วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

La Rose de l'Enfer 03 มัทนะอเวจี - ตอนที่ ๓ หลั่งเลือดเซ่นวิญญาณ

La Rose de l' Enfer มัทนะอเวจี ตอนที่ ๓ หลั่งเลือดเซ่นวิญญาณ
Pairing: หยางหยาง X หยางหยาง






ความเดิมตอนที่แล้ว 

            เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือส่งเสียงดังขึ้นแทนเสียงนาฬิกาปลุกในห้องส่วนตัวที่มีเพียงเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศแผ่วเบา ม่านหนาหนักกันแสงแดดจากภายนอกให้ส่องเข้ามาได้เพียงรำไร มือขาวควานหาต้นเหตุของเสียงที่รบกวนนิทราอันแสนสุขโดยที่เปลือกตายังไม่ยอมเปิดขึ้นสู้แสงของวันใหม่
            “...” เฉินเสียงกดรับโทรศัพท์ด้วยความเคยชิน ดวงตายังปิดสนิท ถือโทรศัพท์ค้างไว้แนบหูโดยไม่ได้พูดอะไร
“พี่เสียง ได้ยินผมไหม ผมจิ๋งเป่าเองนะ” ปลายสายถามย้ำเมื่อสัญญาณได้รับการตอบรับแต่ไม่มีคำพูดใด ๆ
“อือ..” ร่างบางเพียงแต่ครางแผ่วเบาตอบรับคำถามนั้น
ผมมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากพี่หน่อย ฮัลโหล พี่เสียง ยังฟังผมอยู่หรือเปล่า”
“อื้อ ฟังอยู่ มีอะไรก็ว่ามาสิ” เสียงหวานงัวเงียตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ผมอยากจะนัดเจอกับพี่จางฮั่น พี่เสียงช่วยนัดให้ผมได้หรือเปล่า มีธุระเกี่ยวกับงานทางประวัติศาสตร์น่ะครับ พอดีอาจารย์ของผมเขาอยากคุยด้วย”
“อืมมม ทำไมนายไม่โทรไปหาฮั่นเกอเองล่ะ”
“เฮ้ย จะบ้าเหรอพี่ ใครจะกล้า ผมว่าเรื่องนี้พี่น่าจะมีเอี่ยวด้วยนะ เพราะมันเกี่ยวกับหนังสือที่ผมเจอที่หังโจวคราวก่อน น่า ช่วยผมหน่อยนะพี่”
“หึ หนังสือที่นายกั๊กไว้ไม่ยอมให้ฮั่นเกอเข้าไปแตะตั้งแต่แรกใช่ไหมล่ะ ไม่กล้าสู้หน้าเกอล่ะสิ” ดวงหน้าสะสวยขมวดมุ่น ดวงตาเปิดขึ้นเล็กน้อยพยายามปรับสายตากับแสงสว่างบางเบาภายในห้อง
“แหมพี่ ช่วยกันหน่อยน่า ผมไม่รู้จะพึ่งใครแล้วจริง ๆ น้า นะ นะครับ” เสียงปลายสายออดอ้อนอย่างคนอับจนหนทาง
“อือ ๆ จะช่วยคุยให้ก็แล้วกัน มีธุระแค่นี้ใช่ไหม”
“ครับพี่ ขอบคุณมากนะครับ บุญคุณนี้ผมจะไม่ลืมเลย” จิ่งป๋อหรันย้ำคำขอบคุณซ้ำ ๆ อยู่อีกหลายครั้งก่อนวางสายไป
“ไอ้เด็กแก่แดดเอ๊ย” เสียงหวานเปรยด้วยความหมั่นไส้ระคนเอ็นดู
“ใครหรือ ฮึ” เสียงทุ้มของคนที่นอนข้างกายเอ่ยถาม ในขณะที่ปลายจมูกโด่งคมสันดอมดมเก็บชิมความหอมจากต้นคอขาวผ่อง ร่างบางหัวเราะคิกคักกับสัมผัสนั้น
“รุ่นน้องน่ะ โทรมาให้ติดต่อฮั่นเกอให้หน่อย” สัมผัสของปลายจมูกชะงักไปเพราะเจ้าของชื่อที่ถูกพูดถึง จากเพียงสัมผัสบางเบาเปลี่ยนเป็นริมฝีปากที่ขบย้ำราวกับจะทวงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ จูบหนัก ๆ ประทับที่ใต้ใบหูไล้เรื่อยไปยังสันกรามได้รูปจนร่างบางต้องเบี่ยงตัวหนีสัมผัสรุกราน
“ไม่เอาน่า ฉี่หลิง ฮั่นเกอเป็นพี่ชายของฉันนะ” เฉินเสียงขยับตัวนอนตะแคงเข้าหาอีกฝ่าย มือบางไล้เบา ๆ บนมือใหญ่ที่วางอยู่บนสะโพกของตัวเองอย่างงอนง้อ มือขาวลูบไปตามท่อนแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ หยางฉี่หลิงมองตามมือบางที่กำลังซุกซนบนร่างกายของเขา จากต้นแขนไล้เรื่อยอย่างเชื่องช้ามาตามลาดไหล่และแผงอกที่ประดับด้วยมัดกล้ามพอดีตัวไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป
หยางฉี่หลิงวางมือทับบนมือบางที่อยู่บนหน้าอกของเขา สบสายตาคนข้างตัวอย่างสื่อความหมาย
“แล้วฉันล่ะ เป็นอะไรของนาย สำคัญกว่า...” เสียงทุ้มถูกหยุดด้วยกลีบปากบาง มือขาววาดโอบรอบคอของคนที่กำลังน้อยใจ ร่างบางขยับตัวขึ้นทาบทับร่างแกร่งบดริมฝีปากดูดดึงทุกถ้อยคำให้หายไปจนหมดสิ้น เรียวลิ้นเล็กทายทักและรุกเร้าเรียกร้องทุกความสนใจจากสถาปนิกหนุ่มให้สนใจแค่เพียงรสจูบหวานล้ำนี้เท่านั้น
ริมฝีปากที่หลุดออกจากกันเกิดเสียงไม่เบานักร่างบางหอบน้อย ๆ เหนือร่างของอีกคน ใบหน้าของทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกัน หน้าผากแนบสนิท ปลายจมูกจรดต่อกัน เสียงหวานกระซิบชิดติดริมฝีปาก
“อย่าสนใจคนอื่น ตอนนี้ฉันมีแค่นาย” สิ้นคำร่างหนาก็จับพลิกคนพูดให้เปลี่ยนมาอยู่ใต้ร่างของตนบดจูบรุกเร้าร้อนแรงอย่างถือสิทธิ์ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาและเฉินเสียงไม่มีทางเป็นไปได้มากกว่าเพื่อนเพราะทั้งหัวใจของคนในอ้อมกอดมีคนอื่นจับจองพื้นที่ไว้หมดแล้ว มีเพียงร่างกายนี้เท่านั้นที่เขามีสิทธิ์ครอบครอง

........................................................................................................................

ไอหมอกบางเบาลอยเอื่อยเฉื่อยอยู่เหนือสระน้ำขนาดใหญ่ในห้องสรงโอ่อ่าบอกถึงความสำคัญของผู้เป็นเจ้าของ เสียงน้ำไหลผ่านตามซอกหินสะท้อนก้องกังวานราวเสียงดนตรี จอมมารแห่งแดนนรกทอดกายในสระสรงให้สายน้ำปรนนิบัติร่างกายอย่างสวามิภักดิ์
ฝ่ามือบางลูบไล้อกแกร่งกำยำด้วยความหลงใหล จ้าวปิศาจหันหลังพิงขอบสระให้บริวารผู้ภักดียิ่งกว่าสายนทีทำหน้าที่รับใช้ แม้เป็นกิจวัตรที่เวียนซ้ำข้ามวันเวลามานับร้อยปีแต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่จางฉี่หลิงรู้สึกเบื่อหน่าย ไอน้ำโปร่งแสงลอยกระทบกำแพงหินรวมตัวกันเป็นเงาเลือนลางคล้ายเป็นภาพของใครอีกคนในห้วงคำนึง แรงบีบนวดและลูบไล้ไปตามร่างกายของตนที่เคยทำให้รู้สึกผ่อนคลายกลับไม่ทำให้พอใจได้ดังที่ผ่านมา
“พอได้แล้ว” เสียงเรียบเย็นเอ่ยขึ้นไม่ดังนักแต่กังวานก้องไปทั่วทั้งห้องสรง
“แต่ท่าน...” เสียงหวานขัดขึ้น
“ข้าบอกให้พอ เจ้าไม่ได้ยินรึ เฉินเสียง”
มือบางยังคงอ่อยอิ่งสัมผัสเนื้อกายของเจ้าปิศาจยั่วยุจิตใจที่กำลังสับสนให้บันดาลโทสะ ร่างแกร่งหันขวับคว้าคอเรียวฉุดกระชากทาสผู้ภักดีให้ติดมือร่วงกระแทกผิวน้ำจมลงใต้สระสรงอย่างไม่ทันตั้งตัว
อึก!
มือใหญ่ที่บีบรัดลำคอเรียวราวกับต้องการปลิดลมหายใจทิ้งเสีย แรงมหาศาลกดร่างบางลงใต้ผืนน้ำอย่างไม่อาจขัดขืน ปิศาจต่ำศักดิ์มิอาจต้านแรงผู้เป็นนายทำได้เพียงปัดป่ายไขว่คว้าผืนน้ำด้านบน ถีบขาตะเกียกตะกายสุดแรงเพื่อยื้อชีวิตของตนไว้
แรงจากมือแกร่งฉุดทาสปิศาจขึ้นจากใต้สระ เฉินเสียงอ้าปากฮุบอากาศเหนือผิวน้ำราวกับปลาฮุบเหยื่อ เพียงอึดใจไม่ทันลิ้มรสเศษเสี้ยวความเมตตาของจ้าวนรก ร่างทั้งร่างก็ลอยหวือกระแทกขอบสระหิน ความเจ็บร้าวแล่นจากกระดูกต้นคอถึงกลางศีรษะ แรงบีบรัดที่คอจากมือแกร่งยังไม่คลาย ความเจ็บจากแรงกระแทกและความทรมานจากการถูกปิดกั้นอากาศหายใจทำให้สติพร่ามัว แต่สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นชัดเจนคือดวงตาสีดำสนิทของผู้เป็นเจ้าชีวิต ดวงตาที่สะท้อนแต่ความว่างเปล่า จ้าวปิศาจผู้ไร้หัวใจ...
ก่อนสติสุดท้ายจะปลิดปลิว อาภรณ์ติดกายก็ถูกฉีกกระชาก ริมฝีปากถูกบดขยี้รุนแรงราวกับเนื้ออ่อนนั้นไม่มีความรู้สึก กลีบปากบอบช้ำจากแรงขบกัดจนคั่งเลือด แรงอารมณ์ของเจ้าปิศาจไม่หยุดเพียงเท่านั้น ไม่นานทั้งลาดไหล่ แผงอก และแผ่นท้องที่เคยเรียบเนียนยวนตาก็ปรากฏรอยเขียวช้ำไปทั่ว ยิ่งกว่าความเจ็บปวดเมื่อราชาปิศาจยัดเยียดความปรารถนารุนแรงรุกล้ำเข้ามาในกายของผู้เป็นทาสอย่างไร้ความปรานี ความเจ็บร้าวแล่นริ้วไปทั้งกายราวกับร่างจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แรงกระแทกโถมย้ำเข้ามาให้ผู้เป็นที่รองรับอารมณ์จุกแทบขาดใจ
จางฉี่หลิงจากไปแล้ว ทิ้งร่างบางบอบช้ำไว้ที่สระน้ำเพียงลำพัง เฉินเสียงไม่เหลือเรี่ยวแรงใด ๆ จะพาตนเองออกไปจากที่นี่ รอยแผลที่ฉีกแยกจากการกระทำโหดร้ายปริแตก น้ำในสระที่ไหลผ่านยิ่งทำให้เจ็บแสบเสียจนต้องหลั่งน้ำตา สติสุดท้ายค่อย ๆ เลือนหายไปพร้อมกับร่างทั้งร่างที่ค่อย ๆ จมลงใต้ผืนน้ำ มีเพียงกระแสวารีที่โอบอุ้มห้อมล้อมร่างกายเขาเท่านั้นที่นุ่มนวลและอ่อนโยนดุจใยไหม
ไม่มีความเจ็บปวดอีกแล้ว...
เฉินเสียงละทิ้งทุกอย่างปล่อยตนเองจมลงใต้ผืนนที รอยยิ้มบางเบาถูกจุดขึ้นบนใบหน้าสวย หากเขาตายลงที่นี่ จะได้รับความเห็นเห็นใจจากราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่เขามอบหัวใจให้บ้างหรือไม่ อยากรู้เสียเหลือเกิน

....................................................................................................................

เสียงอัศนีบาตฟาดลงกลางฟากฟ้าดังสนั่นหวั่นไหว แสงขาวสว่างแวบวาบกลางผืนนภาดั่งลางบอกเหตุวิปโยค กาฬวาตกรรโชกโหมพัด นครกลางฟ้าที่เพิ่งผ่านสงครามคืนราตรีสีเลือดมาได้ไม่นาน ต้องเกิดเหตุให้หวั่นกลัวกันไปทั่วอีกครั้ง
            “ลางจะมีเหตุร้ายกับชาวสวรรค์อีกเป็นแน่” เสียงหวานครางแผ่วเบา
“ยามนี้เหตุร้ายก็คงไม่พ้น...” เสียงทุ้มปรารภ
“ข้ากลัวเหลือเกิน ท่านพี่เหว่ยถิง”
สองเทพสวรรค์สบสายตากันด้วยสีหน้าหนักใจ ด้วยเป็นห่วงมังกรสวรรค์ผู้ถูกจับตัวไปยังดินแดนนรก
“หากชะตาฟ้าลิขิตไว้เช่นนี้ ก็คงยากจะหนีพ้น เราทำดีที่สุดแล้ว คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกอี้เฟิง”

..........................................................................................................................

อีกฟากของมิติ ณ นครอเวจี
ปะรำพิธีกว้างใหญ่ในห้องโถงที่รายล้อมด้วยแผ่นหินสีดำสนิท แสงสว่างภายในเกิดจากคบไฟที่รายล้อมอยู่ เหล่าปิศาจนับร้อยตนมารวมตัวกันในพิธีสำคัญของจ้าวนรก
ดวงพักตร์รูปสลักสงบนิ่งมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย แท่นหินสลักสำหรับวางเหยื่อสังเวยในพิธียังคงว่างเปล่า
กริ๊ก
จอมปิศาจวางจอกทองคำลงข้างตัวก่อนที่บนแท่นพิธีจะค่อย ๆ ปรากฎร่างขาวบริสุทธิ์ที่ถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์สีซีดเก่าที่เปรอะเปรื้อน เสียงงึมงำของเหล่าปิศาจเริ่มดังขึ้นจอแจ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพราะใบหน้าของเหยื่อสังเวยครั้งนี้ทำให้ปิศาจหลายตนมองหน้ากันด้วยความแปลกใจระคนตื่นตระหนก
แต่ที่น่าประหลาดใจไปกว่านั้นคือรอยสรวลที่ปรากฏบนดวงหน้าของราชาปิศาจ สีหน้าที่เคยเรียบเฉยไม่สื่ออารมณ์อยู่เป็นนิจกลับฉายแววพึงใจประหลาดชวนให้เลือดในกายเย็นเฉียบ ดวงตาสีดำสนิทดังผืนน้ำที่เงียบสงบกำลังระริกไหวล้อแสงเพลิงจากคบไฟ ความรู้สึกบางอย่างที่แผ่ขยายจากรอบตัวของจางฉี่หลิงค่อย ๆ สะกดเหล่าบริวารทั้งมวลให้ค่อย ๆ เงียบเสียงลงโดยไม่ต้องออกคำสั่งใด ๆ
เปลือกตางดงามค่อย ๆ ขยับเบา ๆ เมื่อเจ้าของร่างรู้สึกตัว ผู้ที่กำลังจะถูกสังเวยเป็นเหยื่อในพิธีศักดิ์สิทธิ์รู้สึกปวดระบมไปทั้งร่างกายเพราะถูกคุมขังมานานนับสัปดาห์ สติแรกรับรู้ถึงสายตานับร้อยที่จดจ้องมาที่ตน ทั้งความสงสัยใคร่รู้ ความตื่นเต้น และความหวั่นกลัวรุมล้อมเข้ามา มังกรสวรรค์กวาดตามองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวงจนสบเข้ากับดวงตาสีนิลแสนคุ้นเคยที่ประดับอยู่บนใบหน้าซึ่งเหมือนตนราวกับส่องกระจก ความรู้สึกสุดท้ายก่อนจะจากกันในคราวก่อนหวนคืนสู่ห้วงความทรงจำดุจน้ำหลาก ท่าทีเรียบเฉยนิ่งสงบแต่ทว่าแผ่ความกดดันท่วมท้น ดวงตาดำมืดดังก้นเหวที่เวิ้งว้างชวนให้ผู้ที่สบสายตาถูกดึงดูดสู่ความหวาดกลัวไม่มีที่สิ้นสุด
เสียงลมหายใจหอบถี่ ยังไม่เทียบเท่าเสียงหัวใจที่ลั่นกลองรัวในอกอยู่ตอนนี้ เทพสวรรค์หยางหยางพยายามสะกดความรู้สึกของตนให้เรียบนิ่งที่สุด อยากจะขยับตัวหนีห่างจากความกดดันของจอมปิศาจแต่ร่างกายก็เหมือนไม่ฟังคำสั่งราวกับสายตาคมลึกนั่นสูบเรี่ยวแรงไปจนหมดสิ้น
ปิศาจตนหนึ่งก้าวออกมาทำความเคารพตรงหน้าราชาแห่งตนเพื่อทำหน้าที่อัญเชิญเครื่องสังเวย
“หากท่านพร้อมแล้ว ข้าจะเริ่มพิธี—“
“ไม่ต้อง ข้าจัดการเอง”
ร่างของจางฉี่หลิงเลือนหายไปจากบัลลังก์ก่อนมาปรากฏอยู่ข้างแท่นพิธี เสียงเหล่าปิศาจร้องฮือสะท้อนก้องไปทั่ว ไม่มีครั้งใดที่เจ้าปิศาจจะลงมือกรีดเลือดเหยื่อสังเวยด้วยตนเอง
“อนิจจา มังกรสวรรค์ ดูไม่ยโสถือดีเหมือนเช่นเคยเล่า” เสียงทุ้มเย็นกล่าวขึ้นแผ่วเบาเพียงแค่ให้มังกรสวรรค์ได้ยิน
“เจ้าจะทำสิ่งใด” มังกรสวรรค์เค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
“เจ้าบอกเองมิใช่รึ ว่าจะไม่มีวันศิโรราบแก่ข้าและแผ่นดินนรก... ข้าเลยอยากจะพิสูจน์ดู ว่าเจ้าจะทำได้จริงหรือถือดีเพียงลมปาก”
“ข้าไม่เข้าใจ...” ด้วยสติและสัมปชัญญะสมบูรณ์พร้อม เทพสวรรค์หยางหยางผู้ยึดมั่นแน่วแน่ในอุดมการณ์จักไม่มีวันแปรพักตร์ยอมอยู่ใต้อำนาจปิศาจเป็นแน่แท้ สิ่งที่หยางหยางหวั่นใจในตอนนี้คือจอมปิศาจจะเล่นไม่ซื่อเพื่อเปลี่ยนความคิดของตน
กา กา...
เสียงนกกากรีดร้องระงมไปทั่วเหนือท้องพระโรงที่เปิดโล่งสู่ท้องฟ้ายามยามราตรี ผืนนภามืดสนิทขับดวงจันทราสีแดงฉานให้กระจ่างชัดเป็นสัญลักษณ์อำนาจแห่งรัตติกาล ยามใดที่อำนาจแห่งจอมปิศาจเข้มข้นแผ่อิทธิพลไปทั่ว ดวงจันทร์ยิ่งทาทาบด้วยสีเลือดดั่งขุมพลังแห่งจ้าวนรก
“ถึงเวลาแล้ว ที่เจ้าจะต้องหลั่งเลือด.. สังเวยวิญญาณแก่แผ่นดินนรก” เสียงเยียบเย็นตอบแผ่วเบา
จบคำจอมราชาเถากุหลาบสีดำสนิทที่ราวกับผุดขึ้นมาจากอากาศธาตุก็แข่งกันเลื้อยรัดร่างของมังกรสวรรค์ ความตื่นตระหนกทำให้เทพสวรรค์พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการ

“หลั่งเลือดเซ่นวิญญาณ...พิธีศักดิ์สิทธิ์ของมหาราชาแห่งนครอเวจี การดื่มเลือดจากเหยื่อสังเวยและไหลเวียนเลือดแห่งจ้าวปิศาจกลับคืนแก่ผู้นั้น หมายถึงทั้งชีวิตและวิญญาณของผู้ถูกสังเวยจะตกเป็นทาสของจอมปิศาจชั่วกัปป์ชั่วกัลป์”

คำบอกเล่าจากบุพการีสว่างวาบเข้ามาในห้วงความคิดของมังกรสวรรค์ ยังให้ความหวั่นกลัวทบทวี หากวิญญาณตกเป็นทาสแห่งจอมปิศาจ หยางหยางจะกลับคืนสู่สรวงสวรรค์ได้อย่างไร แล้วสิ่งที่ตนได้สัญญาไว้กับท่านแม่ก่อนสิ้นลม... ไม่ เขาจะยอมไม่ได้!
เถากุหลาบรัดรึงแน่นเข้า หนามแหลมคมฝังลงบนเนื้อนิ่ม มังกรสวรรค์ขยับตัวขัดขืนปลายหนามแหลมก็กรีดเฉือนผิวเนื้อเป็นทาง เลือดไหลซึมออกมาตามรอยแผล แต่ความเจ็บปวดทางกายไม่อาจหยุดยั้งความพยายาม หยางหยางยังไม่หยุดดิ้นรน แต่ยิ่งดิ้นเถากุหลาบก็ยิ่งพันแน่น จนในที่สุดก็ไม่อาจขยับตัวได้อีก
หยางหยางเหนื่อยหอบจากการต่อสู้กับสิ่งที่พันธนาการตน ความหวาดกลัวค่อยคลายลงเมื่อถึงคราวจนมุม ดวงตาสีมะฮอกกานีตวัดสายตาไปยังจ้าวปิศาจที่มองตนดิ้นรนต่อสู้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่นัยน์ตาฉายแววสนุกสนาน
“จะทำอะไรก็ทำ!มังกรสวรรค์ตะคอกด้วยน้ำเสียงแหบโหย “แต่ข้าจะประกาศไว้ตรงนี้ หากข้าต้องสยบต่อเจ้าด้วยเวทมนตร์กลใดก็ตาม แต่หัวใจของข้า เจ้าจะไม่มีวันได้ไป!
“ข้อจะรอดู”
สิ้นคำจ้าวปิศาจเถากุหลาบที่ตรึงแน่นก็สะบัดออก!
“อ๊ากกกกก....” มังกรสวรรค์กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หนามกุหลาบแหลมคมที่ฝังอยู่ในเนื้อนวลกรีดกระชากให้ทั้งเจ็บและแสบไปทั่วร่าง เศษซากอาภรณ์ที่ถูกฉีกกระชากเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดโลหิตจากรอยบาดแผล
เรียวปากซีดขยับยิ้มพึงใจก่อนขยับกายเข้าใกล้เชลยจากแดนสวรรค์ที่บัดนี้พร้อมที่จะสังเวยเลือดแด่จอมปิศาจ เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นไม่อาจปกปิดผิวกายขาวผ่องยวนตา จางฉี่หลิงจรดริมฝีปากประทับลงบนรอยแผลเหนือแอ่งสะดือ เหมือนดั่งกระแสไฟฟ้าไหลผ่านแผ่ซ่านจากสัมผัสนั้น แผ่นท้องขาวเกร็งตัวรับสัมผัส เมื่อจะขยับกายเถากุหลาบสีนิลก็เข้าเลื้อยพันเรียวแขนและข้อเท้าตรึงกายเทพสวรรค์ไม่ให้หลบหนี เรียวลิ้นลิ้มชิมรสเลือดที่ไหลซึมตามผิวขาวนวลราวกับต้องการจะกำจัดสิ่งที่บดบังความสวยงามนั้น
“อา...” สัมผัสวาบไหวชวนให้หวั่นหวาม หยางหยางแทบจะลืมเลือนความเจ็บปวดจากบาดแผล เพราะอารมณ์บางอย่างที่ถูกจุดขึ้น ความไม่ประสาในความใคร่มักอ่อนไหวต่อสัมผัสแรกที่เรียนรู้ ลมหายใจผะแผ่วเหนือผิวกายชวนให้ขนลุกชัน เนื้อกายถูกสัมผัส ขบเม้ม กระตุ้นไฟราคะให้โหมกระพือ เสียงสบถอื้ออึงของเหล่าปิศาจทั่วปะรำพิธียังแว่วเข้ามาในโสตประสาทแม้สติจะพร่าเลือนด้วยแรงอารมณ์
ริมฝีปากสีซีดเก็บชิมความหวานล้ำจากทั้งเลือดสด ๆ และผิวเนื้อนวล ฝ่ามือแกร่งค่อยสัมผัสลูบไล้อย่างโหยหา ความเบื่อหน่ายต่อสิ่งทั้งมวลตลอดหลายวันที่ผ่านมามลายหายไปสิ้นเพราะผู้ที่อยู่ในห้วงคำนึงทุกวินาทีกำลังทอดกายอยู่เบื้องหน้า
เมื่อเรียวลิ้นร้อนลากผ่านแผ่นท้องไล้เรื่อยสูงขึ้นจนถึงจุดที่รวมปลายประสาทบนแผ่นอกและขบเม้มดูดดึง เทพสวรรค์ก็บิดกายร้อนเร่าด้วยความรัญจวน หนามกุหลาบที่พันธนาการอยู่ก็ยิ่งแทงลึกเข้าผิวเนื้อ หยดโลหิตสีสดไหลจากรอยแผลไหลหยดลงบนแท่นหินที่ใช้ทำพิธีผ่านร่องของรอยสลักโบราณ ฉับพลันเถากุหลาบสีดำก็แตกกิ่งก้านสาขาเกี่ยวกระหวัดพันกันจนกลายเป็นโดมครึ่งทรงกลมขนาดยักษ์ กางกั้นเทพสวรรค์และจ้าวปิศาจให้เสมือนอยู่อีกห้องหนึ่งที่ไร้ซึ่งสายตาของปิศาจตนอื่น
จางฉี่หลิงยิ้มกริ่มมองใบหน้าชื้นเหงื่อประดับด้วยริ้วสีแดงที่พวงแก้มที่กำลังหอบหนัก
“ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรเล่า ว่าเทพสวรรค์อ่อนเดียงสาเช่นเจ้าไม่มีวันเอาชนะข้าไปได้หรอก”
“อึก... ข่มเหงผู้อื่น คือความพึงใจของเจ้าหรือเล่า กิเลนดำ” มังกรสวรรค์เค้นคำพูดอย่างยากลำบาก
“อย่าเพิ่งเอ่ยสิ่งใดในตอนนี้เลย ก่อนจะได้ลิ้มรสชาติแห่งความสุขที่ข้าจะมอบให้เจ้า” จางฉี่หลิงยื่นแขนของตนออกมาเบื้องหน้า เถากุหลาบก็เข้ากระหวัดเกี่ยวเรียวแขนนั้นราวกับงูเสมือนหนึ่งทาสผู้ภักดีหนามคมฝังลึกบนท่อนแขนแกร่ง โลหิตสีดำซึมออกมาจากรอยแผลก่อนที่เถากุหลาบจะคลายออกและเลื้อยกลับไปยังที่เดิมของมัน
จอมปิศาจโน้มใบหน้ารูปสลักลงจรดกลีบปากกับท่อนแขนของตัวเองแล้วเริ่มต้น...ดื่มเลือด
“เจ้าจะทำอะไร!” มังกรสวรรค์ถามด้วยความตระหนกเมื่อจ้าวปิศาจโน้มใบหน้าลงมาใกล้
ปลายจมูกโด่งคมสันจรดข้างแก้มอย่างหยอกล้อแม้อีกฝ่ายจะขืนตัวเอียงหน้าหนีสัมผัสก็ตามประชิดติดผิวเนื้อ ความใกล้ชิดที่คุ้นเคยและแรงดึงดูดแห่งโชคชะตาปลุกมนต์เสน่ห์แห่งราคะให้ร่ายรำยามสองสายตาประสานบรรจบ
เสียงห้าวเรียบเย็นกระซิบติดริมฝีปากอ่อน
“คืนเลือดให้แก่เจ้า”
ริมฝีปากที่ยามปกติซีดจางบัดนี้อิ่มเอิบด้วยสีของโลหิตจากกายตนประทับลงบนกลีบปากนุ่มของเทพสวรรค์ที่เผยอรับสัมผัสด้วยความเผลอไผล รสแห่งเลือดปิศาจขับโหมราคะที่พุ่งพล่านอยู่ภายใน ราวกับวิญญาณที่ไม่เคยรู้จักตื่นขึ้นมาอยู่ในตัวตน ฝ่ามือแกร่งเล้าโลมเนื้ออ่อนจากเนิบช้าเป็นเร่งร้อน เศษผ้าที่ขาดวิ่นถูกฉีกกระชากซ้ำจนมังกรสวรรค์ไม่เหลือแม้อาภรณ์ติดกาย เพราะความหลงระเริงในตัณหาจนไม่อาจยับยั้งชั่งใจ กว่าจะรู้สำนึกปิศาจร้ายก็โจมจ้วงชำแรกเนื้อพิสุทธิ์กระชากสติมังกรสวรรค์สู่ปัจจุบันให้รับรู้ถึงความเจ็บปวดเกินจะหยั่ง อสูรร้ายไม่ปรานีกดกระแทกหมายขย้ำร่างบางให้ชอกช้ำ
“อ๊า...........” เสียงกรีดร้องก้องสะท้อนไปทั่วโดมกุหลาบที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมรัญจวนราวกับจะมอมเมาให้ความเจ็บปวดมลายสิ้น
มังกรสวรรค์ได้เสพรสที่สุดของความหฤหรรษ์แห่งโลกีย์เป็นครั้งแรกไม่อาจจะต้านทานไฟราคะที่โหมกระหน่ำอยู่ภายใน ยอมตอบรับตัวตนแห่งจ้าวปิศาจให้กลืนกินตนดังเช่นคำทำนาย

ท่านแม่ ข้าไม่อาจหยุดกงล้อแห่งโชคชะตาได้อีกแล้ว


                                                           (วสันตดิลกฉันท์ ๑๔)


เริงร้อนระรุ่มอุระระเร่า                  ฤจะเผาหทัยผลาญ
ขัดใคร่สนองก็ทรมาน                  กวจิตตะตอบรัก
กายาพธูก็ทุรยศ                          สมรสสิเน่ห์หนัก
วิญญาณ์สิหลอมรุธิรภักดิ์            มนะร่วมมโนฉันท์
จ้าวจอมวิเรนทร์นรกโลก               นิรโศกฤดีพลัน
เสพสมบำเรอมธุระนั้น                 บมิอาจจะไคลคลา         
มังกรสวรรค์ฤดิสมัคร                   ผิวะจักมฤจฉา
อ้าโฉมวิไลยะมะทะนา                 ฤชะตามิอาจคืน

            เมื่ออ่านเนื้อความประหลาดบนหนังสือเก่าแก่จบลงหน้าหนึ่งคนสามคนก็เงยหน้าขึ้นสบตากันโดยมิได้นัดหมาย
            “ผมมีคำถามที่อยากจะถามคุณตั้งแต่ตอนแรก แต่ยังไม่ทันได้ถาม ตอนนี้ผมคงต้องขอถาม คุณมีพี่น้องฝาแฝดหรือเปล่า” จางฮั่นเอ่ยถามอาจารย์หนุ่มที่มาขอให้เขาช่วยแปลหนังสือเก่าที่อยู่ตรงหน้าให้
“มันเกี่ยวอะไรกับหนังสือเล่มนี้หรือครับ” หยางหยางถามกลับเหลือบสายตาไปมองหน้าลูกศิษย์ของตนที่เป็นคนแนะนำชายคนนี้มาอย่างเคลือบแคลงใจ
“ก็ไม่เชิง ผมแค่บังเอิญรู้จัก...คนอื่น ที่หน้าเหมือนคุณ แต่พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ผมก็แค่สังหรณ์ใจว่ามันอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราได้พบกัน”


โปรดติดตามตอนต่อไป...


TALK: ก่อนอื่นต้องขอโทษเลยที่หายไปนานนะคะ เราพยายามแต่งตอนนี้จนถึงฉากที่จอมมารทำร้ายพี่เสียงแล้วเราก็รู้สึกดาวน์มากเลย รู้สึกว่ามันโหดร้ายมากจนแต่งต่อไม่ไหว ก็เลยหยุดพักไปประกอบการมีโปรเจก์อื่นเข้ามาแทรกด้วย แต่ยังไงก็จะไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนค่ะเพราะรักเรื่องนี้มาก แต่ก็อาจจะมาช้าหน่อยเพราะด้วยตัวเรื่องเองก็เขียนยากพอสมควร ขอบคุณคนอ่านที่ยังไม่ลืมกันและแวะเวียนเข้ามาอ่านนะคะ ทวงฟิคได้ที่ @ConiCat_ ค่ะ เพราะคนแต่งชอบอู้ 555
ปล. ติชมฟิคได้ที่กล่องคอมเมนท์ของบล็อกหรือทางทวิตเตอร์ที่แท็ก #มัทนะอเวจี หรือเมนชั่นมาก็ได้ค่ะ รักคนอ่านนะคะ จุ๊บๆ


แถมๆ เผื่อใครอ่านในโทรศัพท์แล้วอ่านฉันท์ไม่สะดวกนะคะ


           




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น