วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[Special Fic] Memory: วันตรุษจีนของเฉินเหว่ยถิง Part 6

[Special Fic] Memory: วันตรุษจีนของเฉินเหว่ยถิง Part 6
#วิ่งเปี้ยวโปรเจกต์

พบกันอีกครั้งกับฟิค #วิ่งเปี้ยวโปรเจกต์ ซึ่งคราวนี้มาในธีม “ตรุษจีน”
โดยเราจะเขียนต่อกัน 3 คนคนละ 2 หน้าถ้วน ไม่มีการบอกพล็อต ต่อแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้
อยากรู้ไหมคะ ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป มาลุ้นด้วยกันสิคะ :D


ความเดิมตอนที่แล้ว


Part 6
                ยังไม่ทันจะไปถึงจุดนัดหมาย เฉินเหว่ยถิงก็ถูกกักตัวไว้ตั้งแต่หน้าประตูบ้าน เงาของร่างสูงกว่าร้อยเก้าสิบเซนติเมตรทาบทับตัวเขาพร้อมแผ่รังสีคุกคามเกินกว่าเขาจะขยับตัว

...หนีไม่ทัน...

“คุณจิ่ง...”
“จะรีบไปไหนล่ะ วิลเลียม ไม่ยกชามาต้อนรับเจ้านายเก่านายหน่อยหรือไง”
เฉินเหว่ยถิงจำเป็นต้องปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนตอบไปด้วยเสียงที่นิ่งเรียบที่สุด
“เชิญครับ” ชายหนุ่มในคราบพ่อค้าขายเกาลัดค้อมตัวให้แก่แขกผู้มาเยือนพร้อมผายเชิญอีกฝ่ายเข้าไปในตัวตึก

“นายออกจากคุกมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นทันทีที่น้ำชาถูกรินจนเต็มถ้วยและเลื่อนมาวางให้ตรงหน้า แขกของเฉินเหว่ยถิงคือ จิ่งป๋อหรัน เจ้านายเก่า...ไม่สิ ก็ยังถือว่าเป็นเจ้านายคนปัจจุบันอยู่
“ออกมาได้สามปีแล้วครับ” เฉินเหว่ยถิงตอบเท่าที่ถูกถาม ไม่อยากต่อเรื่องราวให้มีพิรุธ
ทั้งสองสบตากันอย่างหยั่งเชิง มือเรียวของจิ่งป๋อหรันขยับยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบช้า ๆ
“ใครเป็นคนช่วยนาย ฉันไม่ได้มีคำสั่งให้ใครช่วยนายออกมา”
“ไม่มีครับ”
“อย่าให้ฉันต้องถามหลายรอบ นายรู้อยู่แล้วว่าควรตอบคำถามฉันยังไง” จิ่งป๋อหรันยังคงกล่าวด้วยระดับเสียงเดิมแม้ความไม่พอใจจะเริ่มก่อตัวขึ้นภายใน
“ผมเสนอตัวช่วยงานในเรือนจำจนได้เป็นนักโทษชั้นดี เลยได้รับการลดโทษครับ”
“หืม...ลดโทษ นักโทษชั้นดี ดูไม่มีอะไรที่เหมาะสมกับนายเลยว่าไหม”
“...” เฉินเหว่ยถิงไม่ตอบอะไร
“ออกมาแล้วไม่ติดต่อกลับไปที่พรรค หมายความว่านายจะตัดขาดจากพรรคของฉันแล้วอย่างนั้นสิ?”
“นักโทษเพิ่งถูกปล่อยตัว ยังไงก็ต้องถูกจับตามอง ถ้าผมรีบกลับไปอาจจะเป็นภัยต่อพรรคของเราได้”
“พรรคของเรา? นายยังคิดว่าตัวเองเป็นคนของพรรคอยู่อย่างนั้นเหรอ”
“ผมเป็นคนของคุณคริส ถ้าคุณคริสยังให้ผมทำงานให้เขาอยู่ ผมก็ยังเป็นคนของพรรคครับ”

กริ๊ก...

เสียงถ้วยน้ำชาถูกวางลงบนโต๊ะดังกังวานท่ามกลางความเงียบสงัดในช่องว่างของบทสนทนา จิ่งป๋อหรันหรือเจ้าของฉายา งูเล็กมองมือของตนเองที่ประสานกันตรงหน้าขยับไปมา
“เจ้านายนิสัยยังไง ลูกน้องก็นิสัยอย่างนั้น คอยแต่จะพยศอยู่ตลอด...ถ้านายพูดอย่างนั้น ฉันคงไม่มีอะไรจะพูดอีก” จบคำจิ่งป๋อหรันก็ลุกจากเก้าอี้ เฉินเหว่ยถิงเดินไปเปิดประตูให้อย่างนอบน้อม
จิ่งป๋อหรันกำลังจะก้าวพ้นประตูก็หยุดชะงักจังหวะหนึ่ง เฉินเหว่ยถิงจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาได้เพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเกิดเสียงดังขึ้น
ปัง !
หน้าอกของเฉินเหว่ยถิงทะลุด้วยลูกตะกั่ว เลือดสีแดงข้นเหนียวไหลซึมออกมานอกเสื้อก่อนร่างทั้งร่างจะค่อย ๆ ล้มลง...



ปัง ! ปัง ! ปัง !

เฉินเหว่ยถิงลืมตาขึ้นอย่างตื่นตระหนก เสียงเข็มนาฬิกาที่ขยับเดินของนาฬิกาปลุกข้างหัวเตียงดึงสติของเขาให้กลับสู่ปัจจุบัน ลมหายใจหอบกระชั้นค่อยลดจังหวะลง
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้า เสียงปึงปังด้านนอกมาจากเสียงประทัดที่ถูกจุดเนื่องในวันตรุษจีน เขาเดินลงมาด้านล่างก็พบกับซองแดงเจ้าปัญหา
เมื่อคืนนี้เขาพบคุณหนูเชียนลูกเจ้าของร้านทองที่เขาชอบแอบมองอยู่บ่อย ๆ ตอนไปขายเกาลัดที่ตลาดพร้อมกับกล้องถ่ายรูปเจ้าปัญหา แม้จะแอบหวังไว้บ้างแต่ก็ไม่คิดว่าจะใช่จริง ๆ
แต่ในคืนนั้นเขาก็ฝันประหลาด... ในฝันเขาจับได้ว่าเสี่ยวหยวนเป็นคนที่ส่งซองแดงมาให้เขา แต่ซองแดงนั้นกลับส่งมาจาก K เจ้านายเก่าของเขา ทุกอย่างฉุกละหุกสับสนไปหมด แต่ในความฝันนั้นเหมือนจริงเหลือเกิน โดยเฉพาะ...
ความรู้สึกตอนที่ถูกยิงและใบหน้าของจิ่งป๋อหรันที่มีรอยยิ้มฉาบอยู่แต่ดวงตานิ่งสนิทนั้นยังติดอยู่ในหัวสมองของเขา ความรู้สึกสังหรณ์บางอย่างรุมเร้าเข้ามาให้หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกเหนื่อยหอบ

กริ๊งงงงงงง.....
ออดดดดด.....

เสียงโทรศัพท์และเสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นพร้อมกัน ระงับความหวั่นกลัวในจิตใจลงไป เขาเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างชั่งใจ
‘611’
พร้อมกับสายตาที่สอดส่องออกไปนอกประตูเห็นใครบางคนยืนรออยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับซองแดงในมือที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง
เฉินเหว่ยถิงเลือกที่จะกดรับโทรศัพท์
“สวัสดีครับผู้กอง”
“เก็บของซะ พวกมันรู้ตัวแล้ว นายอยู่ที่นั่นต่อไปไม่ได้แล้ว”
“แต่ว่า...”
“นายเป็นนักโทษติดคดี ถ้านายไม่มีประโยชน์ต่อกรมตำรวจอีก ก็ไม่มีประโยชน์กับฉันเหมือนกัน”
“อี้ฝาน...” เฉินเหว่ยถิงพึมพำเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเครือ เขาเป็นแค่หมากตัวหนึ่งของกรมตำรวจเท่านั้นเองสินะ ความหลังครั้งเก่าไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับอู๋อี้ฝานเลยแม้แต่นิดเดียว
“ถ้ายังอยากมีอิสรภาพ ก็ทำตามที่ฉันบอกซะ” แล้วเสียงสัญญาณก็ถูกตัดไป เฉินเหว่ยถิงได้แต่ลดโทรศัพท์ลงสายตายังคงมองไปที่คนที่ยืนรออยู่หน้าประตู แก้มใสและท่าทางเขินอายไม่มั่นใจทำให้เขายิ้มได้เพียงบางเบา
คนอย่างเขา ไม่มีค่าพอให้ใครมาสานสัมพันธ์ด้วยจริง ๆ
หลังจากนี้ทุกอย่างที่นี่จะเหลือเพียงความทรงจำ
ลาก่อนครับ...คุณหนู

………..END………
จบแล้วค่ะ สำหรับฟิควิ่งเปี้ยวโปรเจกต์เรื่องที่สอง ไปบ่นกันได้ที่ #ตรุษจีนของเฉินเหว่ยถิง นะคะ ^__^



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น