จำเป็นเลยแต่กลับช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงสิ่งตอบแทน จิตใจของปิศาจที่ชื่อ
“หลี่อี้เฟิง” งดงามกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก
แมวปิศาจรับรู้ได้ถึงรสคาวเลือดของตนผ่านจุมพิตนุ่มนวลของแวมไพร์ผู้สูงศักดิ์ความเจ็บปวดจากพิษของบาดและกลิ่นหอมรากไม้จากกายแกร่งผสมปนเปจนหลี่อี้เฟิงรู้สึกงุนงง
แรงหยอกเย้าจากริมฝีปากและมือแกร่งที่ลูบไล้ไปตามร่างกายชวนให้เคลิบเคลิ้ม
ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น เขาก็หมดสิ้นแล้วซึ่งเรี่ยวแรงจะต้านทาน เงาของสองร่างที่เกี่ยวกระหวัดหลอมรวมเป็นหนึ่ง
มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นเป็นพยาน
ข้ามพ้นราตรีนี้ ดวงใจสองดวงก็ไม่อาจแยกจากกันได้อีก
“ข้าต้องไปแล้ว...พ่อของข้ารออยู่”
“จงรีบไป รักษาตัวให้ดี แล้วข้าจะไปพบเจ้าแน่นอน ข้าสัญญา” จูบลาที่เชิงหน้าผาท่ามกลางหิมะขาวโพลน
ชวนให้หัวใจอ้างว้างยิ่งนัก
...ฝันอีกแล้ว...
หลี่อี้เฟิงปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก เพราะสายตาที่พร่ามัวจึงเห็นแต่เพียงเงาราง
ๆ ภาพของใบหน้าที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาฝืนกระพริบเพื่อมองให้ชัดขึ้น
“คุณชาย...” ความปีติในใจกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำใสเอ่อท้นดวงตา
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย พักเอาแรงก่อนเถิด”
“แต่.... ท่านพ่อของข้า” เสียงหวานเอ่ย
เมื่อนึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ในห้องรับรองพิเศษ
จอมปิศาจที่น่ากลัวที่สุดอยู่ที่นั่น
“เราจะกลับไปช่วยพวกเขา ยังพอมีเวลา แต่เจ้าต้องพักก่อน
เจ้าโดนอาคมสะกดวิญญาณของเฉินเหว่ยถิงไป ต้องรีบคลายมนตร์เสียก่อน”
“เฉินเหว่ยถิง?”
“นามจริงของใต้เท้าเฉิน”
“ท่านรู้ได้ยังไง”
“สกุลหยางอยู่บนแผ่นดินนี้มากว่าพันปี ไม่มีอะไรที่พวกเราไม่รู้”
ก่อนที่พิธีสังเวยวิญญาณจะถึงขึ้นตอนสุดท้ายก็มีเสียงบางอย่างพุ่งแหวกอากาศฝ่ากลางวงเหยื่อเซ่นสังเวยผ่านใบหน้าของใต้เท้าเฉินไป
ก่อนกริชสีเงินจะปักหยุดนิ่งบนกำแพงด้านหลังจอมปิศาจ เหล่าปิศาจผู้ถูกสะกดฟื้นจากอาคมต่างส่งเสียงร้องครางฮือฮา
จอมปิศาจเฉินเหว่ยถิงระบายโทสะใช้พลังกระแทกทุกอย่างทั้งเหล่าบริวารปิศาจและข้าวของกระจายเป็นวงกว้าง
ที่สุดทางของห้องโถงบุรุษผู้ทรงอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ปรากฏแก่สายตา
ไม้กางเขนที่ปักเป็นลวดลายวิจิตรเหนืออกด้านหนึ่งบ่งบอกว่าเขาคือบริวารแห่งพระเจ้า
“เจ้านั่นเอง อู๋อี้ฝาน”
บุรุษที่ถูกขานนามขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจที่ถูกล่วงรู้ชื่อจากปิศาจที่ตนไม่เคยพบมาก่อน
เขารู้แต่เพียงว่าค่ำคืนนี้จะมีพิธีเซ่นสังเวยวิญญาณปิศาจของจอมปิศาจชั่วร้ายที่ชีวิตยืนยาวนับพันปี
หากพิธีนี้สำเร็จพลังอำนาจของมันจะมากมายมหาศาลเกินกว่าใครจะต่อกรได้
เขาได้รับหน้าที่มาเพียงหยุดยั้งพิธีกรรมนี้เท่านั้น
“ข้าไม่รู้จักท่าน”
“หึหึ กล้าท้าทายอำนาจข้าถึงขนาดมาล้มพิธีเช่นนี้ได้
เจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย แต่กี่ภพชาติ เจ้าก็ไม่มีวันชนะข้า จำไว้” สิ้นคำ
จอมปิศาจก็หายตัวไปเหลือเพียงหมอกควันเบาบาง
หัวหน้าสกุลหลี่ถูกอาคมสะกดทั้งยังร่างกายอ่อน
พลังชีวิตบางส่วนถูกตอมมารกลืนกินไปแล้ว
ขณะที่สติกำลังจะดับวูบลงก็มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาประคองเขาไว้และพาออกไปจากคฤหาสถ์หรูกลางเมืองที่บัดนี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
เหล่าอมนุษย์ที่หวังจะพึ่งบารมีใต้เท้าเฉินต่างหลบหนีกันวุ่นวายเมื่อภัยมาถึงตัว
“เจ้าเป็นใคร จะพาข้าไปที่ใด”
“ท่านยังไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้ รู้เพียงแต่ว่าข้าไม่ได้คิดร้ายต่อท่านก็พอ”
“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”
“ถึงไม่เชื่อท่านก็คงขัดขืนข้าในตอนนี้ไม่ได้หรอก”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียบก่อนใช้พลังเวทสะกดหัวหน้าสกุลหลี่ให้หลับใหลไป
ดวงตากลมโตขยับเปิดขึ้นเมื่อรับรู้ถึงลมหายใจที่เป่ารดผิวหน้า
“ท่าน...”
“กว่าจะตื่นได้ ปล่อยให้ข้ารอเสียตั้งนาน”
เสียงทุ้มเอ่ยว่ากล่าวไม่จริงจังนัก
ร่างแกร่งนอนตะแคงวางตัวบนศอกเฝ้ามองดวงหน้าหวานอย่างอ่อนโยน
มือเรียวไล้สัมผัสแก้มนุ่มอย่างรักใคร่
ดวงตาใสของคุณหนูปิศาจมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าเป็นห้องนอนของตนในบ้านสกุลหลี่
หลังจากการกวาดล้างปิศาจในทิเบตคราวนั้นเหล่าปิศาจแมวราตรีก็ระหกระเหเร่ร่อนกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง
เขาและพ่ออพยพมาอยู่ที่ปักกิ่งอย่างเงียบเชียบ
“ท่านเข้ามาในห้องข้าได้อย่างไร”
“ข้าเป็นคนช่วยพ่อเจ้าไว้ มีหรือบ้านสกุลหลี่จะไม่ต้อนรับข้า”
เสียงทุ้มเอ่ย ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้ม
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่เห็นจำเป็นต้องขึ้นมาหาข้าถึงที่ห้องเลย
พ่อข้าจะคิดเช่นไร”
“ข้ามาหาเจ้าตามสัญญาแล้วนะ แมวน้อยของข้า”
เสียงทุ้มเอ่ยถึงสิ่งที่ตั้งใจจะพูดตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเฝ้ารอปิศาจแมวหน้าหวานให้ตื่นจากนิทราแสนสุข
“...” ดวงหน้าหวานเสหลบสายตาที่จับจ้องอย่างแฝงความหมาย
“ตั้งแต่วันที่เจ้าจากมา ไม่มีวันใดที่ข้าไม่คิดถึงเจ้า”
คำหวานที่พร่ำบอกยิ่งทำให้แมวปิศาจเขินอายกลายเป็นแมวเชื่อง ๆ ตัวหนึ่ง
“ข้าก็คิดถึงท่าน...” มือแกร่งเชยคางมนเรียกร้องให้ลูกแมวน้อยเบนสายตามาสบ
ยิ่งกว่าคำพูดที่เอื้อนเอ่ย ถ้อยคำที่สื่อผ่านสายตานั้นชัดเจนยิ่งกว่า ดวงตาของผีดิบดูดเลือดที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์
ยามนี้สะท้อนแต่ความห่วงหาและเรียกร้องอ้อนวอนจนทั้งร่างของแมวปิศาจแทบจะหลอมละลายเพราะสายตานั้น
เปลือกตาสวยปิดปรือลงรับจุมพิตนุ่มที่ประทับลงมาอย่างอ่อนโยน
เรียวปากหนาขยับหยอกเย้ากลีบปากบางที่แสนคิดถึง
ลิ้นหนาแทรกสอกรุกล้ำเข้าทักทายลิ้นเล็กอย่างคุ้นเคย
ความรู้สึกที่อัดแน่นมาแรมปีปะทุออกมาราวกับกองไฟที่ถูกราดด้วยน้ำมัน
มือแกร่งไม่ปล่อยให้ตัวเองว่างงานลูบไล้บีบเค้นสีข้างของปิศาจแมวราตรีอย่างโหยหา
เนื้อสัมผัสและกลิ่น
กายที่เคยได้แต่เชยชมในจินตนาการมาหลายเวลา
ตอนนี้ทุกอย่างเป็นความจริง หยางหยางและหลี่อี้เฟิงได้พบกันแล้ว ครั้งนี้คุณชายแห่งบ้านสกุลหยางจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดมาพรากเขาทั้งสองคนได้อีก
เสื้อผ้าเนื้อดีถูกทอดทิ้งกระจัดกระจายอยู่ข้างเตียงอย่างไม่มีความสำคัญ
สองร่างที่แนบชิดแทบไม่มีช่องว่างระหว่างกัน เพียงริมฝีปากผละออกจากกันก็ปรากฏเสียงครางหวานของแมวปิศาจที่ถูกกระตุ้นด้วยไฟราคะ
ความนุ่มหยุ่นของเรียมปากหนาที่จูบประทับไปทั่วเรือนร่างขาวเนียนราวกับกระแสไฟฟ้าอ่อน
ๆ ส่งผลให้ร่างขาวบิดกายด้วยความวาบไหว ผิวเนื้ออ่อนถูกแทะโลมกลืนกินราวกับเป็นอาหารอันโอชะ
ทุกสัมผัสที่ถูกปรนเปรอเต็มไปด้วยร่องรอยของความคิดถึงและห่วงหา
นี่คงเป็นโชคชะตา
หากแมวปิศาจหลี่อี้เฟิงไม่พลัดหลงจากญาติพี่น้องในวันนั้นก็คงไม่ได้พบกับคุณชายหยางหยาง
เพราะความไร้เดียงสาที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้เกิดสายใยผูกพันที่แน่นแฟ้นแม้มองไม่เห็น
แสงจันทร์นวลที่สาดส่องผ่านหน้าต่าง
เงาของทั้งสองร่างขยับไหวบนผืนผ้าม่าน ให้ดวงจันทร์เป็นพยานต่อดวงใจทั้งสอง แม้เป็นปิศาจแต่ความรู้สึกที่มีต่อกันนั้นบริสุทธิ์ด้วยใจไม่ต่างจากมนุษย์อื่นใด
ไม่ว่ากี่ราตรีจะผ่านพ้น ด้วยแรงแห่งคำมั่นสัญญากุหลาบงามแห่งความรักกำลังผลิบานอีกครั้ง
END
Happy
Halloween นะคะ รักคนอ่านทุกคนค่ะ จุ๊ฟฟฟฟฟ
ปล. ฝากคอมเมนท์ไว้ในบล็อกหรือแท็ก #ปิศาจฮาโลวีน ก็ได้นะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น