วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

[SF] Innocent Crime 02 #ถิงหยวน

[SF] Innocent Crime 02 #ถิงหยวน
Pairing:            เฉินเหว่ยถิง X หวังหยวน
...............................................................................................................................
ความเดิมตอนที่แล้ว >> Innocent Crime 01
ทำไมคนเราถึงตาย
คนตายกับคนเป็นต่างกันอย่างไร?
ถ้าหวังหยวนสามารถแก้ไขความผิดปกติของร่างกาย ที่ทำให้เกิด “ความตาย” ของวิลเลียมได้ เขาจะกลับมาเป็น “คนเป็น” อีกครั้งหรือเปล่า
คำถามต่าง ๆ ผุดขึ้นในใจของเด็กชายวัยสิบห้าปีที่ไม่อาจยอมรับความตายของผู้เป็นที่รักได้

รอก่อนนะ...วิลเลียม
เราจะได้พบกันอีกครั้งอย่างแน่นอน
ฉันจะคืนชีวิตให้นายเอง

“ทำอะไรอยู่น่ะเสี่ยวหยวน” เสียงเรียกทำให้ใจของหวังหยวนเต้นโลดขึ้นมาวูบหนึ่ง คนที่เรียกเขาคือ จางอี้ชิง ศัลยแพทย์อัจฉริยะที่ถูกดึงตัวเข้ามาอยู่ในองค์กรลับเช่นเดียวกับหวังหยวน ดวงตาเรียวคมกำลังมองหาพิรุธจากเด็กน้อยอัจฉริยะผู้เป็นหัวหน้าองค์กรลับซึ่งเข้ามาค้นหาบางอย่างจากห้องทำงานของเขา
“ผมกำลังหาหนังสืออ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสาทวิทยาน่ะครับ” เด็กชายผู้เป็นแขกของห้องแม้จะไม่ใช่ความเต็มใจของเจ้าของห้องเอ่ยราวกับว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่เขาจะเข้ามาในห้องทำงานของอี้ชิง เขาพลิกเปิดหนังสือเล่มหนาในมือออกอ่านเหมือนนี่คือเรื่องปกติในชีวิตประจำวันเท่านั้น
“หืม? นายสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ ไม่ยักรู้มาก่อนนะเนี่ย” แม้จะไม่ชอบใจที่มีคนเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวแต่อี้ชิงก็ยังส่งยิ้มละไมตามแบบฉบับคุณหมอผู้ใจดีเช่นเคย
“ผมจำเป็นต้องรู้ไม่ใช่เหรอครับ ไม่ว่าเนื้อหาของหน่วยงานไหนในองค์กรทุกอย่างก็อยู่ในความรับผิดชอบของผม” หวังหยวนตอบเสียงเรียบนิ่งไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ จังหวะการเต้นของหัวใจที่รัวเร็วขึ้นจากความตกใจก็ค่อย ๆ ลดระดับลงจนกลับมาเป็นปกติ
“มีอะไรก็ปรึกษาฉันได้นะ ที่นี่ก็มีฉันคนเดียวนี่แหละที่สนใจด้านนี้ ถ้าเธอชอบเหมือนกันเราจะได้มีอะไรคุยกันบ้างไง อยู่ที่นี่ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง ทำตามคำสั่งขององค์กรเพียงอย่างเดียว ไม่มีใครสนใจงานวิจัยอย่างจริงจังเลย” อี้ชิงยังคงพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเดิม
หวังหยวนไม่ได้คล้อยตามท่าทีเอื้ออารีจากนายแพทย์หนุ่มนัก ฟังยังไงก็ดูเหมือนพูดประชดเขาอยู่
คำสั่งขององค์กร?
หึ...มันก็คือคำสั่งของเขาไม่ใช่หรือยังไง

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมกำลังสนใจที่จะทำงานวิจัยชิ้นใหม่เกี่ยวกับระบบประสาทอยู่พอดี เราคงมีเรื่องให้คุยกันอีกยาว ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ คุณหมอจาง”

To be continue...

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

[SF] Breath of Jealousy 2/2 #ถิงถิง END

[SF] Breath of Jealousy 2/2 #ถิงถิง 
Pairing: เฉินเหว่ยถิง x เฉินเหว่ยถิง
................................................................................................................................................................................
 ความเดิมตอนที่แล้ว >> Breathe of Jealousy 1/2
“นายมันโง่! เมื่อไหร่จะเลิกโง่สักที!
เฉินเหว่ยถิงทำได้เพียงยืนนิ่ง ไม่เข้าใจทั้งการกระทำและคำพูดของน้องชายแม้เพียงนิด
เติ๋งเติ่งที่ไม่คิดจะอดทนกับความอึดอัดใจแม้เพียงนาทีเดียวคว้ากุญแจรถและกระเป๋าเงินเดินกระแทกคนที่ยืนขวางประตูออกไปอย่างไม่ไยดีว่าในใจของคนที่เขาเพิ่งพ่นคำว่ากล่าวใส่เมือครู่จะกำลังสับสนแค่ไหน
เสียงเปิดประตูบ้านไม่เบานักดังขึ้นมาถึงชั้นสองของบ้าน เฉินเหว่ยถิงก็เข้าใจความหมายทุกอย่าง เขารีบวิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็วและไปถึงตัวน้องชายได้ก่อนที่เจ้าตัวจะออกจากบ้านไป
“เดี๋ยวก่อน” คนเป็นพี่เรียกปนเสียงเหนื่อยหอบ คว้าต้นแขนของเติ๋งเติ่งไว้
“ปล่อย”
“ฉัน...”
“ปล่อย”
“ฉันขอโทษ”
“ขอโทษ? ขอโทษเรื่องอะไร”
“ขอโทษทีทำให้นายต้องลำบากใจ”
เติ๋งเติ่งถอนหายใจยาวกับความอ้อมไปอ้อมมาของพี่ชายตัวเอง
“เลิกพูดเถอะ มันไม่มีประโยชน์อะไร..”
มือเรียวของเติ๋งเติ่งจับมือของพี่ชายฝาแฝดให้ออกจากแขนของเขาเบา ๆ สายตาอ่อนล้ามองสบผู้เป็นพี่แค่เพียงอึดใจก่อนเสไปทางอื่น เขาสูดหายใจลึกยาวก่อนผ่อนออกมาเต็มแรงและเดินออกจากบ้านไป
เติ๋งเติ่งรู้...
นั่นคือสิ่งที่วิ่งวนไปมาในหัวของเฉินเหว่ยถิงในตอนนี้
รู้...และก็คิดเหมือนกัน
ชั่ววินาทีหนึ่งที่เฉินเหว่ยถิงดีใจจนเหมือนหัวใจพองโตจนคับอก แต่แล้วเขาก็สะดุดกับความจริงที่ไม่อาจหลีกหนีได้ ...พวกเขาเป็นพี่น้องกัน...
ใช่ มันไม่มีประโยชน์อะไร
ต่อให้เราสองคนใจตรงกัน ก็ไม่มีทางก้าวข้ามความสัมพันธ์นี้ไปได้
น่าสมเพชสิ้นดี
.............................................................................

เสียงดนตรีดังกระหึ่มไม่ได้อยู่ในความสนใจของเติ๋งเติ่งแม้แต่น้อย เขารู้มานานแล้วว่าความรู้สึกที่เหว่ยถิงมีต่อเขามันไกลเกินคำว่าพี่น้อง รู้มานานพอ ๆ กับที่รู้ใจตัวเอง แต่ก็เป็นเพราะเหว่ยถิงเองที่เลือกจะห่างไป และสร้างกำแพงระหว่างเขาทั้งคู่
จริง ๆ แล้วเติ๋งเติ่งไม่สนใจด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน หรือแม้กระทั่งเป็นแฝดที่หน้าตาเหมือนกันราวกับส่องกระจก พวกเขามีกันอยู่แค่สองคน ไม่จำเป็นต้องแคร์ใคร แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดใจ แล้วเขาจะไปทำอะไรได้
เฉินเหว่ยถิงไม่เคยพูดว่ากล่าว ไม่ว่าเขาจะพาผู้หญิงกี่คนเข้าไปในบ้าน ถ้ามันเป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ชั่วคืน แต่น่าแปลก คนที่เหว่ยถิงกลัวที่สุดกลับเป็นจางฮั่น ทั้ง ๆ ที่เป็นเพื่อนสนิท และเติ๋งเติ่งเองก็ดูออกว่าหมอนั่นก็รู้ว่าเหว่ยถิงคิดอย่างไรกับเขา อาจเป็นเพราะสายตาที่จางฮั่นมองเขาทุกครั้งมันไม่เคยเหมือนกับที่นายนั่นมองเหว่ยถิงเลย
“อ้าว เติ๋งเติ่ง” คนบางคนก็ตายยากเหลือเกิน เพียงแค่นึกถึงก็ปรากฏตัวในทันที ไม่บ่อยนักที่เขาสองคนจะเจอกันโดยไม่มีเฉินเหว่ยถิงอยู่ด้วย
เขาเองก็อยากจะลองใจดูเหมือนกัน ว่าหมอนี่คิดยังไงกับเขากันแน่
“มาคนเดียวเหรอ”
“มาคุยธุระกับเพื่อนน่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว”
“นั่งด้วยกันก่อนสิ”
จางฮั่นลังเลในวินาทีแรกก่อนจะเข้าใจจากความหมายของสายตาที่น้องชายฝาแฝดของเพื่อนสนิทส่งมาให้แล้วรับเครื่องดื่มที่ถูกส่งให้เป็นการเชื้อเชิญ
เสื้อเชิ้ตผ้าเนื้อดีถูกปลดกระดุมออกถึงกลางอก ทุกท่วงท่าการขยับร่างกายของน้องชายเพื่อนทำให้สายตาของจางฮั่นไม่อาจละไปที่อื่นได้ เหมือนเจ้าตัวเองก็รู้ตัวว่าเขาลอบมองตนเองอยู่ทุกอิริยาบถ อีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีอึดอัดอะไรซ้ำยังส่งสายตาเชิญชวนอีกเสียอย่างนั้น
ถ้าไม่เล่นด้วยก็คงจะเสียเชิงชายน่าดู
“ฉันยังไม่อยากถูกเหว่ยถิงหักคอเอาหรอกนะ” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ฝ่ามือที่กำลังลูบไล้ต้นขาเรียวและปลายจมูกที่กำลังดอมดมลำคอระหงของเติ๋งเติ่งก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว
“ตัวฉันเป็นของฉัน ไม่เกี่ยวกับเหว่ยถิง”
.................................................................................
เสียงรถยนต์คุ้นหูของเพื่อนรักที่เข้ามาจอดหน้าบ้านในยามวิกาลทำให้เหว่ยถิงต้องเดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน เมื่อเปิดประตูออกมาก็พบกับสิ่งที่เขากลัวที่สุด
เติ๋งเติ่งกลับมาพร้อมกับเพื่อนของเขา
จางฮั่นพยุงเติ๋งเติ่งที่กึ่งหลับกึ่งเมามายังหน้าประตูบ้านก็พบว่าเฉินเหว่ยถิงยืนรออยู่แล้ว
“ทำไมถึงเป็นนาย”
“เฮ้ย ๆ น้องนายชวนฉันก่อนนะเว้ย”
“ฉันไม่ได้ถามว่าใครชวนใครก่อน ฉันถามว่าทำไมถึงเป็นนาย!” เฉินเหว่ยถิงยังคงรักษาน้ำเสียงให้ราบเรียบแม้ในอกจะกำลังร้อนรน
“อือออ” เติ๋งเติ่งสะบัดศีรษะเบา ๆ ไล่ความมึนงงก่อนหันไปพูดกับพี่ชายตัวเอง “น่ารำคาญน่า ถอยไป”
เฉินเหว่ยถิงคว้าแขนน้องชายดึงให้ออกห่างจากเพื่อนสนิทของตัวเอง
“นายกลับไปได้แล้ว” เฉินเหว่ยถิงหันไปพูดกับจางฮั่นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพยายามเก็บอารมณ์ไม่พอใจอย่างที่สุด
เติ๋งเติ่งทำเพียงแค่เสยผมตัวเองแล้วมองไปทางอื่นอย่างเหนื่อยหน่าย จางฮั่นไม่เห็นประโยชน์ที่ตนจะอยู่ตรงนี้ต่อไปจึงบอกลาและขับรถจากไป
ไม่ทันที่แฝดผู้พี่จะเอ่ยคำใด คนเป็นน้องก็เดินเข้าบ้านไป เฉินเหว่ยถิงเดินตามเข้ามาในบ้านแล้วกระชากคอเสื้อของเติ๋งเติ่งด้วยความโมโห สาบเสื้อที่แหวกกว้างเผยให้เห็นรองสีแดงจางบริเวณไหปลาร้า เพียงเท่านั้นความอดทนทุกอย่างของเฉินเหว่ยถิงก็หมดสิ้น
“นายทำแบบนี้ทำไม ทำไมไม่รู้จักรักตัวเอง!” เฉินเหว่ยถิงตะคอกน้องชายอย่างเหลืออด จางฮั่นเป็นเพื่อนเขาก็จริง แต่มันไม่ได้รับประกันว่าจางฮั่นจะไม่เอานิสัยเจ้าชู้ไปทั่วมาใช้กับน้องชายของเขา
“รักตัวเองเหรอ? นั่นสินะ ฮะๆ” เติ๋งเติ่งหัวเราะเหมือนคนบ้า “ฉันควรจะรักตัวเองสินะ ไม่ใช่รักคนที่หน้าตาเหมือนตัวเอง ฉันนี่มันบ้าจริง ๆ” ความรู้สึกของเติ๋งเติ่งถูกพูดจากปากของเจ้าตัวป็นครั้งแรก ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้ว แต่พอได้ยินชัด ๆ คนเป็นพี่ก็ถึงกับพูดไม่ออก
“เติ๋งเติ่ง...”
“ปล่อยฉันไปสิ ถ้านายรักฉันไม่ได้ก็ปล่อยฉันให้คนอื่นไป” เขาอยากจะลืมเหว่ยถิงให้ได้ แต่ก็เป็นเพราะเหว่ยิงเองที่ไม่ยอมปล่อยมือจากเขาเสียที
“ฉันไม่ได้...”
“ฉันรู้ นายกลัว กลัวว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ทางเดียวที่จะหลุดพ้นความจากความรู้สึกบ้า ๆ นี่คือเราต้องปล่อยมือจากกันและกันสักที”
เฉินเหว่ยถิงหยุดคิดเนิ่นนาน เป็นเขาเอง เพราะเขาเอง ที่ฉุดรั้งเติ๋งเติ่งเอาไว้ ทั้งที่ตัวเขาไม่คิดจจะเปิดเผยความในใจ ไม่คิดครอบครอง แต่เมื่อใดที่เติ๋งเติ่งจะมีใครเข้ามาในชีวิตอย่างจริงจัง ก็เป็นเขาเองที่กันคนเหล่านั้นออกไป
เขามันเห็นแก่ตัว
มันคงถึงเวลาที่เขาทั้งสองคนต้องปลดล็อคจากความรู้สึกพวกนี้แล้วจริง ๆ
“ฉันขอโทษ...”
“หึ นายมันก็ดีแต่ขอโทษ รู้อะไรไหม มันโคตรแย่เลยว่ะ นายไม่เคยบอกความรู้สึกของตัวเองสักครั้งด้วยซ้ำ แต่นายหึงหวงฉันกับทุกคนที่เข้ามาในชีวิตฉัน ลากฉันกลับมาเพื่ออยู่กับความว่างเปล่าที่นายมีให้ นายมัน...”
“ฉันรักนาย” ในที่สุดแฝดผู้พี่ก็เอ่ยมันออกมา “ฉันพูดแล้วยังไง! เราเป็นพี่น้องกัน มันเป็นไปไม่ได้—“
“พอเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว” เติ๋งเติ่งหลับตาลงอย่างอ่อนล้า เขาเหนื่อยแล้วที่จะเปลี่ยนความคิดของคนตรงหน้า เฉินเหว่ยถิงไม่มีวันยอมเปลี่ยนสถานะของเขาทั้งสองคน แม้เขาจะรักกันเกินกว่าพี่น้องทั้งคู่ก็ตาม
“ปล่อยให้ฉันไปเป็นของคนอื่น นายจะลืมฉันเอง” เติ๋งเติ่งเอ่ยเสียงเบา
เฉินเหว่ยถิงรวบน้องชายฝาแฝดเข้ามากอดแน่น แค่คิดว่าเติ๋งเติ่งต้องไปเป็นของคนอื่นหัวใจของเขาก็ปวดหนึบ
“อย่าไป”
“...”
“ฉันรักนาย ฉันหวงนาย ฉันไม่รู้จะทำยังไง ได้โปรด อย่าทิ้งฉันไป”
เติ๋งเติ่งที่อยู่ในอ้อมกอดของพี่ชายรับรู้ได้ความเปียกชื้นบนบ่าที่ใบหน้าของอีกคนซบอยู่ แรงสั่นน้อย ๆ เพราะความหวั่นกลัวในจิตใจที่ถั่งโถม เขารู้...เพราะเขาก็ทั้งรักทั้งหวงผู้ชายคนนี้ไม่ต่างกัน
แฝดผู้น้องค่อย ๆ ผละตัวออกจากอ้อมกอด ประคองใบหน้าหล่อเหลาที่เหมือนกับตนทุกกระเบียดนิ้ว ไล้หัวแม่มือซับรอยน้ำตาจากดวงตาคมเข้ม เราสองคนหลงรักกันและกัน ในขณะเดียวกันก็ต่างผลักไสกันออกไป เขาเลือกจะมีชีวิตอยู่ในแสงสีและความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวย ในขณะที่เหว่ยถิงเลือกจะดูแลเขาอยู่ห่าง ๆ เฝ้ามองคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขาแล้วก็ผ่านไป ตราบใดที่เขายังไม่จริงจังกับใครเหว่ยถิงคงทนได้ แต่ถ้าคนที่เขาเลือกเป็นจางฮั่น มันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ถ้าเป็นเหว่ยถิงล่ะ ถ้าคนที่เลือกคนอื่นมาเคียงข้างเป็นเหว่ยถิง เขาจะทนได้ไหม...
เติ๋งเติ่งเคลื่อนใบหน้าแนบประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากของพี่ชาย ดูดดึงริมฝีปากบนและล่างสลับกันอย่างเชื่องช้า ลมหายใจของอีกฝ่ายที่เป่ารดข้างแก้มขาดห้วงในบางจังหวะ
เติ๋งเติ่งกระซิบติดริมฝีปาก น้ำเสียงแหบพร่า
“ถ้ามีคนจูบฉันแบบนี้...นายทนได้ไหม”
ไม่รอคำตอบมือเรียวก็สอดผ่านชายเสื้อของพี่ชายสัมผัสลอนกล้ามเนื้อใต้ร่มผ้าอย่างยั่วเย้า ฝ่ามือลูบไล้สูงขึ้นปัดผ่านศูนย์รวมปลายประสาทบนแผ่นอกแผ่วเบา
“ถ้าคนอื่นสัมผัสฉันแบบนี้ นายทนได้หรือเปล่า”
“เติ๋งเติ่ง...”
กลีบปากบดย้ำปิดกั้นคำพูดที่ออกมาในเวลาที่เติ๋งเติ่งยังไม่อยากฟัง
ซิปกางเกงถูกรูดลงพร้อมกับคำถามที่ถูกย้ำเตือน
“นายโอเคใช่ไหม ถ้าคนอื่นจะทำกับฉันแบบ--”
ปึก!
สิ้นสุดความอดทนของเฉินเหว่ยถิง ร่างของเติ๋งเติ่งถูกกดแนบไปกับผนัง เหว่ยถิงกดจูบลงบนริมฝีปากที่แสนหวงแหนด้วยแรงอารมณ์ทั้งหมด เขาจะจูบ จูบจนลบรอยจูบของใครอื่นที่เคยแตะต้องกลีบปากนี้ออกให้หมด จูบให้เติ๋งเติ่งจำได้แค่รสชาติของเขาจนโหยหารสจูบจากใครอื่นไม่ได้อีก
เติ๋งเติ่งไม่ได้รู้สึกตกใจกับการกระทำนี้ของพี่ชาย มือเรียวยังคงปฏิบัติภารกิจของมันอย่างอ้อยอิ่งแม้อีกฝ่ายจะกำลังหน้ามืดตามัวด้วยแรงหึงหวง กว่าเหว่ยถิงจะรู้ตัวกางเกงของเขาก็ถูกปลดลงไปครึ่งสะโพกแล้ว
ทั้งคู่หอบหนักจากสงครามจูบอันหนักหน่วง สายตาสองคู่ประสานกันด้วยความหมายที่แตกต่าง คู่หนึ่งโชนแสงอ้อนวอนจากห้วงลึกสุดใจ ในขณะที่อีกคู่หนึ่งยังฉายแววลังเล
เติ๋งเติ่งค่อย ๆ ลดตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าเฉินเหว่ยถิง ปลดปราการด่านสุดท้ายออกจนเผยให้เห็นส่วนกลางลำตัวที่ยังหลับใหล เติ๋งเติ่งสัมผัสมันอย่างเก้กังก่อนเริ่มสาวรูด แล้วค่อยเผยอริมฝีปากเข้าครอบครองส่วนปลายและรับมันเข้ามาในโพรงปากทีละนิด
เฉินเหว่ยถิงยังตกตะลึงและสับสนในการกระทำของน้องชาย แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามันคือสิ่งที่เขาต้องการมาตลอด ท่อนล่างที่ได้รับการปรนเปรอตื่นตัวตอบสนองอย่างรวดเร็วราวกับมันกำลังโหยหาสัมผัสนี้อยู่เช่นกัน
เติ๋งเติ่งผละมือจากสะโพกของอีกฝ่ายมายังกระดุมเสื้อของตัวเองแล้วเริ่มปลดมันออก
“นาย...” เฉินเหว่ยถิงเปรยเสียงแผ่ว
“...” เติ๋งเติ่งไม่พูดอะไรเพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของตัวเองบนใบหน้าของพี่ชายด้วยแววตาท้าทาย ท้ายที่สุดแล้วนอกจากพวกเขาสองคนคงไม่มีใครรู้ใจกันและกันดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว
เฉินเหว่ยถิงยกยิ้มบางกับแววตาลองดีนั่น ถ้าถามว่าเขาหลงใหลอะไรสักอย่างในตัวเติ๋งเติ่งที่ต่างจากเขา คำตอบก็คงไม่พ้นแววตาคู่นี้
“นายรู้ใช่ไหม ว่าหลังจากคืนนี้ไปแล้ว ระหว่างเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” เป็นคำถามสุดท้ายของแฝดผู้พี่
“ฉันไม่เคยกลัว”
















END

ฝากความกาวและความแฝดไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ สงสัยจะได้มีเรื่องอื่นตามมาอีกเรื่อยๆ ความแฝดช่างดีเหลือเกิน ฮืออออออออออออ >///<




วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

[SF] Breath of Jealousy 1/2 #ถิงถิง

[SF] Breath of Jealousy #ถิงถิง
Pairing: เฉินเหว่ยถิง x เฉินเหว่ยถิง
...............................................................................................................................
 
                ในห้องที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำแต่อุณหภูมิบนเตียงสีขาวสะอาดกำลังร้อนรุ่มราวกับไฟ
ลมหายใจหอบหนักเคล้าเสียงหวานสูงที่กำลังร้องครางกระตุ้นสัญชาตญาณในกายของชายหนุ่มให้ร้องร่ำโผนทะยานแรงอารมณ์ไปสู่จุดสูงสุด เสียงของคนสองคนครางแข่งกันจนแยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร...

10.08 น.
                “จะไม่ออกไปด้วยกันจริง ๆ เหรอ เติ๋งเติ่ง” เจ้าของเสียงหวานในชุดเดรสรัดรูปเผยสัดส่วนอวบอัดเบียดสะโพกนั่งหมิ่นเหม่อยู่ริมขอบเตียงสีขาวสะอาด แต่คนที่เธอเพียรออดอ้อนนั้นยังไม่ยอมขยับตัวออกจากผ้านวมผืนหนา
เจ้าของชื่อ “เติ๋งเติ่ง” ปรือตามองสาวเจ้าที่มีความสุขร่วมกับเขาในคืนที่ผ่านมาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ฉันว่าเมื่อคืนฉันพูดชัดแล้วนะ ว่าคืนเดียวแล้วจบกัน อย่าเรื่องมากน่า” สายตาคมปรายมองด้วยความรำคาญใจเมื่อหญิงสาวที่ตกลงกันเป็นคู่นอนชั่วคืนต้องการจะสานต่อความสัมพันธ์
“แต่ว่า...”
ก๊อก ๆ ๆ
ประตูถูกเปิดออกโดยที่เจ้าของห้องยังไม่ได้อนุญาตเพราะคนที่เปิดเข้ามาเคยชินกับการเดินเข้าออกห้องนี้ไม่ต่างจากห้องของตัวเอง ใบหน้าคมคายที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วของคนที่ยืนอยู่หน้าประตูกับคนที่นอนอยู่บนเตียงทำให้คนที่นั่งอยู่มองตาค้าง ดวงตาคมปราดมองหญิงสาวแปลกหน้าด้วยสายตาชินชา ในอ้อมแขนมีมิเนเจอร์ชเนาเซอร์ตัวเบิ้มที่พอเห็นคนที่คนที่นอนอยู่บนเตียงก็กระดิกหางระริกระรี้
“เจ้าตัวเล็กไม่ยอมกินข้าว สงสัยต้องให้นายจัดการ” เฉินเหว่ยถิงพูดเสียงเรียบก่อนเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ปลายเตียงทำราวกับในห้องนี้มีเพียงเขาและน้องชายฝาแฝดเท่านั้น หญิงสาวที่ถูกเมินราวกับเป็นอากาศธาตุขยับตัวแสดงความมีตัวตนของเธอก่อนเยื้องกรายมาใกล้แฝดผู้พี่ มือเรียวกรีดกรายบนบ่าแกร่งก่อนออดอ้อนเสียงแผ่ว
“งานดีแพ็คคู่ขนาดนี้ ไม่รู้ว่ารสชาติจะเหมือนกันหรือเปล่านะคะ”
“ช่วยเอามือของคุณออกไปด้วย ผมไม่ชอบถูกเนื้อต้องตัวกับคนแปลกหน้า”
หญิงสาวพยายามข่มความไม่พอใจที่ถูกหักหน้าเอาไว้แล้วยิ้มหวานเอื้อมมือจะไปลูบเจ้าขนฟูในอ้อมแขนของชายหนุ่ม แต่ก่อนที่จะได้ทันทำอย่างใจคิด เสียงจากคนที่เมื่อครู่นอนอยู่บนเตียงก็ตวาดลั่น
“หยุด! ห้ามแตะต้องลูกของฉันแม้แต่ปลายเล็บ หมดธุระของเธอแล้วก็กลับไป!
หญิงสาวสะดุ้งเฮือก จากผู้ชายที่หยอดคำหวานไม่หยุดคอยเอาใจใส่ดูแลเธอเมื่อคืนนี้ พอรุ่งเช้าก็เปลี่ยนเป็นคนละคน แถมตอนนี้ดวงตาคมกร้าวที่จ้องเขม็งมาทำให้เธอไม่กล้าอิดออดอีก
“อะ โอเค ฉันกลับก็ได้”
ปัง! เสียงปิดประตูไม่เบานักเป็นสัญญาณว่าผู้ไม่เกี่ยวข้องได้จากไปแล้ว
“วันหลังก็เลือกคนที่มีมารยาทกว่านี้หน่อยนะ” เฉินเหว่ยถิงพูดเสียงเรียบราวกับเป็นการไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบประจำแล้วโน้มตัวปล่อยเจ้าขนฟูตัวใหญ่ไปหาเจ้าของอีกคนที่ตอนนี้เปลี่ยนจากนอนมานั่งอวดร่างกายท่อนบนที่เต็มไปกล้ามเนื้อของตัวเองแล้ว
“ก็แค่ครั้งเดียวแหละน่า” เติ๋งเติ่งตอบพลางเล่นกับ เจ้าตัวเล็กสุนัขตัวโปรดอย่างรักใคร่
คนเป็นพี่ถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้าใบย่อมจับ ๆ รื้อ ๆ เพียงไม่นานก็ได้เสื้อสีแดงเลือดหมูตัวหนึ่งออกมาก่อนโยนให้คนบนเตียงเหมือนไม่ใส่ใจนักว่าสิ่งที่โยนไปจะไปตกที่ตรงไหน แต่มันก็ตกลงบนตักของคนเป็นน้องพอดิบพอดี
“ใส่ซะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดอีก” คนเป็นน้องเบ้หน้ากับความเจ้ากี้เจ้าการของพี่ชาย แต่ก็คร้านจะต่อปากต่อคำจึงได้แต่หยิบเสื้อมาใส่ลวก ๆ พอดีกับที่ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง
ไม่ต้องเดาเติ๋งเติ่งก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร มีไม่กี่คนที่สามารถเข้าออกบ้านของเขาได้ตามใจชอบ
“ไง พ่อคาสโนว่า คนเมื่อกี๊โคตรเด็ดเลย เบื่อก็แนะนำให้ฉันบ้างสิ”
จางฮั่น...เพื่อนสนิทของเฉินเหว่ยถิงนั่นเอง



จางฮั่นมองน้องชายฝาแฝดของเพื่อนรักที่ยังคงไม่ยี่หระที่จะใส่เพียงเสื้อคอกว้างตัวเดียววิ่งไล่เพื่อนสี่ขาอย่างสนุกสนาน ถึงเฉินเหว่ยถิงและเติ๋งเติ่งจะเป็นฝาแฝดที่แทบไม่มีตำหนิใด ๆ บนใบหน้าที่ต่างกันเลย แต่เขาไม่เคยจะทักสองคนนี้ผิดแม้สักครั้งเดียว แม้จะเป็นตอนที่รู้จักกันแรก ๆ ก็ตาม ยิ่งคบกันมาเป็นสิบปีเขายิ่งรับรู้ได้ว่าทั้งสองคนเป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิง
ทำไมน่ะเหรอ...
Sex appeal ล่ะมั้ง
เติ๋งเติ่งเป็นผู้ชายประเภทที่สาว ๆ ทั้งมหาวิทยาลัยเรียกว่าคาสโนว่า ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้ามาแต่ไหนแต่ไร มีผู้หญิงมากมายพร้อมที่จะท้าทายหวังเป็นคนที่จะครอบครองหัวใจของเติ๋งเติ่งเพียงคนเดียว แต่ไม่เคยมีใครทำได้เลย
แต่ที่จางฮั่นสามารถแยกเติ๋งเติ่งออกจากเฉินเหว่ยถิงได้ ไม่ใช่ว่าเขาสังเกตว่าสาว ๆ วิ่งเข้าหาใครหรอกนะ แต่มันคือเสน่ห์ที่ดึงดูดแม้กระทั่งเพศเดียวกันให้สนใจ ทั้งแววตา ท่วงท่าการขยับร่างกาย ทุกอย่างน่ามอง ดึงดูดสายตาให้เขาเผลอมองตามอยู่บ่อย ๆ ซึ่งเขาไม่มีวันรู้สึกแบบนี้กับเฉินเหว่ยถิงแน่ ๆ
“ขึ้นมาทำไม”
จากฮั่นเลิกคิ้วยียวนกลับไปยังเจ้าของคำถาม สงสัยคนเป็นพี่จะเห็นว่าตนมองน้องชายของเขานานเกินไปแล้วถึงได้พูดเหมือนกับจะไล่กันอย่างนั้น ช่วยไม่ได้นี่นะถ้าเขาจะหึง พวกติดบ่วงหลงรักน้องชายตัวเองก็แบบนี้
ใช่ นั่นล่ะคือสาเหตุ ที่ถึงจางฮั่นจะสนใจเติ๋งเติ่งแค่นี้ เขาก็ไม่เคยคิดล้ำเส้นไปกว่าน้องชายของเพื่อน เฉินเหว่ยถิงหลงรักน้องชายฝาแฝดของตัวเองเข้าเต็มเปา และพร้อมจะกันผู้ชายทุกคนให้ห่างจากเติ๋งเติ่ง
“หวงขนาดนี้เจ้าตัวไม่รู้บ้างหรือไงนะ” จางฮั่นบ่นพึมพำพลางหัวเราะในลำคอก่อนเดินออกจากห้องไป

21.03
“นั่นจะไปไหนอีก วันหยุดไม่เคยอยู่ติดบ้านเลยนะ” เฉินเหว่ยถิงร้องถามเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องนอนของน้องชายแล้วพบว่าเจ้าตัวกำลังแต่งตัวเตรียมจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง
“อยู่มาทั้งวันแล้วเนี่ย เบื่อจะตาย” เติ๋งเติ่งตอบอย่างเบื่อหน่าย เพราะนายจางฮั่นมาอยู่ที่บ้านทั้งวัน เจอกันทีไรเขาก็ไม่พ้นถูกสายตานั่นแทะโลมเป็นประจำ
เฉินเหว่ยถิงวางแก้วนมอุ่นไว้บนโต๊ะวางทีวี
“ออกไปเที่ยวตลอด ผู้หญิงเดินเข้าออกบ้านไม่ซ้ำหน้า นี่นายดูแลตัวเองบ้างหรือเปล่า ฉันเป็นพี่ชายนายก็จริงแต่ให้ดูแลทุกเรื่องก็ไม่ได้หรอกนะ ถ้าให้ดูแลมากกว่านี้ฉันไม่ต้องคอยซื้อถุงยางอนามัยให้นายด้วยเหรอไง”
“จะบ่นอะไรนักหนาเนี่ย น่ารำคาญ ขี้เกียจฟัง”
“เติ๋งเติ่ง นายไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ จริงจังกับชีวิตได้แล้ว จะทำตัวเสเพลแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”
“นายจะให้ฉันทำอะไรก็พูดมาตรง ๆ จะอ้อมค้อมอีกนานไหม”
คนเป็นพี่ไม่ตอบทันที ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ให้เลิกทำตัวเสเพล? หมายความว่าไง ให้เลิกเปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อย หรือให้มีแฟนเป็นตัวเป็นตน?”
“ถ้ามีแฟนได้ก็ดี จะได้มีคนดูแลนายสักที ฉันจะได้ไม่ต้องมาคอยดูแลน้องชายเอาแต่ใจอย่างนาย”
“เหอะ เชิญ ไม่อยากดูแล ก็ไม่ต้องดูแล เกิดห่างกันแค่ไม่กี่นาที ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดที่ต้องให้นายมาคอยดูแล สำคัญตัวผิดหรือเปล่า”
“...”
“...”
เกิดความเงียบขึ้นอึดใจระหว่างพี่น้องฝาแฝดที่เติบโตมาด้วยกันกว่าสามสิบปี ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนเต็มไปด้วยความเงียบ
เย็นชา ห่างเหิน
แต่ถึงอย่างนั้นเติ๋งเติ่งก็รู้ดี ว่าพี่ชายดูแลเขาอย่างดีทุกอย่างไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง
และนั่นคือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด....การกระทำ ไร้ความรู้สึก
“ถ้าคิดว่าดูแลตัวเองได้ดีแล้ว ฉันก็จะไม่ยุ่งกับนายอีก” ผู้เป็นพี่ชายตอบเสียงเรียบก่อนหันหลังไปทางประตู เพราะเหลือกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง แต่ระหว่างเรากลับมีแต่ความเหินห่าง เหมือนกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นเราไว้
กำแพง...ที่เฉินเหว่ยถิงสร้างมันขึ้นมาเอง
ท่าทีที่เขาแสดงออกต่อน้องชายก็ไม่ต่างจากเกราะป้องกันหัวใจของตนเอง เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับความรู้สึกที่มันถลำลึกเกินจะถอนตัว แต่เขาก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้ ความรู้สึกผิดบาปในใจขวางกั้นเขาและเติ๋งเติ่งไว้ เกิดเป็นช่องว่างที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้อีกนานแค่ไหนถึงจะถมมันเต็ม
ในขณะที่กำลังจะก้าวเดินออกจากห้องไปด้วยหัวใจที่เหนื่อยล้า หมอนใบใหญ่ก็ถูกโยนมากระแทกศีรษะอย่างแรงจนเขาเซ แสดงให้เห็นว่าคนที่โยนมาไม่คิดจะออมแรงเลยสักนิด
“นายมันโง่! เมื่อไหร่จะเลิกโง่สักที!

TBC
เหตุเกิดจากความกาวค่ะ เห็นเฮียโชว์ขาอ่อนแล้วอดใจไม่ไหว กร๊ากกกกกกกกกกก 555555555