La Rose de l' Enfer มัทนะอเวจี ตอนที่ ๓ หลั่งเลือดเซ่นวิญญาณ
Pairing: หยางหยาง X หยางหยาง
ความเดิมตอนที่แล้ว
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือส่งเสียงดังขึ้นแทนเสียงนาฬิกาปลุกในห้องส่วนตัวที่มีเพียงเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศแผ่วเบา
ม่านหนาหนักกันแสงแดดจากภายนอกให้ส่องเข้ามาได้เพียงรำไร
มือขาวควานหาต้นเหตุของเสียงที่รบกวนนิทราอันแสนสุขโดยที่เปลือกตายังไม่ยอมเปิดขึ้นสู้แสงของวันใหม่
“...”
เฉินเสียงกดรับโทรศัพท์ด้วยความเคยชิน ดวงตายังปิดสนิท
ถือโทรศัพท์ค้างไว้แนบหูโดยไม่ได้พูดอะไร
“พี่เสียง
ได้ยินผมไหม ผมจิ๋งเป่าเองนะ”
ปลายสายถามย้ำเมื่อสัญญาณได้รับการตอบรับแต่ไม่มีคำพูดใด ๆ
“อือ..”
ร่างบางเพียงแต่ครางแผ่วเบาตอบรับคำถามนั้น
“ผมมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากพี่หน่อย
ฮัลโหล พี่เสียง ยังฟังผมอยู่หรือเปล่า”
“อื้อ ฟังอยู่ มีอะไรก็ว่ามาสิ” เสียงหวานงัวเงียตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ผมอยากจะนัดเจอกับพี่จางฮั่น
พี่เสียงช่วยนัดให้ผมได้หรือเปล่า มีธุระเกี่ยวกับงานทางประวัติศาสตร์น่ะครับ
พอดีอาจารย์ของผมเขาอยากคุยด้วย”
“อืมมม ทำไมนายไม่โทรไปหาฮั่นเกอเองล่ะ”
“เฮ้ย จะบ้าเหรอพี่ ใครจะกล้า ผมว่าเรื่องนี้พี่น่าจะมีเอี่ยวด้วยนะ
เพราะมันเกี่ยวกับหนังสือที่ผมเจอที่หังโจวคราวก่อน น่า ช่วยผมหน่อยนะพี่”
“หึ
หนังสือที่นายกั๊กไว้ไม่ยอมให้ฮั่นเกอเข้าไปแตะตั้งแต่แรกใช่ไหมล่ะ
ไม่กล้าสู้หน้าเกอล่ะสิ” ดวงหน้าสะสวยขมวดมุ่น
ดวงตาเปิดขึ้นเล็กน้อยพยายามปรับสายตากับแสงสว่างบางเบาภายในห้อง
“แหมพี่ ช่วยกันหน่อยน่า
ผมไม่รู้จะพึ่งใครแล้วจริง ๆ น้า นะ นะครับ” เสียงปลายสายออดอ้อนอย่างคนอับจนหนทาง
“อือ ๆ จะช่วยคุยให้ก็แล้วกัน มีธุระแค่นี้ใช่ไหม”
“ครับพี่ ขอบคุณมากนะครับ
บุญคุณนี้ผมจะไม่ลืมเลย” จิ่งป๋อหรันย้ำคำขอบคุณซ้ำ ๆ อยู่อีกหลายครั้งก่อนวางสายไป
“ไอ้เด็กแก่แดดเอ๊ย”
เสียงหวานเปรยด้วยความหมั่นไส้ระคนเอ็นดู
“ใครหรือ ฮึ” เสียงทุ้มของคนที่นอนข้างกายเอ่ยถาม
ในขณะที่ปลายจมูกโด่งคมสันดอมดมเก็บชิมความหอมจากต้นคอขาวผ่อง
ร่างบางหัวเราะคิกคักกับสัมผัสนั้น
“รุ่นน้องน่ะ โทรมาให้ติดต่อฮั่นเกอให้หน่อย”
สัมผัสของปลายจมูกชะงักไปเพราะเจ้าของชื่อที่ถูกพูดถึง
จากเพียงสัมผัสบางเบาเปลี่ยนเป็นริมฝีปากที่ขบย้ำราวกับจะทวงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ
จูบหนัก ๆ
ประทับที่ใต้ใบหูไล้เรื่อยไปยังสันกรามได้รูปจนร่างบางต้องเบี่ยงตัวหนีสัมผัสรุกราน
“ไม่เอาน่า ฉี่หลิง ฮั่นเกอเป็นพี่ชายของฉันนะ”
เฉินเสียงขยับตัวนอนตะแคงเข้าหาอีกฝ่าย มือบางไล้เบา ๆ บนมือใหญ่ที่วางอยู่บนสะโพกของตัวเองอย่างงอนง้อ
มือขาวลูบไปตามท่อนแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
หยางฉี่หลิงมองตามมือบางที่กำลังซุกซนบนร่างกายของเขา
จากต้นแขนไล้เรื่อยอย่างเชื่องช้ามาตามลาดไหล่และแผงอกที่ประดับด้วยมัดกล้ามพอดีตัวไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป
หยางฉี่หลิงวางมือทับบนมือบางที่อยู่บนหน้าอกของเขา
สบสายตาคนข้างตัวอย่างสื่อความหมาย
“แล้วฉันล่ะ เป็นอะไรของนาย สำคัญกว่า...”
เสียงทุ้มถูกหยุดด้วยกลีบปากบาง มือขาววาดโอบรอบคอของคนที่กำลังน้อยใจ ร่างบางขยับตัวขึ้นทาบทับร่างแกร่งบดริมฝีปากดูดดึงทุกถ้อยคำให้หายไปจนหมดสิ้น
เรียวลิ้นเล็กทายทักและรุกเร้าเรียกร้องทุกความสนใจจากสถาปนิกหนุ่มให้สนใจแค่เพียงรสจูบหวานล้ำนี้เท่านั้น
ริมฝีปากที่หลุดออกจากกันเกิดเสียงไม่เบานักร่างบางหอบน้อย
ๆ เหนือร่างของอีกคน ใบหน้าของทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกัน หน้าผากแนบสนิท
ปลายจมูกจรดต่อกัน เสียงหวานกระซิบชิดติดริมฝีปาก
“อย่าสนใจคนอื่น ตอนนี้ฉันมีแค่นาย”
สิ้นคำร่างหนาก็จับพลิกคนพูดให้เปลี่ยนมาอยู่ใต้ร่างของตนบดจูบรุกเร้าร้อนแรงอย่างถือสิทธิ์
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาและเฉินเสียงไม่มีทางเป็นไปได้มากกว่าเพื่อนเพราะทั้งหัวใจของคนในอ้อมกอดมีคนอื่นจับจองพื้นที่ไว้หมดแล้ว
มีเพียงร่างกายนี้เท่านั้นที่เขามีสิทธิ์ครอบครอง
........................................................................................................................
ไอหมอกบางเบาลอยเอื่อยเฉื่อยอยู่เหนือสระน้ำขนาดใหญ่ในห้องสรงโอ่อ่าบอกถึงความสำคัญของผู้เป็นเจ้าของ
เสียงน้ำไหลผ่านตามซอกหินสะท้อนก้องกังวานราวเสียงดนตรี จอมมารแห่งแดนนรกทอดกายในสระสรงให้สายน้ำปรนนิบัติร่างกายอย่างสวามิภักดิ์
ฝ่ามือบางลูบไล้อกแกร่งกำยำด้วยความหลงใหล
จ้าวปิศาจหันหลังพิงขอบสระให้บริวารผู้ภักดียิ่งกว่าสายนทีทำหน้าที่รับใช้ แม้เป็นกิจวัตรที่เวียนซ้ำข้ามวันเวลามานับร้อยปีแต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่จางฉี่หลิงรู้สึกเบื่อหน่าย
ไอน้ำโปร่งแสงลอยกระทบกำแพงหินรวมตัวกันเป็นเงาเลือนลางคล้ายเป็นภาพของใครอีกคนในห้วงคำนึง
แรงบีบนวดและลูบไล้ไปตามร่างกายของตนที่เคยทำให้รู้สึกผ่อนคลายกลับไม่ทำให้พอใจได้ดังที่ผ่านมา
“พอได้แล้ว” เสียงเรียบเย็นเอ่ยขึ้นไม่ดังนักแต่กังวานก้องไปทั่วทั้งห้องสรง
“แต่ท่าน...” เสียงหวานขัดขึ้น
“ข้าบอกให้พอ เจ้าไม่ได้ยินรึ เฉินเสียง”
มือบางยังคงอ่อยอิ่งสัมผัสเนื้อกายของเจ้าปิศาจยั่วยุจิตใจที่กำลังสับสนให้บันดาลโทสะ
ร่างแกร่งหันขวับคว้าคอเรียวฉุดกระชากทาสผู้ภักดีให้ติดมือร่วงกระแทกผิวน้ำจมลงใต้สระสรงอย่างไม่ทันตั้งตัว
อึก!
มือใหญ่ที่บีบรัดลำคอเรียวราวกับต้องการปลิดลมหายใจทิ้งเสีย
แรงมหาศาลกดร่างบางลงใต้ผืนน้ำอย่างไม่อาจขัดขืน ปิศาจต่ำศักดิ์มิอาจต้านแรงผู้เป็นนายทำได้เพียงปัดป่ายไขว่คว้าผืนน้ำด้านบน
ถีบขาตะเกียกตะกายสุดแรงเพื่อยื้อชีวิตของตนไว้
แรงจากมือแกร่งฉุดทาสปิศาจขึ้นจากใต้สระ
เฉินเสียงอ้าปากฮุบอากาศเหนือผิวน้ำราวกับปลาฮุบเหยื่อ
เพียงอึดใจไม่ทันลิ้มรสเศษเสี้ยวความเมตตาของจ้าวนรก ร่างทั้งร่างก็ลอยหวือกระแทกขอบสระหิน
ความเจ็บร้าวแล่นจากกระดูกต้นคอถึงกลางศีรษะ แรงบีบรัดที่คอจากมือแกร่งยังไม่คลาย ความเจ็บจากแรงกระแทกและความทรมานจากการถูกปิดกั้นอากาศหายใจทำให้สติพร่ามัว
แต่สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นชัดเจนคือดวงตาสีดำสนิทของผู้เป็นเจ้าชีวิต
ดวงตาที่สะท้อนแต่ความว่างเปล่า จ้าวปิศาจผู้ไร้หัวใจ...
ก่อนสติสุดท้ายจะปลิดปลิว
อาภรณ์ติดกายก็ถูกฉีกกระชาก ริมฝีปากถูกบดขยี้รุนแรงราวกับเนื้ออ่อนนั้นไม่มีความรู้สึก
กลีบปากบอบช้ำจากแรงขบกัดจนคั่งเลือด แรงอารมณ์ของเจ้าปิศาจไม่หยุดเพียงเท่านั้น ไม่นานทั้งลาดไหล่
แผงอก และแผ่นท้องที่เคยเรียบเนียนยวนตาก็ปรากฏรอยเขียวช้ำไปทั่ว ยิ่งกว่าความเจ็บปวดเมื่อราชาปิศาจยัดเยียดความปรารถนารุนแรงรุกล้ำเข้ามาในกายของผู้เป็นทาสอย่างไร้ความปรานี
ความเจ็บร้าวแล่นริ้วไปทั้งกายราวกับร่างจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
แรงกระแทกโถมย้ำเข้ามาให้ผู้เป็นที่รองรับอารมณ์จุกแทบขาดใจ
จางฉี่หลิงจากไปแล้ว
ทิ้งร่างบางบอบช้ำไว้ที่สระน้ำเพียงลำพัง เฉินเสียงไม่เหลือเรี่ยวแรงใด ๆ
จะพาตนเองออกไปจากที่นี่ รอยแผลที่ฉีกแยกจากการกระทำโหดร้ายปริแตก
น้ำในสระที่ไหลผ่านยิ่งทำให้เจ็บแสบเสียจนต้องหลั่งน้ำตา สติสุดท้ายค่อย ๆ
เลือนหายไปพร้อมกับร่างทั้งร่างที่ค่อย ๆ จมลงใต้ผืนน้ำ
มีเพียงกระแสวารีที่โอบอุ้มห้อมล้อมร่างกายเขาเท่านั้นที่นุ่มนวลและอ่อนโยนดุจใยไหม
ไม่มีความเจ็บปวดอีกแล้ว...
เฉินเสียงละทิ้งทุกอย่างปล่อยตนเองจมลงใต้ผืนนที รอยยิ้มบางเบาถูกจุดขึ้นบนใบหน้าสวย
หากเขาตายลงที่นี่ จะได้รับความเห็นเห็นใจจากราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่เขามอบหัวใจให้บ้างหรือไม่
อยากรู้เสียเหลือเกิน
....................................................................................................................
เสียงอัศนีบาตฟาดลงกลางฟากฟ้าดังสนั่นหวั่นไหว แสงขาวสว่างแวบวาบกลางผืนนภาดั่งลางบอกเหตุวิปโยค
กาฬวาตกรรโชกโหมพัด นครกลางฟ้าที่เพิ่งผ่านสงครามคืนราตรีสีเลือดมาได้ไม่นาน
ต้องเกิดเหตุให้หวั่นกลัวกันไปทั่วอีกครั้ง
“ลางจะมีเหตุร้ายกับชาวสวรรค์อีกเป็นแน่”
เสียงหวานครางแผ่วเบา
“ยามนี้เหตุร้ายก็คงไม่พ้น...” เสียงทุ้มปรารภ
“ข้ากลัวเหลือเกิน ท่านพี่เหว่ยถิง”
สองเทพสวรรค์สบสายตากันด้วยสีหน้าหนักใจ
ด้วยเป็นห่วงมังกรสวรรค์ผู้ถูกจับตัวไปยังดินแดนนรก
“หากชะตาฟ้าลิขิตไว้เช่นนี้ ก็คงยากจะหนีพ้น เราทำดีที่สุดแล้ว
คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกอี้เฟิง”
..........................................................................................................................
อีกฟากของมิติ ณ นครอเวจี
ปะรำพิธีกว้างใหญ่ในห้องโถงที่รายล้อมด้วยแผ่นหินสีดำสนิท
แสงสว่างภายในเกิดจากคบไฟที่รายล้อมอยู่ เหล่าปิศาจนับร้อยตนมารวมตัวกันในพิธีสำคัญของจ้าวนรก
ดวงพักตร์รูปสลักสงบนิ่งมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย
แท่นหินสลักสำหรับวางเหยื่อสังเวยในพิธียังคงว่างเปล่า
กริ๊ก
จอมปิศาจวางจอกทองคำลงข้างตัวก่อนที่บนแท่นพิธีจะค่อย
ๆ ปรากฎร่างขาวบริสุทธิ์ที่ถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์สีซีดเก่าที่เปรอะเปรื้อน
เสียงงึมงำของเหล่าปิศาจเริ่มดังขึ้นจอแจ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพราะใบหน้าของเหยื่อสังเวยครั้งนี้ทำให้ปิศาจหลายตนมองหน้ากันด้วยความแปลกใจระคนตื่นตระหนก
แต่ที่น่าประหลาดใจไปกว่านั้นคือรอยสรวลที่ปรากฏบนดวงหน้าของราชาปิศาจ
สีหน้าที่เคยเรียบเฉยไม่สื่ออารมณ์อยู่เป็นนิจกลับฉายแววพึงใจประหลาดชวนให้เลือดในกายเย็นเฉียบ
ดวงตาสีดำสนิทดังผืนน้ำที่เงียบสงบกำลังระริกไหวล้อแสงเพลิงจากคบไฟ
ความรู้สึกบางอย่างที่แผ่ขยายจากรอบตัวของจางฉี่หลิงค่อย ๆ
สะกดเหล่าบริวารทั้งมวลให้ค่อย ๆ เงียบเสียงลงโดยไม่ต้องออกคำสั่งใด ๆ
เปลือกตางดงามค่อย ๆ ขยับเบา ๆ
เมื่อเจ้าของร่างรู้สึกตัว ผู้ที่กำลังจะถูกสังเวยเป็นเหยื่อในพิธีศักดิ์สิทธิ์รู้สึกปวดระบมไปทั้งร่างกายเพราะถูกคุมขังมานานนับสัปดาห์
สติแรกรับรู้ถึงสายตานับร้อยที่จดจ้องมาที่ตน ทั้งความสงสัยใคร่รู้ ความตื่นเต้น
และความหวั่นกลัวรุมล้อมเข้ามา
มังกรสวรรค์กวาดตามองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวงจนสบเข้ากับดวงตาสีนิลแสนคุ้นเคยที่ประดับอยู่บนใบหน้าซึ่งเหมือนตนราวกับส่องกระจก
ความรู้สึกสุดท้ายก่อนจะจากกันในคราวก่อนหวนคืนสู่ห้วงความทรงจำดุจน้ำหลาก
ท่าทีเรียบเฉยนิ่งสงบแต่ทว่าแผ่ความกดดันท่วมท้น
ดวงตาดำมืดดังก้นเหวที่เวิ้งว้างชวนให้ผู้ที่สบสายตาถูกดึงดูดสู่ความหวาดกลัวไม่มีที่สิ้นสุด
เสียงลมหายใจหอบถี่
ยังไม่เทียบเท่าเสียงหัวใจที่ลั่นกลองรัวในอกอยู่ตอนนี้
เทพสวรรค์หยางหยางพยายามสะกดความรู้สึกของตนให้เรียบนิ่งที่สุด อยากจะขยับตัวหนีห่างจากความกดดันของจอมปิศาจแต่ร่างกายก็เหมือนไม่ฟังคำสั่งราวกับสายตาคมลึกนั่นสูบเรี่ยวแรงไปจนหมดสิ้น
ปิศาจตนหนึ่งก้าวออกมาทำความเคารพตรงหน้าราชาแห่งตนเพื่อทำหน้าที่อัญเชิญเครื่องสังเวย
“หากท่านพร้อมแล้ว ข้าจะเริ่มพิธี—“
“ไม่ต้อง ข้าจัดการเอง”
ร่างของจางฉี่หลิงเลือนหายไปจากบัลลังก์ก่อนมาปรากฏอยู่ข้างแท่นพิธี
เสียงเหล่าปิศาจร้องฮือสะท้อนก้องไปทั่ว
ไม่มีครั้งใดที่เจ้าปิศาจจะลงมือกรีดเลือดเหยื่อสังเวยด้วยตนเอง
“อนิจจา มังกรสวรรค์ ดูไม่ยโสถือดีเหมือนเช่นเคยเล่า”
เสียงทุ้มเย็นกล่าวขึ้นแผ่วเบาเพียงแค่ให้มังกรสวรรค์ได้ยิน
“เจ้าจะทำสิ่งใด”
มังกรสวรรค์เค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
“เจ้าบอกเองมิใช่รึ
ว่าจะไม่มีวันศิโรราบแก่ข้าและแผ่นดินนรก... ข้าเลยอยากจะพิสูจน์ดู
ว่าเจ้าจะทำได้จริงหรือถือดีเพียงลมปาก”
“ข้าไม่เข้าใจ...” ด้วยสติและสัมปชัญญะสมบูรณ์พร้อม
เทพสวรรค์หยางหยางผู้ยึดมั่นแน่วแน่ในอุดมการณ์จักไม่มีวันแปรพักตร์ยอมอยู่ใต้อำนาจปิศาจเป็นแน่แท้
สิ่งที่หยางหยางหวั่นใจในตอนนี้คือจอมปิศาจจะเล่นไม่ซื่อเพื่อเปลี่ยนความคิดของตน
กา กา...
เสียงนกกากรีดร้องระงมไปทั่วเหนือท้องพระโรงที่เปิดโล่งสู่ท้องฟ้ายามยามราตรี
ผืนนภามืดสนิทขับดวงจันทราสีแดงฉานให้กระจ่างชัดเป็นสัญลักษณ์อำนาจแห่งรัตติกาล
ยามใดที่อำนาจแห่งจอมปิศาจเข้มข้นแผ่อิทธิพลไปทั่ว
ดวงจันทร์ยิ่งทาทาบด้วยสีเลือดดั่งขุมพลังแห่งจ้าวนรก
“ถึงเวลาแล้ว ที่เจ้าจะต้องหลั่งเลือด.. สังเวยวิญญาณแก่แผ่นดินนรก”
เสียงเยียบเย็นตอบแผ่วเบา
จบคำจอมราชาเถากุหลาบสีดำสนิทที่ราวกับผุดขึ้นมาจากอากาศธาตุก็แข่งกันเลื้อยรัดร่างของมังกรสวรรค์
ความตื่นตระหนกทำให้เทพสวรรค์พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการ
“หลั่งเลือดเซ่นวิญญาณ...พิธีศักดิ์สิทธิ์ของมหาราชาแห่งนครอเวจี
การดื่มเลือดจากเหยื่อสังเวยและไหลเวียนเลือดแห่งจ้าวปิศาจกลับคืนแก่ผู้นั้น
หมายถึงทั้งชีวิตและวิญญาณของผู้ถูกสังเวยจะตกเป็นทาสของจอมปิศาจชั่วกัปป์ชั่วกัลป์”
คำบอกเล่าจากบุพการีสว่างวาบเข้ามาในห้วงความคิดของมังกรสวรรค์
ยังให้ความหวั่นกลัวทบทวี หากวิญญาณตกเป็นทาสแห่งจอมปิศาจ หยางหยางจะกลับคืนสู่สรวงสวรรค์ได้อย่างไร
แล้วสิ่งที่ตนได้สัญญาไว้กับท่านแม่ก่อนสิ้นลม... ไม่ เขาจะยอมไม่ได้!
เถากุหลาบรัดรึงแน่นเข้า หนามแหลมคมฝังลงบนเนื้อนิ่ม มังกรสวรรค์ขยับตัวขัดขืนปลายหนามแหลมก็กรีดเฉือนผิวเนื้อเป็นทาง
เลือดไหลซึมออกมาตามรอยแผล แต่ความเจ็บปวดทางกายไม่อาจหยุดยั้งความพยายาม
หยางหยางยังไม่หยุดดิ้นรน แต่ยิ่งดิ้นเถากุหลาบก็ยิ่งพันแน่น
จนในที่สุดก็ไม่อาจขยับตัวได้อีก
หยางหยางเหนื่อยหอบจากการต่อสู้กับสิ่งที่พันธนาการตน
ความหวาดกลัวค่อยคลายลงเมื่อถึงคราวจนมุม
ดวงตาสีมะฮอกกานีตวัดสายตาไปยังจ้าวปิศาจที่มองตนดิ้นรนต่อสู้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่นัยน์ตาฉายแววสนุกสนาน
“จะทำอะไรก็ทำ!” มังกรสวรรค์ตะคอกด้วยน้ำเสียงแหบโหย “แต่ข้าจะประกาศไว้ตรงนี้
หากข้าต้องสยบต่อเจ้าด้วยเวทมนตร์กลใดก็ตาม แต่หัวใจของข้า เจ้าจะไม่มีวันได้ไป!”
“ข้อจะรอดู”
สิ้นคำจ้าวปิศาจเถากุหลาบที่ตรึงแน่นก็สะบัดออก!
“อ๊ากกกกก....” มังกรสวรรค์กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
หนามกุหลาบแหลมคมที่ฝังอยู่ในเนื้อนวลกรีดกระชากให้ทั้งเจ็บและแสบไปทั่วร่าง เศษซากอาภรณ์ที่ถูกฉีกกระชากเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดโลหิตจากรอยบาดแผล
เรียวปากซีดขยับยิ้มพึงใจก่อนขยับกายเข้าใกล้เชลยจากแดนสวรรค์ที่บัดนี้พร้อมที่จะสังเวยเลือดแด่จอมปิศาจ
เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นไม่อาจปกปิดผิวกายขาวผ่องยวนตา จางฉี่หลิงจรดริมฝีปากประทับลงบนรอยแผลเหนือแอ่งสะดือ
เหมือนดั่งกระแสไฟฟ้าไหลผ่านแผ่ซ่านจากสัมผัสนั้น แผ่นท้องขาวเกร็งตัวรับสัมผัส
เมื่อจะขยับกายเถากุหลาบสีนิลก็เข้าเลื้อยพันเรียวแขนและข้อเท้าตรึงกายเทพสวรรค์ไม่ให้หลบหนี
เรียวลิ้นลิ้มชิมรสเลือดที่ไหลซึมตามผิวขาวนวลราวกับต้องการจะกำจัดสิ่งที่บดบังความสวยงามนั้น
“อา...” สัมผัสวาบไหวชวนให้หวั่นหวาม
หยางหยางแทบจะลืมเลือนความเจ็บปวดจากบาดแผล เพราะอารมณ์บางอย่างที่ถูกจุดขึ้น
ความไม่ประสาในความใคร่มักอ่อนไหวต่อสัมผัสแรกที่เรียนรู้ ลมหายใจผะแผ่วเหนือผิวกายชวนให้ขนลุกชัน
เนื้อกายถูกสัมผัส ขบเม้ม กระตุ้นไฟราคะให้โหมกระพือ เสียงสบถอื้ออึงของเหล่าปิศาจทั่วปะรำพิธียังแว่วเข้ามาในโสตประสาทแม้สติจะพร่าเลือนด้วยแรงอารมณ์
ริมฝีปากสีซีดเก็บชิมความหวานล้ำจากทั้งเลือดสด ๆ
และผิวเนื้อนวล ฝ่ามือแกร่งค่อยสัมผัสลูบไล้อย่างโหยหา
ความเบื่อหน่ายต่อสิ่งทั้งมวลตลอดหลายวันที่ผ่านมามลายหายไปสิ้นเพราะผู้ที่อยู่ในห้วงคำนึงทุกวินาทีกำลังทอดกายอยู่เบื้องหน้า
เมื่อเรียวลิ้นร้อนลากผ่านแผ่นท้องไล้เรื่อยสูงขึ้นจนถึงจุดที่รวมปลายประสาทบนแผ่นอกและขบเม้มดูดดึง
เทพสวรรค์ก็บิดกายร้อนเร่าด้วยความรัญจวน
หนามกุหลาบที่พันธนาการอยู่ก็ยิ่งแทงลึกเข้าผิวเนื้อ หยดโลหิตสีสดไหลจากรอยแผลไหลหยดลงบนแท่นหินที่ใช้ทำพิธีผ่านร่องของรอยสลักโบราณ
ฉับพลันเถากุหลาบสีดำก็แตกกิ่งก้านสาขาเกี่ยวกระหวัดพันกันจนกลายเป็นโดมครึ่งทรงกลมขนาดยักษ์
กางกั้นเทพสวรรค์และจ้าวปิศาจให้เสมือนอยู่อีกห้องหนึ่งที่ไร้ซึ่งสายตาของปิศาจตนอื่น
จางฉี่หลิงยิ้มกริ่มมองใบหน้าชื้นเหงื่อประดับด้วยริ้วสีแดงที่พวงแก้มที่กำลังหอบหนัก
“ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรเล่า
ว่าเทพสวรรค์อ่อนเดียงสาเช่นเจ้าไม่มีวันเอาชนะข้าไปได้หรอก”
“อึก... ข่มเหงผู้อื่น คือความพึงใจของเจ้าหรือเล่า
กิเลนดำ” มังกรสวรรค์เค้นคำพูดอย่างยากลำบาก
“อย่าเพิ่งเอ่ยสิ่งใดในตอนนี้เลย
ก่อนจะได้ลิ้มรสชาติแห่งความสุขที่ข้าจะมอบให้เจ้า”
จางฉี่หลิงยื่นแขนของตนออกมาเบื้องหน้า
เถากุหลาบก็เข้ากระหวัดเกี่ยวเรียวแขนนั้นราวกับงูเสมือนหนึ่งทาสผู้ภักดีหนามคมฝังลึกบนท่อนแขนแกร่ง
โลหิตสีดำซึมออกมาจากรอยแผลก่อนที่เถากุหลาบจะคลายออกและเลื้อยกลับไปยังที่เดิมของมัน
จอมปิศาจโน้มใบหน้ารูปสลักลงจรดกลีบปากกับท่อนแขนของตัวเองแล้วเริ่มต้น...ดื่มเลือด
“เจ้าจะทำอะไร!” มังกรสวรรค์ถามด้วยความตระหนกเมื่อจ้าวปิศาจโน้มใบหน้าลงมาใกล้
ปลายจมูกโด่งคมสันจรดข้างแก้มอย่างหยอกล้อแม้อีกฝ่ายจะขืนตัวเอียงหน้าหนีสัมผัสก็ตามประชิดติดผิวเนื้อ
ความใกล้ชิดที่คุ้นเคยและแรงดึงดูดแห่งโชคชะตาปลุกมนต์เสน่ห์แห่งราคะให้ร่ายรำยามสองสายตาประสานบรรจบ
เสียงห้าวเรียบเย็นกระซิบติดริมฝีปากอ่อน
“คืนเลือดให้แก่เจ้า”
ริมฝีปากที่ยามปกติซีดจางบัดนี้อิ่มเอิบด้วยสีของโลหิตจากกายตนประทับลงบนกลีบปากนุ่มของเทพสวรรค์ที่เผยอรับสัมผัสด้วยความเผลอไผล
รสแห่งเลือดปิศาจขับโหมราคะที่พุ่งพล่านอยู่ภายใน
ราวกับวิญญาณที่ไม่เคยรู้จักตื่นขึ้นมาอยู่ในตัวตน ฝ่ามือแกร่งเล้าโลมเนื้ออ่อนจากเนิบช้าเป็นเร่งร้อน
เศษผ้าที่ขาดวิ่นถูกฉีกกระชากซ้ำจนมังกรสวรรค์ไม่เหลือแม้อาภรณ์ติดกาย
เพราะความหลงระเริงในตัณหาจนไม่อาจยับยั้งชั่งใจ
กว่าจะรู้สำนึกปิศาจร้ายก็โจมจ้วงชำแรกเนื้อพิสุทธิ์กระชากสติมังกรสวรรค์สู่ปัจจุบันให้รับรู้ถึงความเจ็บปวดเกินจะหยั่ง
อสูรร้ายไม่ปรานีกดกระแทกหมายขย้ำร่างบางให้ชอกช้ำ
“อ๊า...........”
เสียงกรีดร้องก้องสะท้อนไปทั่วโดมกุหลาบที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมรัญจวนราวกับจะมอมเมาให้ความเจ็บปวดมลายสิ้น
มังกรสวรรค์ได้เสพรสที่สุดของความหฤหรรษ์แห่งโลกีย์เป็นครั้งแรกไม่อาจจะต้านทานไฟราคะที่โหมกระหน่ำอยู่ภายใน
ยอมตอบรับตัวตนแห่งจ้าวปิศาจให้กลืนกินตนดังเช่นคำทำนาย
ท่านแม่ ข้าไม่อาจหยุดกงล้อแห่งโชคชะตาได้อีกแล้ว
(วสันตดิลกฉันท์ ๑๔)
เริงร้อนระรุ่มอุระระเร่า ฤจะเผาหทัยผลาญ
เริงร้อนระรุ่มอุระระเร่า ฤจะเผาหทัยผลาญ
ขัดใคร่สนองก็ทรมาน กวจิตตะตอบรัก
กายาพธูก็ทุรยศ สมรสสิเน่ห์หนัก
วิญญาณ์สิหลอมรุธิรภักดิ์ มนะร่วมมโนฉันท์
จ้าวจอมวิเรนทร์นรกโลก นิรโศกฤดีพลัน
เสพสมบำเรอมธุระนั้น บมิอาจจะไคลคลา
มังกรสวรรค์ฤดิสมัคร ผิวะจักมฤจฉา
อ้าโฉมวิไลยะมะทะนา ฤชะตามิอาจคืน
เมื่ออ่านเนื้อความประหลาดบนหนังสือเก่าแก่จบลงหน้าหนึ่งคนสามคนก็เงยหน้าขึ้นสบตากันโดยมิได้นัดหมาย
“ผมมีคำถามที่อยากจะถามคุณตั้งแต่ตอนแรก
แต่ยังไม่ทันได้ถาม ตอนนี้ผมคงต้องขอถาม คุณมีพี่น้องฝาแฝดหรือเปล่า”
จางฮั่นเอ่ยถามอาจารย์หนุ่มที่มาขอให้เขาช่วยแปลหนังสือเก่าที่อยู่ตรงหน้าให้
“มันเกี่ยวอะไรกับหนังสือเล่มนี้หรือครับ”
หยางหยางถามกลับเหลือบสายตาไปมองหน้าลูกศิษย์ของตนที่เป็นคนแนะนำชายคนนี้มาอย่างเคลือบแคลงใจ
“ก็ไม่เชิง
ผมแค่บังเอิญรู้จัก...คนอื่น ที่หน้าเหมือนคุณ
แต่พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ผมก็แค่สังหรณ์ใจว่ามันอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราได้พบกัน”
โปรดติดตามตอนต่อไป...
TALK: ก่อนอื่นต้องขอโทษเลยที่หายไปนานนะคะ
เราพยายามแต่งตอนนี้จนถึงฉากที่จอมมารทำร้ายพี่เสียงแล้วเราก็รู้สึกดาวน์มากเลย
รู้สึกว่ามันโหดร้ายมากจนแต่งต่อไม่ไหว
ก็เลยหยุดพักไปประกอบการมีโปรเจก์อื่นเข้ามาแทรกด้วย แต่ยังไงก็จะไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนค่ะเพราะรักเรื่องนี้มาก
แต่ก็อาจจะมาช้าหน่อยเพราะด้วยตัวเรื่องเองก็เขียนยากพอสมควร
ขอบคุณคนอ่านที่ยังไม่ลืมกันและแวะเวียนเข้ามาอ่านนะคะ ทวงฟิคได้ที่ @ConiCat_
ค่ะ เพราะคนแต่งชอบอู้ 555
ปล.
ติชมฟิคได้ที่กล่องคอมเมนท์ของบล็อกหรือทางทวิตเตอร์ที่แท็ก #มัทนะอเวจี หรือเมนชั่นมาก็ได้ค่ะ
รักคนอ่านนะคะ จุ๊บๆ
แถมๆ เผื่อใครอ่านในโทรศัพท์แล้วอ่านฉันท์ไม่สะดวกนะคะ
แถมๆ เผื่อใครอ่านในโทรศัพท์แล้วอ่านฉันท์ไม่สะดวกนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น