SWEET LABYRINTH SP 3.5 การพบกันของเรา
คำเตือน: เรื่องทั้งหมดเกิดจากจินตนาการของผู้แต่งเอง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ความเดิมตอนที่แล้ว >> Intro l Chapter 01 l Chapter 02 l Chapter 03
(Jing Boran POV.)
หลังจากถ่ายแบบให้นิตยสารหัวหนึ่งเสร็จเรียบร้อยด้วยดี ระหว่างที่กำลังเก็บของผมก็เห็นกระดาษโพสท์อิทและลิปสติกแท่งหนึ่งวางอยู่ใกล้กับกระเป๋าของผม
“1113”
หมายเลขนั้นเป็นหมายเลขประตูที่เปิดสู่ดาดฟ้าของสตูดิโอนี้ ผมเห็นสีของลิปสติกที่ถูกทิ้งไว้ก็พอจะเดาได้ว่าใครคือคนที่กำลังรอผมอยู่ที่นั่น
เมื่อผมมาถึงสถานที่นัดพบก็รู้ว่าผมเดาไม่ผิดเลย นางแบบหน้าใหม่ที่ผมเจอที่เมื่อเช้านั่นเอง ใจกล้าไม่เบา เราเคยเจอกันสองครั้งตามสตูดิโอถ่ายแบบและอีกครั้งที่ผับแห่งหนึ่ง เจ้าหล่อนแสดงออกว่าสนใจผมอยู่หรอกครับถ้าไม่ติดว่าคืนนั้นผมไม่ว่างซะแล้ว
แต่วันนี้คงไม่พลาด เพราะผมน่ะว่างทั้งวันเลย
เพียงแค่ไม่ถึงนาทีที่ผมปรากฏตัวด้านหลังประตูบานนั้น เจ้าของลิปติกสีสดก็เข้าประชิดตัวผม มือของเธอวางบนแผ่นอกผมแล้วกระดุมก็ค่อย ๆ หลุดดออกไป หลังจากนั้นผมก็แทบไม่ต้องเหนื่อยแรงเลย...
เมื่อผมปลดปล่อยความต้องการจนสมใจ หางตาผมก็ดันไปเห็นบุคคลผู้ไม่ได้รับเชิญที่กำลังยืนกอดอกพิงผนังมองผมกับสาวน้อยปากแดงทำกิจกรรมส่วนตัวกันโดยไม่สะทกสะท้าน
“เฮ้ย!” เสียงอุทานของผมดังก้องทางเดินที่เป็นบันไดเวียน สาวน้อยที่ผมยังไม่รู้แม้กระทั่งชื่อหวีดร้องเบา ๆ หยิบเสื้อของตัวเองที่หล่นกองอยู่บนพื้นมาเช็ดปากอิ่มที่เพิ่งปรนเปรอให้ผมเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว แล้วก็รีบวิ่งหนีออกทางประตูที่เราเข้ามาไปทันที
ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อหมอนั่นไม่แม้แต่จะมีปฏิกิริยาอะไรที่จะรับรู้ว่าตัวเองเสียมารยาทที่เข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น
ผมแต่งตัวอย่างอ้อยอิ่ง อยากมองก็มองไป อยากรู้เหมือนกันว่าจะมองอีกนานแค่ไหน
ระหว่างที่ผมกำลังติดกระดุม ผมก็เหลือบมองไปที่บุคคลไม่พึงประสงค์อีกครั้ง สายตาของหมอนั่นมองตามมือของผมที่กำลังติดติดกระดุมทีละเม็ด ๆ
เชี่ย ! ขนลุกว่ะ
ทำไมอยู่ดี ๆ ผมถึงต้องถูกผู้ชายที่ไม่รู้จักมายืนมองตอนทำเรื่องอย่างว่ากับตอนใส่เสื้อผ้าด้วยวะ
ผมรีบแต่งตัวให้เสร็จอย่างรวดรวดเร็วแล้วยืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองคนตรงหน้ากลับไป เขายังคงจ้องผมอยู่อย่างนั้น เราสบตากันด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง ในหัวผมมีทั้งความหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะและคำถามมากมายถึงสาเหตุที่เขายังยืนอยู่ตรงนี้
“จะยืนมองอีกนานไหม ที่บ้านไม่มีใครสอนเรื่องมารยาทเหรอ” เป็นผมเองที่ทนไม่ไหวและเปิดปากถามขึ้นมาก่อน
“ฉันออกไปสูบบุหรี่บนดาดฟ้ามา กำลังจะกลับเข้าไปในตึก แต่พอดีประตูมันถูกขวางไว้น่ะ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่บ้านนายเขาสอนเรื่องมารยาทเหมือนที่บ้านฉันหรือเปล่า ถึงได้มาทำอะไร ๆ ในที่แบบนี้” หมอนั่นพูดนิ่ม ๆ แต่ผมถึงกับหน้าตึง
ผมเดินถอยหลังอย่างไม่เต็มใจไปก้าวหนึ่งก่อนเบี่ยงปลายคางไปยังประตู
“เชิญ”
หมอนั่นหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนเดินตรงมาทางผม พอเขาจับลูกบิดประตูบิดออกผมก็ถอนหายใจออกมา คิดว่าจะได้ผ่านพ้นบรรยากาศน่าหงุดหงิดนี้ไปสักที แต่หมอนั่นหันกลับมามองผมก่อนจะพูดทิ้งท้าย
“หน้านายตอนถึงนี่ก็ร้อนแรงดีนะ”
เชี่ย !
“นี่ ป๋อหรัน เมื่อไหร่นายจะเลิกทำตัวแบบนี้สักทีห้ะ! โอ๊ย นี่ทำไมไม่รู้จักระวังตัวเองบ้างฮึ ปล่อยให้มันมีรอยอย่างนี้ได้ยังไง แล้วเดินออกมานี่มีใครเห็นหรือเปล่า...” เสียงของหย่งเฉอผู้จัดการสาวของผมแว้ด ๆ ใส่ผมเป็นชุดเมื่อผมเดินออกมาจากสตูดิโอพร้อมกับรอยลิปสติกสีแดงบนหน้าอกเสื้อ เธอทำหน้ารังเกียจแต่ก็ใช้นิ้วชี้จิ้ม ๆ ๆ ลงบนรอยนั่นไม่หยุด ถ้าเล็บเธอคมกว่านี้สักหน่อยหน้าอกผมคงทะลุไปแล้ว
“แค่เปื้อนนิดเดียวเท่านั้นแหละน่า ไม่มีใครเห็นสักหน่อย เมื่อไหร่จะเลิกจิ้มเนี่ยเจ๊ ผมเจ็บนะ”
“ฉันอุตส่าห์มีข่าวดีมาบอก แต่ต้องมาอารมณ์เสียเพราะพฤติกรรมของนายเนี่ย โอ๊ย หงุดหงิด”
“หงุดหงิดมากก็ไปนอนไป มาทำร้ายร่างกายคนอื่นแบบนี้มันจะหายหรือไงเล่า”
“หายแน่ ถ้าได้ทำร้ายร่างกายนายน่ะ หาเรื่องให้ฉันปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน” อะไรวะ เพิ่งจะหงุดหงิดมาก็ยังมาเจอผู้จัดการวีนใส่อีก
“เลิกบ่นเหอะน่า แล้วที่บอกว่ามีข่าวน่ะข่าวดีอะไรล่ะเจ๊”
“อ่อ เกือบลืมเลย” เจ๊หย่งเฉอพ่นลมออกทางจมูกก่อนเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว “ข่าวดีก็คือ นายกับลังจะได้เล่นหนังฟอร์มยักษ์ปีหน้า ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องนี้นายต้องร่วมงานกับหลี่อี้เฟิงล่ะ”
เจ๊หมายถึงหนังเรื่องที่ผมเพิ่งเข้าไปแคสมาเมื่อเดือนก่อน เป็นหนังทุ่มทุนสร้างหลายล้านหยวน เจ๊แกหมายมั่นปั้นมือสุดฤทธิ์ว่าถ้าผมได้เล่นเรื่องนี้ต้องดังเป็นพลุแตกแน่ ๆ ไม่คิดว่าจะได้เล่นกับดาราระดับท็อปอย่างหลี่อี้เฟิง สงสัยดวงผมคงกำลังขึ้นแบบฉุดไม่อยู่จริง ๆ
“ก็ดีน่ะสิเจ๊ บทดีด้วย จะเริ่มถ่ายทำเมื่อไหร่อะ”
“ต้นปีหน้าย่ะ”
“โห่ อีกตั้งนาน ผมชักจะรอไม่ไหวแล้ว”
“รออะไร ใครบอกให้รอยะ ไม่ต้องรอแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เลิกทำตัวเสเพลซะ อย่าให้มีข่าวแย่ ๆ ออกมา และที่สำคัญ...ทำตัวสนิทสนมกับหลี่อี้เฟิงไว้ด้วย” ห้ะ อะไรนะ ประโยคหลังนั่นผมได้ยินอะไรผิดหรือเปล่า
“พูดใหม่อีกทีซิเจ๊”
“ฉันบอกให้นายทำตัวให้ดี ๆ ...”
“ไม่ใช่ ๆ อันหลังดิ”
“ฉัน-บอก-ว่า-ให้-นาย-สนิท-กับ-หลี่- อี้-เฟิง-ไว้ เป็นไง ได้ยินชัดไหม?”
“อ่า ชัด ชัดแจ๋วเลย”
“อ้ะ นี่เป็นตารางงานของหลี่อี้เฟิงเดือนนี้ ที่เขียนอยู่ตรงนี้คือเบอร์ผู้จัดการของเขา วันไหนที่ว่างก็ช่วยทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยนะจะพ่อปลาไหลใส่สเก็ต”
“...”
เห็นเค้าลางความไม่สงบสุขในชีวิตผมหรือยังครับ?
------------------------------------------Sweet Labyrinth-----------------------------------------------
การสนิทสนมกับหลี่อี้เฟิงไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หลังจากเราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นผมว่ามันเป็นเรื่องดีทีเดียวครับ อี้เฟิงเป็นเพื่อนที่น่าคบหามาก ๆ คนหนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือความจริงใจ ก่อนหน้านี้ผมรู้จักเขาแค่เพียงจากสื่อที่ผ่านตาเท่านั้น ผมจินตนาการไว้ว่าเขาต้องเป็นคนที่หยิ่งและโลกส่วนตัวสูงมาก ๆ แต่ผมถูกแค่ครึ่งเดียวครับ เขาโลกส่วนตัวสูงก็จริง แต่ไม่มีความเย่อหยิ่งใด ๆ เลย ถือว่าเป็นคนที่น่าสนใจทีเดียวครับ
แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ดีที่สุดของการวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ตัวหลี่อี้เฟิงก็คือคนที่กำลังกดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่นอกร้านกาแฟที่ผมกำลังนั่งอยู่ด้านในในตอนนี้…
ผมรู้จักหยางหยางมานานแล้วครับ แต่ไม่เคยเข้าถึงตัวได้สักที หมอนี่แทบไม่สนใจใครรอบตัวเลย... หรือจะพูดให้ถูก คือสนใจแต่ไม่ให้ความสำคัญมากกว่า แต่ทันทีที่ผมปรากฏตัวอยู่รอบตัวของหลี่อี้เฟิง ก็เหมือนผมหลุดเข้ามาอยู่ในวงโคจรของสิ่งที่น่าสนใจสำหรับหยางหยางทันที จากที่เพียงเดินผ่านเลยกันไปราวกับคนไม่รู้จักกัน กลับเป็นหยางหยางเองที่มักเข้ามาคุยกับผมก่อนเสมอ ถือเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
เขาจะรู้ตัวบ้างไหมว่าเวลาตัวเองทำหน้าหงุดหงิดราวกับสิ่งรอบตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อโลกของเขาแบบนั้นมันทำให้เขาน่ารักเสียจริง ๆ
ผมทนแค่มองอยู่เฉย ๆ ไม่ได้จริง ๆ ครับ ก่อนที่โอกาสเข้าใกล้แกะน้อยของผมจะหลุดลอยไปผมอยากทำอะไรสักอย่าง บอกให้เขารู้ว่าผมอยู่ตรงนี้
“อ้าว ไอ้ลูกแกะ มายังไงวะเนี่ย” ผมทักเขาทันทีที่เดินออกมาจากร้าน
“พอดีเดินผ่านมาแถวนี้ครับ เพิ่งเลิกกองแวะมาทำธุระนิดหน่อย พี่ล่ะมาทำอะไรแถวนี้ ช่วงนี้ไม่ได้มีงานที่เซี่ยงไฮ้ไม่ใช่เหรอ” รู้ตารางงานของผมซะด้วย อย่างนี้เรียกว่าให้ความสำคัญได้ไหมครับ
“ก็หลี่อี้เฟิงอยู่ที่นี่ ฉันว่างงานพอดีเลยอยากมาเห็นหน้าสักหน่อย” อยากเห็นหน้าเขานะครับ ไม่ใช่หลี่อี้เฟิง
“อยากมาเจอหน้าอี้เฟิงอย่างเดียวจริง ๆ เหรอ ไม่ใช่ว่าแวะนัดสาวที่ไหนไว้ด้วยหรอกนะครับ” ดูสีหน้าของเขาสิครับ คิ้วขมวดอย่างกับกลัวใครจะมาแย่งของเล่นแหนะ น่าแกล้งจริง ๆ
“โหย ไอ้ลูกแกะ ทำเป็นวางท่าหวงพี่ชาย ฉันน่ะเลิกเจ้าชู้แล้วเว่ย ตอนนี้จริงจังกับอี้เฟิงคนเดียว” ใช่ครับ เพราะเจ้านายสั่งมา “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้าอี้เฟิงเห็นใจฉันเมื่อไหร่ รับรองฉันจะไม่ทำให้ทั้งเขาและนายผิดหวังเลย” ถ้าอี้เฟิงไฟเขียวเมื่อไหร่ผมจะดูแลน้องชายสุดที่รักของเขาอย่างดีเลยล่ะ
------------------------------------------Sweet Labyrinth-----------------------------------------------
เสียงริงโทนมือถือของผมดังจนแสบแก้วหู รู้อย่างนี้ปิดเครื่องก่อนนอนซะก็ดีหรอก พอเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามาแล้วอยากจะถอนหายใจให้อายุสั้นลงอีกสักปี
“มีไรเจ๊ โทรมาแต่เช้าเนี่ย ผมจะนอน”
“เช้าบ้านนายสิยะ นี่มันบ่ายโมงแล้วย่ะ”
“นี่วันหยุดของผมนะ เวลาไหนก็เช้าทั้งนั้นแหละ”
“แต่วันนี้ไม่ได้ย่ะ นายมีเรื่องสำคัญที่จะต้องทำ”
“อะไรอีกเนี่ยเจ๊ ผมง่วง ผมจะนอน”
“ตื่นเดี๋ยวนี้นะจิ่งป๋อหรัน ลุกขึ้นมาแล้วอาบน้ำแต่งตัวด่วน ๆ มะรืนนี้หลี่อี้เฟิงจะไปปักกิ่ง ฉันรู้ว่าตอนนี้นายอยู่เซี่ยงไฮ้เหมือนเขาใช่ไหม ทำยังไงก็ได้ให้หลี่อี้เฟิงไปปักกิ่งพร้อมกับนาย”
“ห้ะ แต่ผมจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้วนะ บ่ายสามโมงพรุ่งนี้”
“เลื่อนก็ได้ ยังไงก็ได้ ให้ไปพร้อมหลี่อี้เฟิงก็พอ มะรืนนี้นายมีงานตอนบ่ายนี่ ไม่ต้องรีบไม่ใช้หรอ เรื่องตั๋วเครื่องบินกับโรงแรมเดี๋ยวฉันจัดการให้เอง แค่โทรมาบอก เข้าใจไหม”
ผมถอนหายใจยาวกับความเผด็จการของเจ๊หย่งเฉอ ผมเบี้ยวใครก็ได้ครับ แต่เบี้ยวเจ๊นี่ถึงตาย สั่งอะไรมาก็ต้องยอม
“โอเค ๆ เดี๋ยวผมไปหาอี้เฟิงที่กองแล้วกัน ได้เรื่องยังไงจะโทรบอกอีกที เคปะ”
“ดีมาก เซฟไฟลท์นะจ๊ะเด็กน้อยของเจ๊ จุ๊บ ๆ ” ผมกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ ให้มันได้อย่างนี้สิ
และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมได้มาปักกิ่งพร้อมกับอี้เฟิง แต่ใครจะรู้ว่าโลกมันจะกลมจนน่ากลัว...
ที่ใคร ๆ เขาบอกกันว่าโลกกลมเนี่ย ผมว่ามันคงไม่ได้หมายความว่ามันกลมแบบทรงกลมตันแล้วเรายืนอยู่บนผิวโลกอย่างที่มันเป็นอยู่หรอกครับ มันต้องหมายถึงทรงกลมกลวง ๆ ที่มีคนอยู่ข้างใน เขย่าไปเขย่ามาแม่งก็เจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอเข้าจนได้ โดยเฉพาะคนที่ผมไม่อยากเจอมากที่สุดในโลกอย่างนายเฉินเหว่ยถิงนี่
เขาคือบุคคลไม่ได้รับเชิญมาดูหนังสดของผมที่สตูดิโอนั่น ! ทำไมโลกมันถึงได้ทั้งกลมทั้งแคบอย่างนี้ครับ
เขาเป็นเจ้าของร้านอาหารนานาชาติเรียบหรูใจกลางกรุงปักกิ่ง และยังเป็นพี่ชายคนสำคัญของอี้เฟิง ซ้ำร้ายผมยังต้องมานั่งทนให้เขาซักฟอกประวัติกลางมื้ออาหารอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
แม่งโคตรจะอึดอัด !
นายเจ้าของร้านยิงคำถามใส่ผมไม่หยุดราวกับกำลังสอบสวนผมอยู่ก็ไม่ปาน ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเขากับหลี่อี้เฟิงเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกัน ผมคงคิดว่าอี้เฟิงเป็นลูกสาวหมอนี่ซะอีก ท่าทางหวงเสียเหลือเกิน หรือจริง ๆ แล้วคิดไม่ซื่อกับอี้เฟิงกันแน่ หึ
ใคร ๆ ก็บอกว่าผมน่ะลื่นเป็นปลาไหลแต่ตอนนี้ผมชักจะไหลไม่ลื่นซะแล้ว ใครก็ได้ช่วยทำให้ผมหายตัวไปจากตรงนี้ที !
แล้วเหมือนกับสวรรค์หรือนรกได้ยินคำขอของผมก็ไม่รู้ เมื่อมีสายเข้าโทรศัพท์ส่วนตัวของอี้เฟิง ฝ่ายนั้นเลยขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ที่อื่น แทนที่จะได้หายไปจากตรงนี้ ผมกลับถูกทิ้งไว้ให้อยู่กับไอ้ลิงบ้านี่สองคนแทน
พอลับสายตาอี้เฟิงเขาก็เปิดประเด็นทันที
“ทำตัวสุภาพบุรุษได้เนียนดีนี่ เฟิงเฟิงคงเชื่อสนิทใจเลยสินะว่านายน่ะมันไม่มีพิษมีภัย”
“ผมไม่ได้ทำอะไรนี่ ใครดีมาผมก็ดีตอบ แต่ถ้าร้ายมาเมื่อไหร่ผมจะขอคิดอีกที ว่าจะร้ายตอบหรือร้ายมาก ๆ ตอบดี”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายคิดยังไงกับเฟิงเฟิง แต่ฉันขอเตือน ว่าถ้าเขาเจ็บช้ำน้ำใจล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่”
“ใจเย็น ๆ สิครับคุณพ่อครัวใหญ่ หวงยิ่งกว่าหมาหวงก้างอีกนะครับเนี่ย” นายเจ้าของร้านหรี่ตามองเมื่อผมเริ่มใช้คำพูดที่ลามปาม แต่ช่วยไม่ได้ ผมไม่ได้เป็นคนเริ่มเกมนี้
“จริง ๆ ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับคนแบบนายหรอกนะ แต่ในเมื่อนายเป็นเพื่อนกับเฟิงเฟิง จะไม่ให้ยุ่งก็คงไม่ได้”
“คนแบบผมมันทำไมหรือครับ” ผมย้อน
“ฉันว่านายก็น่าจะรู้ตัวเองดี อย่าให้ฉันต้องพูดให้เปลืองน้ำลายเลยดีกว่าน่า” ผมเหยียดยิ้มกับประโยคนั้น
“ผมว่าเรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมกับอี้เฟิงจะเป็นอะไรกันมันก็เป็นเรื่องของพวกผมสองคน ถ้าคุณมีมารยาทสักหน่อยก็ไม่ควรจะเข้ามายุ่งนะครับ” ยอมรับครับว่าผมกวน เพราะผมตั้งใจกวนโอ๊ยคนตรงหน้าจริง ๆ
บางทีผมก็ชักสงสัยแล้วสิ ว่าเบื้องหลังของนายเหว่ยถิงกับอี้เฟิงมันมีอะไรที่มากกว่าพี่น้องหรือเปล่า เผอิญผมเป็นคนสอดรู้สอดเห็นซะด้วย ผมจะยอมลงเล่นเกมยั่วประสาทนี้ดูสักหน่อย เผื่อจะมีอะไรสนุก ๆ แก้เบื่อได้บ้าง
อี้เฟิงกำลังเดินกลับมาที่โต๊ะ นายเจ้าของร้านจึงเอ่ยขึ้น
“เฟิงเฟิงสำคัญกับฉันมาก ถ้านายไม่จริงใจล่ะก็ ล้มเลิกความคิดเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า”
ผมแค่ยักไหล่ เมื่ออี้เฟิงกลับมาถึงโต๊ะ บทสนทนาของเราก็จบลงเพียงเท่านั้น นายเจ้าของร้านขอตัวกลับไปดูแลในครัว ผมกับอี้เฟิงคุยกันอีกไม่มากก่อนผมจะขอตัวกลับ
ไม่น่าเชื่อว่ามีคนคิดว่าผมจะจีบหลี่อี้เฟิงจริง ๆ ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ผมยอมรับครับว่าอี้เฟิงเป็นคนน่ารัก แต่จะให้คิดเป็นอย่างอื่น...ผมขอบายจริง ๆ
แต่ถ้าจะให้ตามจีบเพื่อยั่วโมโหคนบางคนล่ะก็ มันก็น่าสนุกอยู่หรอกนะ
To be continue
TALK: บรรยากาศแตกต่างจากคู่หลักมากเลยทีเดียว หวังว่าจะเป็นสีสันให้กับเรื่องนี้นะคะ กลัวว่าจะเบื่อกันเสียก่อน ฝากเอ็นดูเฮียถิงกับพี่ป๋อด้วยนะคะ จุ๊บๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น